แม้หลี่ลั่วอยากจะพูดเหลือเกินว่า ท่านเข้าใจผิดแล้ว ทว่าความเข้าใจผิดนี้ช่างดีงามเสียนี่กระไร หลี่ลั่วจึงไม่พูดออกไป ครั้นแล้วเขาจึงตอบกลับไปว่า “ข้าก็ไม่ชอบการมีสามภรรยาสี่อนุเช่นกัน ท่านโปรดวางใจ”
ใครเลยจะรู้ว่ากู้จวิ้นเฉินจะเลิกคิ้วพูดตาไม่กะพริบว่า “ต่อให้เ้าชอบ ก็อย่าแม้แต่จะคิด”
เชอะ
“แต่ไหนแต่ไรมาไม่มีพระชายาชินอ๋องมีสามภรรยาสี่อนุได้” กู้จวิ้นเฉินเอ่ยช้าๆ
หลี่ลั่วพบว่าั้แ่ตนหมั้นหมายกับกู้จวิ้นเฉิน เขาไม่มีแม้แต่สิทธิเสรีภาพ เช่นว่าถ้าเขาตายไปกู้จวิ้นเฉินแต่งผู้อื่นเป็ภรรยาได้ แต่ถ้ากู้จวิ้นเฉินตายเขาต้องกอดป้ายิญญาของกู้จวิ้นเฉินและแต่งให้เขาอยู่ดี แล้วก็อย่างเช่น กู้จวิ้นเฉินมีสามภรรยาสี่อนุได้ แต่เขามีไม่ได้
“แม้ข้าจะไม่มีสามภรรยาสี่อนุ แต่เ้าอย่าได้ซาบซึ้งต่อข้าจนเกินไปนัก” กู้จวิ้นเฉินกล่าวขึ้นอีก
หลี่ลั่วคิดในใจ พูดคุยเื่เช่นนี้แม้แต่กับเด็กอายุห้าขวบ แล้วเด็กจะเข้าใจไหมเล่า? ความเป็จริงแล้วสามารถคุยเข้าใจได้ เนื่องด้วยเด็กอายุห้าขวบในยุคสมัยโบราณนั้นเข้าใจเื่สามภรรยาสี่อนุ ขอให้เป็ครอบครัวที่มีฐานะเล็กน้อย อาจจะไม่มีภรรยาและอนุเป็พรวน แต่อย่างน้อยหนึ่งถึงสองคนนั้นย่อมต้องมีแน่ๆ
“ข้าอนุญาตให้เ้าหึงหวงข้าได้เป็ครั้งคราว อย่างเช่นยามนี้ที่เราอยู่กันตามลำพัง ในยามต่อหน้าธารกำนัลยังคงต้องมีบุคลิกและท่าทางให้เหมาะสมกับตำแหน่งพระชายาฉีอ๋อง” กู้จวิ้นเฉินกล่าวอีก
ให้ตายสิ หากหลี่ลั่วรู้แต่แรกว่ากู้จวิ้นเฉินเป็คนเช่นนี้ เขาจะต้องอยู่ให้ห่างที่สุด
“เป็อันใดไป เ้าไม่เห็นด้วยรึ?” กู้จวิ้นเฉินถาม
“ไม่ ข้าเห็นด้วย ที่ท่านพูดมาล้วนถูกต้องทั้งสิ้น ท่านพูดอันใดล้วนถูกต้องทั้งสิ้น” ชีวิตนี้ของหลี่ลั่วนั้นกฎข้อที่หนึ่งคือ เมื่ออยู่ต่อหน้าฉีอ๋องจะต้องยอมจำนน หลี่ลั่วอยากร่ำไห้ ทั้งที่ก่อนหน้าที่จะตามหาคู่ครอง กู้จวิ้นเฉินได้ถามเขาแล้วว่าอยากได้คู่ครองลักษณะเช่นใด จำได้หรือไม่ว่ายามนั้นเขาได้บอกว่าไว้ว่าอะไร? อยากได้คนที่ดีกับเขา เขาพูดอันใดล้วนเป็ฝ่ายถูก นี่อะไร คู่ครองนั้นพูดอันใดล้วนถูกต้องดีอยู่แล้ว หลี่ลั่วบอกกับตัวเอง ชายหนุ่มอายุยี่สิบกว่าปีไม่ควรจะจู้จี้จุกจิกกับเด็กหนุ่มอายุสิบสามปี
“อือ” สำหรับหลี่ลั่วที่ยอมจำนวนต่อตนเองนั้น กู้จวิ้นเฉินพึงพอใจอย่างยิ่ง
