ที่จริงได้ยินว่าหวงฝู่จินจะไปเมืองชิงเหลียนนางก็ไม่ค่อยแปลกใจนัก ให้คนอย่างเขาหมกตัวอยู่แต่ในเมืองชิงหยางต่างหากที่เป็ไปไม่ได้ แต่ที่ประหลาดใจคือเหตุใดตอนนางเล่าว่าพรุ่งนี้นางจะไปชิงเหลียนกับหลี่ฮูหยิน เขาถึงไม่บอกว่าพรุ่งนี้ก็ไปเช่นกัน?
หรือเป็ปฏิบัติการลับที่หวงฝู่จิน้าปิดบังนาง? เป็ไปไม่ได้ เพราะเหล่าลิ่วเป็คนบอกนางอยู่นี่
หลินฟู่อินเดาไม่ออก แต่นางเป็คนใจกว้างอยู่แล้ว ในเมื่อคิดไม่ออกก็ไม่อยากจะคิดต่อ
รถม้ารวดเร็วแต่นุ่มนวล ใช้เวลาราวสองเค่อก็มาถึงบ้านใหม่ในเมืองแล้ว ลงจากรถม้าหลินฟู่อินไม่ได้ตรงเข้าบ้าน แต่หันไปคุยกับเหล่าลิ่วชั่วครู่ จากนั้นก็ตรงไปยังตลาด
ตลาดเย็นในตลาดผักยังไม่ปิด ตอนนี้ยังซื้อผักได้อยู่
แต่่นี้อากาศเย็นขึ้นทุกวัน ในตลาดเริ่มหาผักใบเขียวยากขึ้นทุกที หลินฟู่อินเดินดูก็เลือกซื้อเต้าหู้ ฟองเต้าหู้ ไก่ที่เพิ่งเชือดตัวหนึ่งกับเนื้อหมู
นางตั้งใจจะทำอาหารดีๆ เลี้ยงหวงฝู่จินจริงๆ ครั้งนี้นางจริงใจมาก
ถึงวันนี้อีกฝ่ายจะกัดนาง แต่นางก็ไม่ใช่คนที่จะใส่ใจหรือคิดมากอะไรอยู่แล้ว
ดังนั้นพอหวงฝู่จินเห็นของที่นางซื้อกลับมาก็ประหลาดใจนัก อย่างไรวันนี้เขาก็ล่วงเกินนาง คิดว่าคืนนี้นางจะให้เขากินแผ่นแป้งแห้งๆ เสียอีก คนกลับใจกว้างซื้อของมาเสียนี่
ดวงตาหวงฝู่จินทอประกายแวววาว หรือเพราะพรุ่งนี้นางจะไปเมืองชิงเหลียน วันนี้จึงทำอาหารหรูหราเลี้ยงเขา?
แน่นอนว่าจังหวะนี้ชายหนุ่มไม่นับตวนมู่เฉิงและเหล่าลิ่วเข้าไปในสมการโดยทันที
หลินฟู่อินส่งเนื้อให้เหล่าลิ่วเอาไปล้าง ส่วนตัวนางเป็คนล้างผักเอง ล้างจนเสร็จก็กระชับผ้ากันเปื้อน เริ่มหั่นผัก หวงฝู่จินเห็นนางง่วนกับการทำกับข้าวด้วยความรวดเร็วก็เดินมาข้างหม้อ ถลกชายเสื้อคลุมขึ้นก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้หน้าเตา มองหลินฟู่อินแล้วถาม “จุดไฟเลยไหม?”
