ฉันไม่รู้ว่าตัวเองนั่งกอดเข่าอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า บนพื้นห้องนอนที่เงียบเชียบนั้นนานแค่ไหน
เสียงพัดลมเพดานยังคงหมุนตัดอากาศดัง หึ่ง... หึ่ง... เป็จังหวะสม่ำเสมอ แข่งกับเสียงหัวใจของฉันที่เต้นระรัวและเจ็บหน่วงราวกับถูกบีบด้วยมือที่มองไม่เห็น
ในมือของฉัน... ตุ๊กตาเ้าบ่าวและเ้าสาวตัวเล็กๆ ยังคงนอนนิ่งอยู่บนกระดาษทิชชู่สีเหลืองกรอบ
สายตาของฉันจับจ้องไปที่ลายมือขยุกขยิกบนกระดาษโน้ตแผ่นนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“อย่าลืมเรานะ... เราจะกลับมาหา”
ประโยคสั้นๆ ที่เขียนด้วยปากกาลูกลื่นสีน้ำเงินเมื่อยี่สิบปีก่อน กลายเป็มีดเล่มคมที่กรีดลงกลางใจฉันในวินาทีนี้ ฉันลืมเขาไปจริงๆ... ลืมไปจนหมดสิ้น ลืมแม้กระทั่งความรู้สึกวูบไหวในวันที่ได้รับมันมา ลืมคำสัญญาปากเปล่าที่เราเคยพูดเล่นกันใต้ต้นไม้หลังโรงเรียน
“แม่อายยยยยยยยย...”
เสียงเรียกยาวๆ ของมิกซ์ดังขึ้นจากหน้าประตูห้องนอน ดึงกระชากฉันให้หลุดจากภวังค์ความเศร้าอย่างรุนแรง ฉันสะดุ้งสุดตัว รีบยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาที่เปรอะแก้มออกอย่างลนลาน คว้าฝากล่องกระดาษมาปิดทับตุ๊กตาและจดหมายพวกนั้นไว้ แล้วดันมันเข้าไปซ่อนไว้ใต้เตียงชั่วคราว
“อะไรครับลูก เข้ามาได้เลย แม่ไม่ได้ล็อก” ฉันพยายามตะเบ็งเสียงตอบกลับไป ให้ฟังดูปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่เสียงที่หลุดออกมากลับสั่นเครือจนน่าใ
ประตูห้องเปิดแง้มออก ใบหน้ายุ่งๆ ของลูกชายวัยแปดขวบโผล่เข้ามา
“แม่ทำไมนานจัง ผมทำการบ้านคณิตข้อนี้ไม่ได้อะ แม่อายไปสอนหน่อย”
มิกซ์เดินเข้ามาในห้อง สายตาของเด็กช่างสังเกตมองมาที่ใบหน้าของฉัน เขานิ่งไปครู่หนึ่ง
“แม่... ร้องไห้เหรอ”
คำถามซื่อๆ นั้นทำเอาฉันเกือบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ระลอกสอง
“เปล่าจ้ะ... ฝุ่นหลังตู้มันเยอะน่ะ แม่รื้อของหาเอกสาร ฝุ่นเลยเข้าตา” ฉันโกหกคำโต ฝืนยิ้มกลบเกลื่อนความเ็ปข้างใน “ไหน เอาสมุดไปรอข้างล่างเลย เดี๋ยวแม่ล้างหน้าแปรงฟันแล้วตามลงไป”
มิกซ์พยักหน้าหงึกหงัก เชื่ออย่างง่ายดายตามประสาเด็ก ก่อนจะหันหลังวิ่งตึงตังลงบันไดไป
ฉันถอนหายใจยาวเหยียด ทรุดตัวลงนั่งพิงขอบเตียงอีกครั้ง เหลือบมองกล่องใต้เตียงด้วยความรู้สึกที่ยังตัดไม่ขาด
“รอเดี๋ยวนะมอส... ขอเราทำหน้าที่แม่ก่อน”
...
กว่าจะสอนการบ้านมิกซ์เสร็จ กว่าจะไล่ลูกไปอาบน้ำ และกล่อมเขานอน เวลาก็ล่วงเลยไปจนเกือบสี่ทุ่ม
บ้านทั้งหลังเงียบสนิท กิตติคงหลับไปแล้วที่โซฟาข้างล่าง ฉันเดินกลับเข้ามาในห้องนอนของตัวเองอีกครั้ง บรรยากาศความเงียบเหงาที่คุ้นเคยกลับมาโอบล้อมรอบตัว
ฉันล็อกประตูห้อง ดึงกล่องกระดาษใบเดิมออกมาจากใต้เตียง
คราวนี้ฉันพามันมาวางบนที่นอน เปิดโคมไฟหัวเตียงสีส้มอุ่นๆ แสงไฟสลัวส่องกระทบตุ๊กตาพลาสติกเก่าๆ ให้เกิดเงาทอดยาว
ฉันหยิบตุ๊กตาเ้าสาวขึ้นมาพิจารณา... ชุดกระโปรงสีขาวที่เคยฟูฟ่อง ตอนนี้แฟบลงและหมองคล้ำ เส้นผมพลาสติกสีเหลืองทองเริ่มหลุดลอก แต่รอยยิ้มวาดบนหน้าตุ๊กตายังคงเดิม
แล้วฉันก็หยิบตุ๊กตาเ้าบ่าวขึ้นมา... ชุดสูทสีดำที่สีเริ่มจาง ตรงมุมปากมีรอยเปื้อนหมึกปากกาสีแดงจางๆ เหมือนโดนใครมือบอนขีดเขียนไว้
ภาพความทรงจำหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว...
“อา! อย่าเขียนหน้าตุ๊กตาเราสิ!”