งานเลี้ยง่กลางคืนในวันพระราชสมภพของจ้าวหนิงฮ่องเต้ก็จัดขึ้นที่หอลิ่วฉง แต่ที่แตกต่างไปคือชายหญิงไม่แบ่งแยก ฮ่องเต้และฮองเฮายังไม่มา แขกฝ่ายชายและฝ่ายหญิงต่างรออยู่ในที่นั่งของตนเป็ที่เรียบร้อย
ที่นั่งของขุนนางใหญ่ของแคว้นนั้นจัดอยู่ด้านซ้าย ลำดับที่หนึ่งคือองค์ชายใหญ่ ลำดับที่สองคือองค์ชายรอง องค์ชายสาม และกู้จวิ้นเฉิน เพราะทั้งสามต่างเป็หนุ่มโสด ลำดับที่สามคือองค์หญิงฉางหนิงและครอบครัว (ราชบุตรเขยเฉินและท่านหญิงหลิงโหมว) ลำดับที่สี่คือฉุนหยางอ๋องและครอบครัว ลำดับที่ห้าคือขุนนางลำดับโหว เหลียนจวิ้นอ๋องและครอบครัว เหลียนจวิ้นอ๋องเป็น้องชายของจ้าวหนิงฮ่องเต้ หกปีก่อนบรรดาองค์ชายก่อฏ เหลียนจวิ้นอ๋องด้วยมีกำเนิดต่ำต้อย มารดาผู้ให้กำเนิดเป็นางกำนัล ดังนั้นจึงไม่มีองค์ชายองค์ไหนไปลากเขาเข้าร่วมก่อการฏด้วย ดังนั้นหลังจากปราบปรามฏแล้ว จ้าวหนิงฮ่องเต้จึงพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็ เหลียนจวิ้นอ๋อง ลำดับที่หกคือจวนกั๋วกงเพียงหนึ่งเดียวของรัชสมัยปัจจุบัน จงกั๋วกงหลี่เฉินและครอบครัว ลำดับที่หกคือจงหย่งโหวหลี่ลั่วและครอบครัว จงกั๋วกงและจงหย่งโหวล้วนเป็ครอบครัวสกุลหลี่ ที่นั่งอยู่ใกล้กันก็เพื่อจะได้สะดวกที่จะพูดคุยกัน ลำดับที่แปดคือหย่งอี๋โหวและครอบครัว ...หลังจากลำดับโหวแล้วจึงเป็จวิ้นจวินและขุนนางขั้นป๋อ...
ทว่า ที่นั่งได้แบ่งเป็สองแถวหน้าและหลัง ที่นั่งแถวหน้าคือผู้นำครอบครัว เช่น ฮ่องเต้นั่งอยู่แถวหน้า พระชายาเอกและพระชายารองจะนั่งอยู่ด้านหลังอีกแถวหนึ่ง เช่น หลี่ลั่วนั่งอยู่แถวหน้า หลี่หยางซื่อ หลี่หง และหลี่หลิน นั่งอยู่ด้านหลังหนึ่งแถว
ส่วนด้านขวานั้นเป็ที่นั่งของทูตจากแคว้นต่างๆ หลังจากที่นั่งของทูตแล้วเป็ที่นั่งของขุนนางใหญ่ในราชสำนัก ตำแหน่งขุนนางฝ่ายบุ๋นในรัชสมัยปัจจุบันไม่มีขุนนางขั้นหนึ่ง อัครมหาเสนาบดีได้เสียชีวิตไปเมื่อหกปีที่แล้ว ขุนนางฝ่ายบู๊มีขุนนางรั้งตำแหน่งขั้นหนึ่ง ซึ่งก็คือหลี่ซวี่ที่ได้เสียชีวิตไปแล้วและแม่ทัพผู้เฒ่าอวี๋ที่คืนอำนาจทางทหารและเกษียณอยู่กับบ้านในบั้นปลายชีวิต ทว่าแม่ทัพผู้เฒ่าอวี๋วัยเจ็ดสิบปีในวันนี้ไม่ได้มาร่วมงาน ดังนั้นขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ล้วนเริ่มจากขุนนางขั้นสอง ขุนนางฝ่ายบุ๋นขั้นสองนั้นได้แก่บัณฑิตสำนักราชเลขาธิการและเสนาบดีจากทั้งหกกรม ที่จริงแล้วเสนาบดีจากทั้งหกกรมล้วนรั้งตำแหน่งขุนนางขั้นสองทั้งสิ้น ตำแหน่งขุนนางเหมือนกัน ดังนั้นลำดับที่นั่งจึงว่ากันตามกำลังอำนาจ