หลินฟู่อินเพิ่งเห็นว่าเขานั่งอยู่หน้าเตา มุมชายเสื้อถลกขึ้น เห็นสีหน้าจริงจังของชายหนุ่มก็คิ้วกระตุก
นางวางมีดทำครัวในมือลงทันที เช็ดมือกับผ้ากันเปื้อน เดินไปหาเขาแล้วขมวดคิ้วมอง “คุณชาย ผู้สูงศักดิ์เช่นท่านจะมาจุดไฟได้อย่างไร? ล้อข้าเล่นแล้วเ้าค่ะ ท่านอย่าสร้างปัญหาให้ข้า นั่งอยู่ตรงนี้เฉยๆ นะเ้าคะ”
ให้คนเช่นหวงฝู่จินจุดไฟเตาอาหาร? ดูจากท่าทางและการกระทำก่อนหน้านี้ของเขาก็รู้สึกได้ว่าไม่เคยทำงานอะไรมาก่อน แล้วจะจุดไฟได้หรือ?
อย่ามาวางเพลิงบ้านใหม่นางนะ…
อีกอย่าง พูดตามตรง นางทนให้ผู้ชายหล่อๆ แต่งตัวสะอาดสะอ้านมาจุดไฟทำอาหารไม่ได้จริงๆ
อืม ประมาณว่าถ้าเป็ภาษาปัจจุบันก็คือ รับหน้าที่เป็วิชวล หล่อๆ แบบนั้น
“ฮ่าๆ คุณหนูดูถูกนายท่านเกินไปแล้ว นายท่านจุดไฟทำอาหารได้ดีมากขอรับ แกะหันนับว่าเป็อาหารจานเด็ดเลยทีเดียว!” เหล่าลิ่วได้ยินหลินฟู่อินพูดว่าผู้เป็นายก่อไฟไม่เป็ก็หัวเราะลั่นทันที พอคิดถึงแกะย่างที่นายท่านทำ น้ำลายก็เกือบจะหก
หลินฟู่อินได้ยินว่าเป็แกะย่างทั้งตัวก็น้ำลายไหลเล็กน้อย ที่จริงนางชอบกินเนื้อแกะ โดยเฉพาะแกะย่างทั้งตัว นางเคยกินครั้งหนึ่งตอนไปเที่ยวมองโกเลียเมื่อชาติก่อน
กินหนึ่งครั้งกลับจำได้ทั้งชีวิต ไม่นึกว่าหวงฝู่จินจะทำแกะหันได้ ฟังเสียงน้ำลายของเหล่าลิ่วแล้วนางไม่สงสัยในความน่าเชื่อถือเลย
เพราะเหล่าลิ่วเป็จะกละ ปากเขาเลือกกินที่สุด แน่นอนต้องรู้ว่าอะไรอร่อยไม่อร่อย
แกะหันที่เขาชื่นชมขนาดนั้น นางก็หวังว่าอีกหน่อยหวงฝู่จินจะใจกว้างย่างให้นางได้ลองชิมดูบ้าง
ใจนางแล่นไปหาแกะหัน แต่เหล่าลิ่วเห็นนางไม่พูดอะไรอยู่นานก็คิดว่านางไม่เชื่อจึงได้รับปากเป็มั่นเป็เหมาะ “คุณหนูคงไม่เชื่อข้า รออีกสักหน่อยเมื่อได้ลองแกะหันแล้วท่านจะเห็นเองขอรับว่าแค่ได้มองก็อร่อยแล้ว!”
