หลิงชวนกดเสียงเบาลง อย่างไรการพูดลับหลังเ้านายก็ดูไม่ค่อยดีเท่าไร
“เช่นนั้นหลายปีมานี้ไม่มีสตรีคนไหนที่เ้านายของเ้ารู้สึกพิเศษด้วยเลยหรือ?”
หลิงชวนเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะบอก “เ้านายไม่ชอบเข้าใกล้คนอื่นมากเท่าไหร่ โดยเฉพาะสตรี หลายปีมานี้นอกจากิจิ่วที่อยู่ข้างกายแล้ว ในจวนก็ไม่มีแม้แต่สาวใช้ขอรับ”
ซูิเยว่เดาว่าิจิ่วที่หลิงชวนพูดมานั้นคงจะเป็แม่นางที่ช่วยนางสองครั้งคนนั้น
“แต่ว่า” หลิงชวนก็เบนเข็มบทสนทนาแล้วพูดต่อ “สำหรับเ้านายแล้วคุณหนูซูนั้นเป็คนพิเศษขอรับ เป็สตรีเพียงคนเดียวที่เข้าใกล้เขาได้ในรอบหลายปีมานี้”
นั่นก็คงเป็เพราะนางสามารถรักษาดวงตาให้เขาได้ ซูิเยว่ลอบเสริมคำพูดในใจ แต่พอได้ยินหลิงชวนพูดเช่นนี้ก็รู้สึกดีใจขึ้นมาเล็กน้อย
“เช่นนั้นเ้าคิดว่าเ้านายของเ้า...” ซูิเยว่ลิ้นพันกัน จู่ๆ ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี
หลิงชวนติดตามข้างกายจี๋โม่หานมานานหลายปีจึงได้ฝึกการสังเกตสีหน้ามานานพอสมควร เขาจะฟังความหมายในคำพูดของซูิเยว่ไม่ออกได้อย่างไร เขาจึงหัวเราะเบาๆ แล้วพูด “คุณหนูซูอยากจะถามว่าเ้านายรู้สึกอย่างไรกับท่านใช่หรือไม่ขอรับ?”
พอถูกหลิงชวนพูดออกมาตรงๆ เช่นนี้ แม้แต่ซูิเยว่ที่มีชีวิตมาแล้วสองชาติ แม้จะหน้าหนาแค่ไหนก็ยังรู้สึกเขินเล็กน้อย แต่โชคดีที่สภาพแวดล้อมค่อนข้างมืดจึงทำให้ดูไม่ออก
“อะแฮ่ม องครักษ์หลิงเ้าติดตามข้างกายเ้านายของเ้ามานาน เ้าคิดว่าอย่างไร?”
“ข้าคิดว่า..” หลิงชวนชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “อย่างไรข้าที่เป็ลูกน้องก็พูดเื่นี้ได้ยากขอรับ ั้แ่เด็กก็ติดตามองค์ชายมาตลอด แต่หลายปีมานี้ยังไม่เคยเห็นองค์ชายใส่ใจเื่ของคนอื่นมาก่อน องค์ชายอนุญาตให้ท่านเข้าใกล้เขา พอคุณหนูซูมีปัญหา องค์ชายก็จะโกรธขอรับ ถึงจะไม่ชัดเจน แต่ข้าที่ติดตามข้างกายองค์ชายมาหลายปีขนาดนี้ ย่อมมองออกเป็ธรรมดา อีกทั้งหลังจากที่ดวงตาขององค์ขายมองไม่เห็น เขาก็ชอบอยู่คนเดียวมาตลอดขอรับ”
“เ้านายไม่ชอบพูดจา แต่หลังจากท่านมา เ้านายก็พูดกับท่านทั้งวัน แถมยังมากกว่าพูดกับพวกเราหนึ่งเดือนอีก อารมณ์ของเขาก็ถือว่าดีกว่าแต่ก่อนมากขอรับ”
“จริงหรือ” ซูิเยว่ก้มหน้า นิ้วมือก็กำแน่นขึ้นมา
“ท่านเป็สตรีเพียงคนเดียวที่เ้านายปฏิบัติด้วยอย่างพิเศษขอรับ”
หลิงชวนถอนหายใจ “พูดตามความจริง แต่ก่อนองค์ชายดีใจหรือไม่พอใจก็จะไม่แสดงออกทางใบหน้า เมื่อเทียบกับแต่ก่อนแล้ว ตอนนี้เปลี่ยนไปเยอะมาก บางอย่างอาจเป็เพราะเผชิญหน้ากับคนที่แตกต่างจากคนอื่นก็เลยซ่อนเอาไว้ไม่ไหวขอรับ”