“ก็หน้ามันเกลี้ยงไปนี่ เติมหนวดให้หน่อยจะได้เหมือนนายไง”
เสียงหัวเราะของเด็กหญิงและเด็กชายในวันวานดังก้องอยู่ในหัวของฉัน มันชัดเจนจนฉันต้องหลับตาลงเพื่อซึมซับความรู้สึกนั้น
ฉันค่อยๆ จับตุ๊กตาทั้งสองตัวให้หันหน้าเข้าหากัน จับมือพลาสติกแข็งๆ ของพวกมันให้แตะกันไว้ เหมือนที่มันเคยอยู่ในกล่องมาตลอด 20 ปี
และในความเงียบสงัดของคืนปี 2025 ความทรงจำที่ฉันพยายามวิ่งหนีมาตลอด ก็เริ่มฉายภาพย้อนกลับมาเป็ฉากๆ ราวกับม้วนฟิล์มภาพยนตร์เก่าๆ ที่ถูกปัดฝุ่น
ภาพของ่เวลา ปิดเทอมใหญ่ ป.6 ก่อนขึ้น ม.1
ภาพหน้าต่างห้องนอนไม้ชั้นสองของบ้านหลังเก่า
ภาพผ้าม่านลายดอกไม้สีครีมที่ฉันมักจะยืนซ่อนตัวอยู่หลังนั้น
บรื๊น... บรื๊น...
เสียงท่อรถมอเตอร์ไซค์คันเก่าดังแว่วเข้ามาในโสตประสาท เสียงที่ฉันจำได้แม่นยำที่สุด
ทุกเย็นใน่ปิดเทอมนั้น มอสจะขี่รถมอเตอร์ไซค์คันแรกของเขาผ่านหน้าบ้านฉัน เขาจะชะลอรถลงนิดหนึ่งเสมอเมื่อถึงหน้าประตูรั้ว เงยหน้ามองขึ้นมาที่หน้าต่างห้องนอนของฉัน
และฉัน... เด็กผู้หญิงขี้ขลาดคนนั้น ก็จะรีบถอยหลังไปหลบอยู่หลังผ้าม่าน
มือเล็กๆ กำชายผ้าม่านจนยับยู่ยี่ หัวใจเต้นแรงแทบทะลุออกมานอกอก ทั้งอยากเห็นหน้าเขา แต่ก็กลัว... กลัวความผูกพันที่กำลังก่อตัวขึ้น กลัวการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะมาถึง กลัวคำสัญญาเื่ "แต่งงาน" ที่ดูจริงจังเกินไปสำหรับเด็กวัยนั้น
“ถ้าเขาเห็นเรา... เขาจะจอดรถไหม”
“ถ้าเขาเรียกเรา... เราจะตอบว่ายังไง”
คำถามมากมายวนเวียนอยู่ในหัวเด็กสาววัยสิบสอง แต่สุดท้าย ความกลัวก็ชนะเสมอ
ฉันปล่อยให้เสียงรถมอเตอร์ไซค์ของเขาแล่นผ่านไป... วันแล้ววันเล่า
จนกระทั่งวันหนึ่ง เสียงนั้นก็เงียบหายไป และไม่กลับมาอีกเลย
เขาหายไป... พร้อมกับความรู้สึกที่ฉันไม่มีวันได้บอก
“โง่จริงๆ เลยอาวรรณ...”
ฉันด่าตัวเองในปัจจุบัน น้ำตาไหลรินลงมาเปื้อนหมอน ฉันกอดตุ๊กตาคู่บ่าวสาวไว้แนบอกแน่น ราวกับ้าส่งผ่านความรู้สึกผิดนี้ไปให้ถึงเ้าของของมัน
“มอส... เราขอโทษ”
“ขอโทษที่ตอนนั้นเราหนี...”
“ขอโทษที่เราทิ้งความรู้สึกของนาย...”
“ขอโทษที่... เราลืมแม้น้ำเสียงของนายไปแล้ว”
ความเ็ปจากการสูญเสียสิ่งที่เรียกว่า "รักแรก" โดยที่ยังไม่ได้เริ่มรักษาด้วยซ้ำ มันกัดกินใจฉันอย่างรุนแรงในคืนนี้
ฉันเหม่อมองนาฬิกาแขวนผนัง เข็มวินาทีเดิน ติ๊ก... ติ๊ก... ติ๊ก... เป็จังหวะสม่ำเสมอ แต่ในความรู้สึกของฉัน มันเหมือนกำลังเดินถอยหลัง
จิตใจของฉันล่องลอยออกจากร่าง หลุดออกจากห้องนอนสี่เหลี่ยมในบ้านทาวน์โฮม ทะลุผ่านกาลเวลาและความมืดมิด
ฉันหลับตาลง ปล่อยให้กลิ่นอายของอดีตที่ฟุ้งออกมาจากกล่องตุ๊กตาโอบล้อมรอบตัว
กลิ่นแป้งเย็นตรางู...
กลิ่นดินลูกรังหน้าโรงเรียนหลังฝนตก...
กลิ่นขนมหวานในโรงอาหาร...
และภาพแรกที่เริ่มปรากฏชัดขึ้นในความมืดหลังเปลือกตา ไม่ใช่ภาพหน้าต่างห้องนอน แต่เป็ภาพที่ย้อนกลับไปไกลกว่านั้น...
ภาพของโรงเรียนประถมในความทรงจำ
ภาพของเด็กหญิงผมสั้นในชุดนักเรียนสีกรมท่า กับเด็กชายจอมกวนที่ยืนขวางทางอยู่หน้าร้านขนม
ทุกอย่างกำลังจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งในความทรงจำของฉัน... ั้แ่จุดเริ่มต้นของ "ขนมชิ้นสุดท้าย" ชิ้นนั้น.