“โอ เวลาที่นายท่านทำแกะหัน ั้แ่จุดไฟไปจนปรุงรสไม่ว่าใครก็ห้ามเข้าไปยุ่ง นายท่านล้วนทำเองทั้งหมด คิดว่านายท่านจะโดนไฟลวกไหมล่ะขอรับ?” เหล่าลิ่วเสริมอีก
“ข้าเชื่อแล้ว ข้าเชื่อแล้ว” หลินฟู่อินยิ้ม
“พูดมากไปแล้ว” หวงฝู่จินมองเหล่าลิ่ว จากนั้นก็พูดกับหลินฟู่อิน “ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ทำเื่ที่ไม่มั่นใจ”
ในเมื่อพูดกันขนาดนี้แล้วหลินฟู่อินก็ได้แต่ปล่อยเขา ประเดี๋ยวนางหั่นฟองเต้าหู้แล้วเติมพริกเข้าไปก็ใส่หม้อได้
“เช่นนั้นท่านก่อไฟ ข้าจะเทน้ำมันใส่หม้อแล้วเ้าค่ะ” หลินฟู่อินยังกังวลอยู่บ้าง “คุณชาย หากไม่รู้วิธีจริงๆ ก็อย่าฝืนนะเ้าคะ”
หวงฝู่จินมองเด็กสาวด้วยสายตายืนยัน จากนั้นยื่นมือออกไปหยิบฟืนไม้แห้งๆ มาใส่เตา ปั้นหัวเชื้อไฟเป็ก้อนกลมแล้ววางไว้ใต้ฟืนในเตา ก่อนจะนำหินไฟมาจุดจนไฟลุกในคราวเดียว
เพียงครู่หนึ่ง ในครัวก็อบอวลไปด้วยกลิ่นขิงและกระเทียม
หลินฟู่อินรู้สึกโล่งใจ ปล่อยหวงฝู่จินดูไฟไป
คนหนึ่งอยู่บนเตา คนหนึ่งอยู่ล่างเตา เข้ากันได้ดีไม่มีรอยต่อ
ในครัวเต็มไปด้วยบรรยากาศอบอุ่นเป็ธรรมชาติ…
อาหารเย็นมื้อสุดท้าย หลินฟู่อินทำกับข้าวเจ็ดอย่าง น้ำแกงหนึ่งอย่าง
มีฟองเต้าหู้ทอดกับพริก ผัดเต้าหู้เสฉวน หมูสามชั้นผัดเจี้ยง [1] แดง เท้าหมูตุ๋น ไก่ผัดมันฝรั่ง ไก่น้ำลายสอ ถั่วทอดกับน้ำแกงหัวไชเท้าใส่ซี่โครงหมู
อาหารมื้อเย็นนี้นับว่าเต็มไปด้วยอารมณ์ยินดี หลินฟู่อินเห็นว่าหวงฝู่จินดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ไม่ว่าอย่างไรบางทีหวงฝู่จินก็ดูเย่อหยิ่ง บางทีก็ดูคล้ายมีคนทำให้รำคาญใจตลอดเวลา แต่อย่างน้อยก็ทำแกะหันเป็ แล้วยังทำแกะหันที่ว่านี่ให้ลูกน้องกิน นับเป็ขุนนางที่ดีทีเดียว
อืม เวลาเป็เื่ของสตรีเขาก็ไม่ได้ทำตัวสบายๆ ดูอย่างแม่นางเยว่ที่ดูมีเสน่ห์คนนั้นเขายังไม่ชายตามองแม้แต่น้อย
พอคิดถึงเื่นี้ หลินฟู่อินก็ตัวแข็งทื่อ จากนั้นก็หน้าแดงขึ้นมา เขาจะมองหรือไม่มองสตรีที่ไหนเหตุใดนางต้องสนใจด้วย?
“พี่ชายใหญ่บ้านลุงเ้าคนนั้น เ้าต้องระวังไว้ให้ดี”
ในตอนที่หลินฟู่อินหน้าแดงนั้นเอง หวงฝู่จินบังเอิญมองผ่านไปพอดี เห็นใบหน้าเล็กๆ ขึ้นสีแดงก่ำก็ประหลาดใจ
เด็กคนนี้ไม่ได้ดื่มสุรา เหตุใดจึงหน้าแดงขึ้นมาได้?
หรือน้ำแกงจะเผ็ดเกินไป?
หลินฟู่อินเห็นชายหนุ่มมองมาก็รีบก้มหน้าทันที ครุ่นคิดถ้อยคำของเขาด้วยความระมัดระวังสักครู่ก็เงยหน้า “นี่ ท่านพูดถึงหลินต้าหลางหรือ? เขาทำอะไร?”