ลำดับแรก คือ เสนาบดีกรมขุนนาง เว่ยเหวินชิง รับผิดชอบเื่ของขุนนางฝ่ายบุ๋นทั่วแคว้น การครบวาระตำแหน่ง การสอบ การเลื่อนขั้นปรับขั้น การโยกย้าย และการพระราชทานบรรดาศักดิ์ เป็ต้น
ลำดับที่สอง คือ เสนาบดีกรมคลัง เหลียงเหวินอวี่ รับผิดชอบที่ดินทั่วแคว้น สำมะโนครัวประชากร ภาษีอากร เงินตรา เงินเดือนขุนนาง บัญชีรายรับรายจ่าย เป็ต้น คนผู้นี้ถือถ้วยข้าวชามเดียวกับเสนาบดีฉิน กรมที่ใช้เงินของแคว้นมากที่สุดก็คือกรมกลาโหม ข้างล่าง้าเบิกเงินเงินเดือนทหาร ส่งเื่มายังกรมกลาโหม กรมกลาโหมยื่นเื่ต่อให้กับกรมคลัง กรมคลังไม่มีเงิน เช่นนั้นจึงเท่ากับเื่ไปไม่ถึงไหน เงินเดือนของทหารซีเป่ยจึงถูกทำให้ติดขัดเช่นนี้เอง
ลำดับที่สาม คือ เสนาบดีกรมพิธีการ รับผิดชอบเกี่ยวกับเื่พิธีการต่างๆ พิธีการกราบไหว้ สถาบันการศึกษา พิธีการสอบเคอจวี่ และเื่กิจกรรมอื่นๆ เป็ต้น
ลำดับที่สี่ คือ เสนาบดีกรมกลาโหม รับผิดชอบเื่ของขุนนางฝ่ายบู๊และกองทัพ อาวุธ คำสั่งทหาร สถานีส่งข่าวสาร เป็ต้น
ลำดับที่ห้า คือ เสนาบดีกรมยุติธรรม รับผิดชอบเื่กฎหมายบ้านเมืองและการลงโทษ เป็ต้น
ลำดับที่หก คือ เสนาบดีกรมโยธาธิการ รับผิดชอบเกี่ยวกับการก่อสร้างต่างๆ โรงงาน นโยบายระบบถุนเถียน[1] เื่น้ำ การคมนาคมขนส่ง เป็ต้น กรมโยธาธิการถือเป็กรมที่ไร้ประโยชน์ที่สุดในหกกรม ไม่มีผู้ใดอยากไปประจำอยู่ ทั้งยังเป็กรมที่ยากจนที่สุดด้วย รวมทั้งเป็กรมที่ไม่มีเื่ราวให้เรียกใช้สอยทำอันใด
ต่อมาเป็แม่ทัพใหญ่ผู้รั้งตำแหน่งขั้นสอง แม่ทัพผู้บัญชาการกองทหารม้าห้าเมือง ซึ่งเป็ผู้บัญชาการกองทหารม้าของภาคกลาง ตะวันออก ตะวันตก ใต้ และเหนือ รวมทั้งห้าเมือง เป็หน่วยงานที่รับผิดชอบลาดตระเวนเมืองหลวง ถนน คูน้ำ นักโทษ เื่ไฟ เป็ต้น ผู้บัญชาการกองทหารม้าห้าเมืองเป็คนของจ้าวหนิงฮ่องเต้ ภายใต้ผู้บัญชาการกองทหารม้าห้าเมืองยังมีแม่ทัพผู้ใต้บังคับบัญชาอีกเมืองละหนึ่งนาย รั้งตำแหน่งขุนนางขั้นสาม รองแม่ทัพรักษาการณ์สี่คน รั้งตำแหน่งขุนนางขั้นสี่ และมีเสมียนทหารผู้ควบคุมดูแลงานเอกสารอีกเมืองละหนึ่งนาย รั้งตำแหน่งขุนนางขั้นหก กองทหารม้าห้าเมืองมีทั้งหมดสองหมื่นนาย แต่ละเมืองมีสี่พันคน ทุกๆ ภายใต้กองธงของผู้ช่วยผู้บังคับบัญชามีหนึ่งพันนาย นี่เป็กำลังทางทหารที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองหลวง
ถัดมาเป็ขุนนางฝ่ายบุ๋นขั้นสอง หัวหน้าบัณฑิตสำนักฮ่านหลินย่วน ผู้เชื้อเชิญหลี่ลั่วไปสำนักฮ่านหลินเพื่อศึกษาวิเคราะห์เครื่องหมายวรรคตอนด้วยกัน
ขุนนางฝ่ายบู๊ไม่มีขั้นสอง
ขุนนางขั้นสามคือท่านข้าหลวงจวนว่าการ ยามนี้เขาเป็แฟนพันธุ์แท้ของหลี่ลั่วเสียแล้ว หลี่ลั่วพูดอันใดล้วนถูกต้องทุกสิ่งอย่าง ความสัมพันธ์ระหว่างท่านข้าหลวงและกองทหารม้าห้าเมืองนั้น หากว่ากันตามเหตุผลแล้ว กองทหารม้าห้าเมืองเปรียบเสมือนสถานีตำรวจ จับผู้ร้าย ส่วนท่านข้าหลวงเป็อัยการและศาลของประชาชน ตรวจสอบเื่ราว สืบสวนคดีความ และตัดสิน จวนว่าการสามารถออกคำสั่งปะา ณ เวลานั้นได้ แต่กรมอื่นๆ ดังนี้ทำไม่ได้ เช่น ศาลาว่าการอำเภอ ศาลาเมือง หลังจากพวกเขาจับคนร้ายมาได้ ไม่สามารถตัดสินโทษตายได้ จะต้องส่งเื่ให้กรมยุติธรรมแล้วรอหนังสือจากกรมยุติธรรม
ดังนั้นศาลาจวนว่าการจึงมีลักษณะค่อนข้างพิเศษ
ขุนนางที่รั้งขั้นสามยังมีต้าหลี่ซื่อชิง เมื่อไหว้สุรานั้นเกือบเอาชีวิตไม่รอดจากการให้ร้าย ยามนี้กำลังจะเดินเข้าสู่เส้นทางการเป็แฟนพันธุ์แท้ของหลี่ลั่ว
ยังมีตุลาการสูงสุด[2]ซึ่งถูกลูกหลงจากการร้องเรียนต่อแม่ทัพน้อยอวี๋ของโค่วฉี
ที่นั่งของท่านปู่ของหลี่ลั่ว หลี่เนี่ยนจู่ ถือว่าค่อนมาข้างหน้า รั้งตำแหน่งขุนนางขั้นสาม ดังนั้นจึงแน่นอนว่าต่อไปเขาย่อมไม่มีส่วนร่วมในงานเลี้ยงของวังหลวงอีกแล้ว
หลี่ฮุยรั้งตำแหน่งขุนนางขั้นสี่ หัวหน้าผู้ดูแลแห่งสถาบันการศึกษากั๋วจื่อเจียน ที่นั่งค่อนไปทางด้านหลัง เพราะขุนนางขั้นสี่ในเมืองหลวงนั้นมีอยู่ทั่วเมืองหลวง
ข้างหลังไปอีกคือบัณฑิตที่สอบเข้าเคอจวี่ของปีนี้
“ฝ่าาเสด็จ องค์ฮองเฮาเสด็จ”
“ฝ่าาอายุยืนหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี”
“ฮองเฮาอายุยืนพันปี พันปี พันๆ ปี”
“ทุกคนลุกขึ้น”
ผู้ที่มาพร้อมกับจ้าวหนิงฮ่องเต้นอกจากฮองเฮาแล้ว ยังมีฉินกุ้ยเฟย (มารดาขององค์ชายใหญ่) เฉียนเฟย (มารดาขององค์หญิงเล็ก) เจาอี๋ (มารดาขององค์ชายสาม) ข้างหลังฉินกุ้ยเฟยยังมีองค์หญิงใหญ่ เฉียนเฟยจูงมือองค์หญิงเล็ก เมื่อมาถึงงานเลี้ยง องค์หญิงใหญ่จูงมือองค์หญิงเล็กไปนั่งด้านหลังขององค์ชายรอง องค์ชายสาม และกู้จวิ้นเฉิน