ซูิเยว่ไม่ได้พูดอะไร นางฟังอยู่เงียบๆ ตลอด
“คุณหนูซู ท่านอาจจะคิดว่าการที่องค์ชายปฏิบัติกับท่านแตกต่างจากคนอื่นเป็เพราะท่านรักษาดวงตาให้กับเขา แต่ว่ามันไม่ใช่แบบนั้นขอรับ แต่ไหนแต่ไรองค์ชายไม่มีทางใกล้ชิดกับคนที่ตัวเองไม่ชอบเพื่อดวงตาของตัวเองขอรับ”
หลิงชวนพูดจบก็เงียบไปครู่หนึ่ง ซูิเยว่ไม่ได้ขยับ
ผ่านไปนานเท่าไรไม่รู้ ซูิเยว่ถึงเงยหน้าขึ้นแล้วพูดเสียงเบา “ข้ารู้แล้ว หลิงชวน เ้าพาข้าไปหาเ้านายของเ้าเถิด”
ในใจของนางมีความมุ่งมั่นเพิ่มขึ้นอย่างน่าประหลาด มีความรู้สึกที่อยากจะเจอจี๋โม่หานให้ได้
“ขอรับ”
หลิงชวนเองก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เขาพาซูิเยว่ไปถึงด้านนอกห้องของจี๋โม่หานอย่างรวดเร็ว ภายในห้องยังสว่างอยู่ หลิงชวนยกมือขึ้นเคาะประตู “องค์ชาย คุณหนูซูมาหาพ่ะย่ะค่ะ”
ภายในห้องเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นถึงได้มีเสียงเ็าของจี๋โม่หานดังมา “เข้ามา”
หลิงชวนมองซูิเยว่ “เช่นนั้นข้าไปก่อนนะขอรับ”
“อืม”
หลังจากหลิงชวนไปแล้ว ซูิเยว่ที่ยืนอยู่หน้าประตูก็สูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะยกมือผลักประตูเข้าห้องไป
ภายในห้องมีแค่เทียนหนึ่งเล่ม จี๋โม่หานกำลังนั่งอยู่หลังโต๊ะหนังสือ ตรงหน้าวางกระดาษแผ่นหนึ่งเอาไว้ พอได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว มือที่ถือพู่กันก็หยุดลงแล้วมองไปทางหน้าประตู
ซูิเยว่เข้ามาในห้องแล้วปิดประตูก่อนจะเดินเข้ามาสองก้าว เมื่อมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะหนังสือ ถึงได้เห็นชัดว่าบนกระดาษคือดอกเหอฮวานสีแดงสดหนึ่งดอก ด้านล่างดอกเป็แค่โครงร่างใบหน้าคนเท่านั้น
จี๋โม่หานวางพู่กันลงก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกมาจากโต๊ะหนังสือ เขาเดินไปนั่งลงที่โต๊ะอีกด้านหนึ่งพร้อมกับเอ่ยเสียงเรียบ “นั่งสิ”
เขาทำเหมือนไม่ได้ใว่าเพราะเหตุใดซูิเยว่ถึงได้มาหาเขาดึกดื่นขนาดนี้
ซูิเยว่ยืนอยู่ไม่ขยับ แววตามองใบหน้าของจี๋โม่หาน นางลังเลออยู่ครู่หนึ่งแล้วก็เอ่ยปากออกมา “หม่อมฉันมาก็เพื่ออยากจะถามท่าน ที่ท่าน....พูดบนรถม้าวันนี้จริงหรือเพคะ?”
จี๋โม่หานเลิกคิ้ว “คำพูดที่เปิ่นหวังพูดออกไปไม่เคยโกหกใคร คำพูดบางคำ ข้าจะบอกให้แค่คนคนเดียว ชีวิตนี้ก็จะพูดแค่ครั้งเดียว เ้าเข้าใจหรือไม่?”