หากนางจำได้ถูกต้อง หวงฝู่จินเคยพูดเช่นนี้ต่อหน้านางมาแล้วสองรอบ
“เ้าหมาป่าตาขาวนั่นอำมหิตและใจกล้า คนเช่นนี้หากไม่ประสบโชคร้ายจนตายก็โชคดีได้เป็วีรบุรุษ ข้าเห็นเ้าไม่ชอบเขา จึงแนะนำเอาไว้ให้ระวังตัวจากเขา” หวงฝู่จินนึกถึงหลินต้าหลางผู้นั้นแล้วดวงตาก็หรี่ลงเล็กน้อย
“พรืด…” ฟังที่เขาพูดว่าโชคร้ายจนตาย หลินฟู่อินก็หัวเราะลั่น “ข้าไม่ได้ไม่ชอบเขาเท่านั้น นอกจากพี่สามกับพี่สองที่ออกไปฝึกฝนวิชาแล้วทุกคนในบ้านนี้ก็รับมือยากทั้งนั้น อยู่ห่างจากพวกเขาให้มากเท่าที่ข้าทำได้ถือว่าดีที่สุด”
หวงฝู่จินพยักหน้า เขามีเื่ต้องทำมากมาย ไม่อาจส่งคนมาคอยเฝ้ามองนางได้ตลอดเวลา ดีแล้วที่นางอยู่ห่างๆ จากญาติตัวดีเหล่านี้
เพราะวันพรุ่งนี้หลินฟู่อินยังต้องตื่นแต่เช้า วันนี้นางจึงได้รีบอาบน้ำเข้านอนั้แ่หัวค่ำ
วันต่อมา พอไก่ขันสามครั้งหลินฟู่อินก็เร่งร้อนตื่นขึ้นมาเก็บซื้อผ้า ตั๋วแลกเงินตำลึงใบละหนึ่งร้อยมาสองใบ เงินตำลึงอีกสิบกว่าตำลึงเงินและเงินอีแปะอีกพอสมควร จากนั้นก็เดินออกไปรอหน้าประตูบ้านพร้อมล่วมยา
เวลาในตอนนี้ยังไม่สว่าง บนท้องฟ้ายังคงหลงเหลือแสงดาวทอประกาย
หมอกลงจัด ก่อตัวหนาทำให้รู้สึกหนาวจนแทบแข็ง
่ปลายฤดูใบไม้ร่วงของทางเหนือเย็นกว่าฤดูหนาวของทางใต้ หลินฟู่อินขยับเท้าไปมา พ่นลมหายใจอุ่นๆ ใส่มือตัวเอง
โชคดีที่รอไม่นานนักก็เห็นรถม้าของหลี่ฮูหยินค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้ามา
เมื่อรถม้าหยุดลง หลี่ฮูหยินก็เลิกม่านขึ้นทักทายหลินฟู่อิน “รีบขึ้นมาเร็ว กว่าจะไปถึงเมืองนู้นก็นานทีเดียว ขึ้นมานอนพักผ่อนเสียหน่อยเถอะ”
จากนั้นสาวใช้ชราสกุลเจียงที่รับใช้ข้างกายหลี่ฮูหยินก็ลงมาช่วยประคองนางขึ้นรถม้า
หลี่ฮูหยินสวมเสื้อขนเตียวสีฟ้าสว่างดังสายฝน สวมที่อุ่นมือเอาไว้ ยังมีผ้าห่มขนแกะจากเป่ยหรงคลุมขา
เห็นหลินฟู่อินขึ้นรถม้ามานั่งเรียบร้อยแล้วคนก็สั่งเจียงหมัวมัวว่า “เอาผ้าห่มขนแกะที่ข้าเตรียมมาห่มให้แม่นางหลิน”