หลังจากคนทั้งหมดนั่งลง หลี่ลั่วเงยหน้าขึ้น นี่เป็ครั้งแรกที่เขาได้เห็นฮองเฮา ฮองเฮาผู้เป็มารดาของแผ่นดินควรจะสง่างามมีอำนาจบารมี ช่างต่างจากที่เขาจินตนาการเอาไว้มากมายนัก
บุคลิกท่าทางของฮองเฮานั้นสูงส่งอย่างไม่ต้องสงสัย สตรีผู้สูงส่งที่สุดในแผ่นดิน นางมีหัวใจและสติปัญญาที่ผู้อื่นไม่มี เพื่อจ้าวหนิงฮ่องเต้ที่ครั้งนั้นดำรงพระยศฉีอ๋อง นางเสียสละครอบครัวของตนทั้งหมด ท้ายที่สุดเฉิงเอินโหวยังตกอยู่ข้างกาย
ฮองเฮาดูแล้วมีอายุเล็กน้อย ไม่เหมือนจ้าวหนิงฮ่องเต้ในวัยสี่สิบปีที่ยังคงล่ำสันแข็งแรง บนใบหน้าของฮองเฮาประดับไปด้วยรอยยิ้มเมตตา ทว่าในดวงตาของนางกลับเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ฮองเฮาเสียสละครอบครัวทั้งหมดของตนเพื่อจ้าวหนิงฮ่องเต้ หัวใจดวงนี้ย่อมทำเพื่อความรัก สตรีผู้หนึ่งหากไม่ได้รักชายผู้หนึ่งอย่างลึกซึ้ง นางจะเสียสละและทำเพื่อคนผู้นั้นได้อย่างไร้ความเห็นแก่ตัวได้อย่างไร
แน่นอนว่า สามารถจินตนาการสถานการณ์ในเวลานั้นซึ่งอันตรายและเสี่ยงยิ่งนัก ไม่เช่นนั้นแล้วยังคงมีความเป็ไปได้ว่า ครอบครัวของฮองเฮาคงไม่ถูกสังหารจนหมด
เมื่อเทียบกับจ้าวหนิงฮ่องเต้ในวัยหนุ่มฉกรรจ์แล้วนั้น ฮองเฮาดูแก่กว่าเล็กน้อย ต่อให้แต่งหน้าให้เข้มกว่านี้ก็ไม่สามารถปิดบังอำพรางความปวดใจของสตรีได้ หลี่ลั่วไม่เหมือนผู้ชายคนอื่น การที่เขาชื่นชมสตรีคนหนึ่งไม่ได้ดูที่หน้าตาเปลือกนอก แต่เป็บุคลิกท่าทาง บุคลิกของฮองเฮานั้นดียิ่งนัก
อาจเป็เพราะรับรู้ได้ถึงสายตาประเมินของหลี่ลั่ว ฮองเฮาสูงส่งเช่นนี้ผู้ใดเลยจะขวัญกล้าประเมินนางเล่า? ฮองเฮามองไปตามสายตานั้น เห็นเด็กชายตัวน้อยมีแววตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ ความคารพนับถือ และความสงสารอยู่อีกหลายส่วน
ฮองเฮาสั่นสะท้าน เคารพนับถือนั้นนางเข้าใจ แต่ทว่าสงสารหรือ? มาจากเด็กน้อยอายุห้าขวบเช่นนั้นหรือ? ฮองเฮาคิดว่านางมองผิดไป จึงกลั้นไม่ไหวหัวเราะออกมา
“เป็อันใดไป?” จ้าวหนิงฮ่องเต้มองไปตามสายตาของนาง “นั่นคือบุตรชายของหลี่ซวี่”
“หม่อมฉันทราบเพคะ” ฮองเฮากล่าว น้ำเสียงนั้นสงบและอ่อนโยน “เป็เด็กฉลาดเฉลียวและน่ารัก ไม่เหมือนหลี่ซวี่”