ซูิเยว่หลุบตาลงพลางกัดริมฝีปากเหมือนกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง ครู่หนึ่งถึงได้เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าจี๋โม่หานแล้วพูดเสียงจริงจัง “จี๋โม่หาน เ้าชอบข้าใช่หรือไม่?”
ภายในห้องเงียบลงไปในชั่ววินาที
หลังจากซูิเยว่ถามประโยคนี้ออกไปแล้ว นางถึงได้รู้สึกว่าหัวใจของตัวเองเต้นเร็วราวกับกลอง สายตาจ้องใบหน้าของจี๋โม่หาน ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้รู้สึกตื่นเต้นนัก
อาจจะเพราะจี๋โม่หานคิดไม่ถึงว่านางจะถามออกมาตรงๆ ในที่สุดสีหน้าก็เริ่มเปลี่ยนแปลง เผยให้เห็นอาการใอย่างชัดเจน แต่เพียงครู่เดียวก็กลับมาเป็เหมือนเดิม
“ใช่”
จี๋โม่หานตอบกลับสบายๆ ไม่ได้มีความคิดที่จะปิดบังเลยสักนิด
ในตอนที่เขาตอบกลับมาแบบสบายๆ เช่นนี้ วินาทีนั้นเหมือนมีค้อนหนักๆ มาทับลงไปที่ใจของซูิเยว่
นางพูดไม่ออกว่าในใจนั้นรู้สึกอย่างไร ทั้งใและยินดีเล็กน้อย
นางหายใจเข้าลึกๆ พยายามกดความรู้สึกที่ฟูขึ้นมาลงไป
จี๋โม่หานถามกลับ “แล้วเ้าล่ะ?”
ซูิเยว่อ้าปาก แต่กลับไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร นางยังไม่รู้ว่าความรู้สึกที่ตนเองมีต่อจี๋โม่หานนั้นถือว่าเป็รักหรือไม่
สีหน้าของจี๋โม่หานฉายแววรอคอยมาเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เร่งนางแล้วรอคอยอยู่เงียบๆ
“ข้า...ข้าไม่รู้” ซูิเยว่เอ่ยอย่างคิดมากเล็กน้อย “ข้า...จำเป็ต้องยืนยันก่อน”
“ยืนยันอย่างไร?” จี๋โม่หานถามอย่างมั่นใจ
ซูิเยว่พลันก้าวมาสองก้าวเข้าไปใกล้กับจี๋โม่หานมากขึ้น เข่าของทั้งสองคนแทบจะแตะกัน ััถึงลมหายใจของกันและกันได้
ซูิเยว่มองใบหน้าที่ใกล้กันแค่คืบ สายตาเลื่อนลงมาั้แ่คิ้วสวยของจี๋โม่หานและลงมาเรื่อยๆ สุดท้ายก็หยุดที่ริมฝีปากสีชมพูของเขา
ความรู้สึกที่จี๋โม่หานมีให้กับคนอื่นนั้นเ็ามาก แต่ริมฝีปากของเขากลับมีเสน่ห์ยั่วยวนเกินคาด
จี๋โม่หานรู้สึกแค่ว่าตรงหน้ามีเงาตกลงมา เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย
วินาทีต่อมามือข้างหนึ่งที่เย็นเฉียบก็มาแตะที่คางของเขาบังคับให้เขาเงยหน้าขึ้นสูงกว่าเดิม ต่อมาความนุ่มที่แฝงไปด้วยความอุ่นร้อนและชื้นก็ประกบทับลงมา
“อื้อ....”
ร่างกายของจี๋โม่หานแข็งค้างไป ดวงตาก็ลืมขึ้น ขนตาสั่น
มือจับที่วางแขนแน่นขึ้นมาทันที ร่างกายแข็งเกร็งจนเป็เส้น เวลาในการจูบครั้งนี้สั้นมาก เพียงแค่ััเบาๆ แล้วก็ถอยห่างออกไป
แต่ััเล็กๆ นี้ทำให้ลมหายใจของทั้งสองคนไม่มั่นคง
ซูิเยว่ยังอยู่ในท่าโน้มเอว มือยังวางที่คางของจี๋โม่หาน ก่อนจะถอยตัวเพิ่มระยะห่างระหว่างพวกเขาเล็กน้อย