เจียงหมัวมัวยิ้มรับ หยิบผ้าห่มที่ถูกพับเป็สี่เหลี่ยมเรียบร้อยสีสันสดใสออกมาสะบัดก่อนจะห่มให้ถึงอกของหลินฟู่อิน
“ผ้าห่มขนแกะนี้อบอุ่น แต่สีสันสดใสเกินไปคงดูไม่สง่างามนัก” หลี่ฮูหยินยิ้ม
“ชาวเป่ยหรงเรียบง่ายมีชีวิตชีวา ชอบสีสันสดใสลวดลายซับซ้อนก็ไม่แปลกเ้าค่ะ” หลินฟู่อินััผ้าห่ม ไม่เพียงลายปักงดงามทว่าสำคัญที่สุดคืออบอุ่นเป็อย่างยิ่ง
แต่สีสันนับว่าฉูดฉาดเกินไปจริงๆ หลี่ฮูหยินชอบสีเรียบๆ ดูสง่างามมากกว่า
คิดเช่นนี้ดวงตาของหลินฟู่อินก็ทอประกายขึ้นมา ด้านหนึ่งมีน้ำ ด้านหนึ่งมีดิน คนเป่ยหรงชอบนั่น คนต้าเว่ยชอบนี่ก็เป็เื่ธรรมดา แต่คนจากเป่ยหรงเองก็สามารถทำของให้คนต้าเว่ยได้เช่นกัน ดูอย่างผ้าห่มขนแกะนี่เถอะ สามารถทำเป็ลายอะไรก็ได้ทั้งนั้น จะทำให้มีลวดลายอ่อนหวานสง่างามมาขายชาวต้าเว่ยก็ยังได้!
โดยเฉพาะขุนนางสตรีต้าเว่ยย่อมต้องหลงรักผ้าห่มขนแกะอุ่นๆ ที่มีลวดลายอ่อนช้อยงดงามเป็แน่!
คิดๆ ดูแล้วหลินฟู่อินก็ถามออกไป “ฮูหยินเ้าคะ มิใช่คนเป่ยหรงก็ถักผ้าห่มขนแกะให้พวกเาาวต้าเว่ยหรือ?”
หลี่ฮูหยินหัวเราะก่อนจะแค่นเสียง “พวกคนเถื่อนเป่ยหรงหัวดื้อกันดียิ่งนัก เ้าไม่ซื้อผ้าห่มขนแกะพวกเขาก็แล้วไปเถอะ แต่หากเ้ากล้าบอกว่าผ้าห่มขนแกะไม่ดี คนพวกนั้นจะวิ่งตามด่าเ้าไปหลาย่ถนนทีเดียว”
อีกนัยหนึ่งก็คือ ชาวเป่ยหรงจะถักทอแต่ผ้าห่มแบบที่ตัวเองชอบเพื่อขายเท่านั้น
หากนางเกลี้ยกล่อมหวงฝู่จินให้หาทางถักผ้าห่มขนแกะเป็สีสันและลวดลายแบบที่ชาวต้าเว่ยชอบ นำมาขายให้ขุนนางสตรีชาวต้าเว่ย มิใช่นางจะได้เงินอีกมากมายหรือ?
แต่ว่าเื่นี้เป็ความคิดของนาง หวงฝู่จินจะอยากได้เงินหรือไม่ก็เื่ของเขา อย่างไรนางก็ไม่มีทางได้เงินก้อนนี้มาอยู่แล้ว
หลินฟู่อินผลักความคิดนั้นออกไป ก่อนจะหันไปยิ้มกับหลี่ฮูหยิน “ท่านเตรียมการเื่ที่จวนเรียบร้อยหมดแล้วหรือเ้าคะ?”