“บุตรชายเหมือนแม่ บุตรสาวเหมือนพ่อ คำพูดที่ชาวบ้านธรรมดาสามัญพูดกัน” จ้าวหนิงฮ่องเต้กล่าว มีเพียงต่อหน้าฮองเฮาเท่านั้นที่เขาจะมีมุมที่อ่อนโยนเช่นนี้
“ฝ่าา” องค์หญิงฉวี่หลงยืนขึ้น “ข้าและแคว้นฉวี่หลงขออวยพรให้ฝ่าาอายุยืนหมื่นปีเพคะ”
“ขออวยพรให้ฝ่าาอายุยืนหมื่นปีพ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายฉวี่หลงยืนขึ้นเช่นกัน
จ้าวหนิงฮ่องเต้มององค์หญิงฉวี่หลง ชะงักไปครู่หนึ่ง “เจิ้นจำได้ว่าเคยพบองค์หญิงมาก่อน ทว่ายามนั้นองค์หญิงยัง...สูงเท่านี้” จ้าวหนิงฮ่องเต้เปรียบเทียบ
“ใช่เพคะ สิบปีก่อนข้าเป็ตัวแทนของแคว้นฉวี่หลงมาอวยพรวันพระราชสมภพขององค์ไท่จื่อ” องค์หญิงฉวี่หลงกล่าว หน้าแดง “ครั้งนั้นฝ่าายังเป็ฉีอ๋อง เป็ครั้งแรกที่สาวน้อยเช่นข้าได้พบชายหนุ่มวีรบุรุษผู้กล้าไม่เหมือนคนทั่วไป” หน้าแดงนิดๆ ท่าทางขององค์หญิงฉวี่หลงทำให้ทุกคนตกตะลึง อดคิดในใจไม่ได้ว่า นี่ไม่ใช่ชมชอบฝ่าาหรอกหรือ?
สำหรับทูตแคว้นเล็กๆ แล้ว น้ำเสียงของจ้าวหนิงฮ่องเต้นั้นดีขึ้นอย่างชัดเจน “ท่านนี้คือ...?” เขาชี้ไปที่องค์ชายฉวี่หลง
“นี่เป็น้องชายของหม่อมฉันเพคะ” องค์หญิงฉวี่หลงตอบ
“ที่แท้ก็เป็องค์ชายฉวี่หลง” จ้าวหนิงฮ่องเต้พยักหน้า ต่อมาพูดด้วยน้ำเสียงลึกซึ้งว่า “หลายวันมานี้เจิ้น...ได้ยินเื่เกี่ยวกับเ้ามาพอสมควร”
[1] ระบบถุนเถียน (屯田) เป็นโยบายสำคัญที่โจโฉหยิบยกมาใช้ในการพัฒนาการบุกเบิกที่ดินและการผลิตเสบียง แก้ไขปัญหาที่ดินรกร้างที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ และเกษตรกรขาดที่ดินทำกิน วิธีการของระบบนี้คือ เมื่อกองทัพไปเตรียมพร้อมทำศึกที่ใด ก็ส่งเสริมให้ประชาชนบุกเบิกที่ดินแถบนั้นไปพร้อมๆ กัน กรรมสิทธิ์ในที่ดินจะเป็ของประชาชนที่บุกเบิก โดยรัฐจะช่วยลงทุนใน่เริ่มต้น อุปกรณ์ในการทำการเกษตร เช่น วัว ควาย เครื่องไม้เครื่องมือ และให้ทหารลงไปใช้แรงงานทำการเกษตรร่วมกับชาวบ้าน จากนั้นเมื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตก็จะต้องส่งให้รัฐครึ่งหนึ่ง เพื่อใช้เป็เสบียงของกองทัพ และส่งเสริมการเกษตรต่อ เมื่อหมดาในพื้นที่นั้น ชาวบ้านก็จะได้ใช้ที่ดินทำมาหาเลี้ยงชีพต่อไป
[2] ตุลาการสูงสุด (御史大夫) หรือขุนนางตรวจการ