หลี่ฮูหยินพยักหน้า มือภายใต้ที่อุ่นมือกำแน่น คนเอนตัวพิงหมอนสีเทาอ่อนใบใหญ่แล้วยิ้ม “ล้วนจัดเตรียมไว้หมดแล้ว อันที่จริงก็ไม่จำเป็ต้องเตรียมการมากมาย สามีข้ามีสาวใช้รุ่นใหญ่อยู่ ข้ามีหลี่อี้ช่วยดูแล ลูกทั้งสามก็กำลังไปยังบ้านบรรพบุรุษ ส่วนเื่กิจการก็มีพ่อบ้านมากฝีมืออยู่ ไม่มีอะไรให้เป็กังวล ถึงเวลาสามีข้ามีแต่จะดีใจที่ข้าไปเยี่ยมน้องสามี กล่าวว่าน้องสาวได้พี่สะใภ้ไปช่วยดูแลเช่นนี้ก็ไม่มีอะไรต้องกลัวแล้ว”
นิ่งไปเล็กน้อย คนก็กล่าวต่อ “สกุลหลี่เป็ตระกูลใหญ่ ข้ามีลูกพี่ลูกน้องเขยสะใภ้มากมาย กลัวแต่จะไม่ได้ไปเยี่ยมบ้านน้องสาวในชิงเหลียน ถึงจะได้ไปก็เกรงว่าคงอยู่ดูได้ไม่นาน เพราะสนิทกันจึงอยู่ได้นานขึ้นหน่อย แต่หากนานกว่านี้คงต้องมีเหตุผลดีๆ ให้ข้าแล้ว”
หลินฟู่อินลองนึกตามก็เห็นว่าหลี่ฮูหยินพูดถูกแล้ว
ไม่ว่าการคลอดของหลี่ซื่อที่บ้านนั้นจะราบรื่นหรือไม่ หลี่ฮูหยินก็อยู่เป็เพื่อนนางถึงครึ่งเดือน นายท่านผู้เฒ่าสกุลหลี่ทราบเื่นี้ย่อมต้องพอใจ บางทีความขัดแย้งที่ผูกปมมาสิบกว่าปีอาจจะคลายตัวลงก็เป็ได้
หลินฟู่อินกับหลี่ฮูหยินคุยกันนานจนเหนื่อย สักพักก็หลับไปทั้งคู่
พอลืมตาอีกครั้งก็เป็เวลาเกือบเที่ยงวันแล้ว
หลี่ฮูหยินอาจจะเริ่มมีอายุ พอตื่นเช้าเกินไปจึงได้เหน็ดเหนื่อยยากจะหายเพลีย ตอนนี้ก็ยังหลับอยู่
เจียงหมัวมัวเองก็เอนกายพิงผนังรถม้า กรนเบาๆ
ตอนนี้รถม้าวิ่งมาจนถึงชานเมืองชิงเหลียนแล้ว
หลินฟู่อินเลิกม่านรถม้าขึ้น ภายนอกเป็สีเขียวสดแสนสงบของนาข้าวสาลี นางมองเมล็ดข้าวสาลีที่เติบโตเป็อิสระภายใต้แสงอาทิตย์สดใสและสายลมสดชื่น ก่อนจะยื่นหน้าออกไปสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด
อากาศเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของข้าวสาลี
“คุณหนู คุณหนู!”
ได้ยินเสียงเรียกอันคุ้นเคย หลินฟู่อินชะงัก พอหันไปมองด้านหลังรถม้าที่ตัวเองโดยสารก็เห็นว่ามีรถม้าที่เหล่าลิ่วขับเมื่อวานกำลังตามมา
หรือหวงฝู่จินก็อยู่บนรถม้าคันนั้น?
รถม้าคันนั้นดูแสนธรรมดา เทียบกับรถม้าของหลี่ฮูหยินไม่ได้แม้แต่ครึ่งด้วยซ้ำ
เด็กสาวคิดว่าบางทีหวงฝู่จินคงเลือกนั่งรถม้าเช่นนี้เพื่อเลี่ยงสายตาผู้อื่นกระมัง
นางยิ้ม โบกมือให้เหล่าลิ่ว
เห็นว่านางมองเห็นเขาแล้ว เหล่าลิ่วจึงโบกมือตอบ
“นายท่าน คุณหนูเห็นข้าแล้วขอรับ น่าจะรู้ว่าท่านอยู่ในรถม้าคันนี้เช่นกัน” เหล่าลิ่วบอกหวงฝู่จินที่นั่งอ่านหนังสือตามสบายอยู่ในรถ
หวงฝู่จินส่งเสียงอืมเบาๆ ออกมาคำหนึ่ง นางคุ้นเคยกับเ้าโง่เหล่าลิ่วจริงๆ
“ไม่รู้ว่าคุณหนูจะเดาออกหรือไม่ ที่นายท่านตามหลังมาก็เพื่อปกป้องคุณหนู…”
“นางไม่จำเป็ต้องรู้ ทั้งยังไม่จำเป็ต้องได้รับการปกป้อง นั่งอยู่บนรถม้าสกุลหลี่เช่นนี้ โจรูเาเมืองชิงเหลียนอย่างไรก็ไม่กล้าแตะต้องสกุลหลี่” หวงฝู่จินพูดเสียงเบา
เหล่าลิ่วเบิกตากว้าง มองนายท่านด้วยความสับสนแล้วคิดในใจ ‘ก็ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่าไม่ต้องปกป้องคุณหนูก็ได้ นายท่านจะให้คนขับจงใจขับช้าๆ ตามหลังรถม้าคันหน้าทำไมล่ะขอรับ’
ม้าของพวกเขาดูธรรมดาก็จริง แต่เป็ถึงม้าอันล้ำค่าแห่งเป่ยหรง วิ่งได้ทั้งวันทั้งคืนถึงแปดร้อยลี้เชียวนะท่าน?
ผ่านชานเมืองชิงเหลียนไปอีกไม่ถึงสองชั่วยามก็เข้าสู่เขตเมืองชิงเหลียนแล้ว
ทันทีที่เข้าประตูเมือง หลินฟู่อินก็ััได้ถึงความแตกต่าง
เสียงผู้คนที่จอแจ เต็มไปด้วยชีวิตชีวา
นางเลิกม่านขึ้นอีกครั้งเพื่อดูผู้คนในชิงเหลียน
เห็นเช่นนี้ก็ตะลึงไป
บนถนนหนทางเต็มไปด้วยผู้คน แม้จะเรียกว่าคลื่นมนุษย์ไม่ได้ แต่อย่างไรก็มีคนกลุ่มใหญ่ๆ สองสามกลุ่มเสมอ
ภาพที่เห็นทำให้เด็กสาวอึ้งไป ดูแล้วไม่นึกเลยว่าจะเป็เพียงเมืองชายแดนของต้าเว่ย หากนางมีโอกาสทำการค้าที่นี่ก็ดูจะรุ่งเรืองไม่น้อยเลยไม่ใช่หรือ?
“คึกคักดีใช่หรือไม่?” หลี่ฮูหยินตื่นพอดี เห็นหลินฟู่อินเลิกม่านมองออกไปก็ยิ้มถาม
คนถูกถามหันกลับมา “ฮูหยินตื่นแล้ว หลับสบายหรือไม่เ้าคะ?”
“ข้าหลับลึกดียิ่ง ขนาดรถม้าสั่นไปมาอย่างไรก็ไม่รู้สึก” หลี่ฮูหยินยืดแขนก่อนจะนวดหน้าแล้วยิ้ม
หลินฟู่อินยิ้มตาม รถม้าคันนี้ไม่สั่นเลย นุ่มนวลราวกับเปล ไม่ตื่นก็ไม่แปลก
“ที่จริงชิงเหลียนเป็มลฑลแรกของต้าเว่ยที่ผู้คนจากแคว้นอื่นมารวมกัน แต่เื่นี้มิกล้าป่าวประกาศให้ราชสำนักรู้” หลี่ฮูหยินยิ้ม ชี้ไปที่ร้านค้าแห่งหนึ่งด้านนอก “หลายปีมานี้เพราะมีการค้าขายข้ามแดนจึงเกิดเป็ความสัมพันธ์ ใครที่มีเส้นสายล้วนแต่มาที่เมืองนี้เพื่อค้าขายทั้งนั้น จากนั้นก็ซื้อบ้าน ซื้อร้าน แล้วพากันมาอยู่ทั้งครอบครัว ประชากรชิงเหลียนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ปริมาณภาษีที่พ่อค้าแม่ค้าจ่ายทุกปีมีจำนวนมหาศาลทีเดียว!”
หลินฟู่อินคิดกับตัวเองว่าในเมื่อต้องจ่ายภาษีมาก เช่นนี้จะปิดบังความรุ่งเรืองของชิงเหลียนจากราชสำนักได้อย่างไร? หากปิดบังเอาไว้จริงๆ เช่นนี้แปลว่าขุนนางท้องถิ่นคงร่วมมือกันโกงเงินภาษีที่พวกพ่อค้าจ่ายกระมัง
หากขุนนางร่วมมือกัน ราชสำนักย่อมจับไม่ได้ แปลว่าเป็ไปได้สองอย่าง ถ้าไม่ใช่มีใครบางคนโกงกิน ก็แปลว่าการปกครองของต้าเว่ยเน่าเฟะจากภายใน
แต่ไม่ว่าจะเป็แบบใดก็ไม่ดีต่อชาวชิงเหลียนทั้งนั้น
หลินฟู่อินเม้มปากโดยไม่รู้ตัว แม้จะรู้เื่เช่นนี้ทว่าอย่างไรก็ไม่เกี่ยวกับนางที่เป็คนทั่วไป…
“ข้ามถนนด้านหน้านี้ไปก็จะเห็นจวนสกุลโจวแล้ว” หลี่ฮูหยินเลิกม่านมองถนน ทันใดนั้นก็ชี้ไปยังทางสามแยกให้หลินฟู่อินดู
เด็กสาวยิ้มพยักหน้ารับ
เมื่อมาถึงประตูจวน คนขับรถม้าสกุลหลี่ก็ลงจากรถมาอธิบายความเป็มาเป็ไปให้บ่าวเฝ้าประตูสกุลโจวฟัง
บ่าวคนนั้นมองคนขับรถม้าสกุลหลี่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงห่างเหิน “เช่นนั้นก็รอก่อน ข้าจะไปแจ้งนายท่าน!”
เสียงของบ่าวคนนั้นค่อนข้างดัง หลินฟู่อินและหลี่ฮูหยินต่างได้ยินชัดเจน มิใช่สกุลโจวเป็ตระกูลบัณฑิตหรอกหรือ? จวนแห่งนี้มีบันฑิตมากมาย หลายคนได้เป็ขุนนาง? เหตุใดบ่าวรับใช้จึงดูไร้กฎเกณฑ์?
หลินฟู่อินมองหลี่ฮูหยิน เริ่มสงสัยเื่ที่หลี่ฮูหยินเคยบอกว่าน้องสาวสามีเป็ที่รักใคร่เคารพของบ้านสามี
สีหน้าหลี่ฮูหยินไม่ได้ดูดีอีกแล้ว ใบหน้างามมีเสน่ห์ดูตึงเครียดขึ้นมา
เจียงหมัวมัวหวาดกลัวจนแทบะโ
แต่อย่างไรก็ต้องรออยู่ในรถม้าจนกว่าบ่าวคนนั้นจะไปแจ้งข่าว
หลินฟู่อินมองหลี่ฮูหยินด้วยสายตากังวล เห็นท่าทีของสกุลโจวที่มีต่อหลี่ฮูหยินแล้ว หลี่ฮูหยิน้ามาเยี่ยมหลี่ซื่อน้องสาวของสามี แต่เกรงว่าเื่คงไม่ราบรื่นนัก…
---------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] เจี้ยง (酱) หมายถึง ซอส
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้