ในที่สุดก้าวขึ้นสู่ระดับิญญาแท้ขั้นที่สองแล้ว
หลงอวี้ลุกขึ้นพร้อมกับที่ดวงตาฉายแววครุ่นคิดออกมา
‘ฉู่เฉาเซิงใส่หญ้าคุมใจเข้าไปในโอสถทองคำัทะยาน แต่ข้ากลับไม่ติดกับ มันต้องรู้สึกตัวแล้วเป็แน่ เกรงว่าอีกไม่นานมันต้องเริ่มเคลื่อนไหวเพื่อเล่นงานข้าอีกแน่...’
‘ยังมีเวลาอีกสี่เดือนก่อนที่งานประลองยุทธ์เจ็ดสำนักจะเริ่มขึ้น ทางที่ดี่นี้ข้าอย่าเพิ่งปรากฏตัวให้ฉู่เฉาเซิงเห็นจะดีกว่า รอให้ถึงตอนที่เริ่มงานประลองแล้วค่อยกลับไปก็ยังไม่สาย’
ใน่ที่จัดงานประลองเจ็ดสำนักลัทธินั้น ผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหมดในอาณาจักรต้าถังจะพุ่งความสนใจมาที่งานประลอง คิดว่าฉู่เฉาเซิงเองก็ไม่มีทางเล่นตุกติกอะไรได้แน่ ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งประมุขทั้งเหล่าผู้าุโทั้งหลายเองก็จะเข้าร่วมงานด้วย จะต้องปลอดภัยปกติไม่น้อยแน่
งานประลองเจ็ดสำนักลัทธิ เป็เวทีที่จัดขึ้นเพื่อให้เหล่าผู้ฝึกยุทธ์รุ่นเยาว์ของเจ็ดสำนักลัทธิใหญ่ในอาณาจักรต้าถังได้มาประลองกัน ผู้ที่จะเข้าร่วมได้มีเพียงลูกศิษย์รุ่นเยาว์ของเจ็ดสำนักลัทธิใหญ่เท่านั้น
ซึ่งรุ่นเยาว์ที่ว่านั้น หมายถึงหนุ่มสาวที่มีอายุไม่ถึงยี่สิบห้าปี อีกทั้งระดับวิถียุทธ์ต้องไม่ต่ำกว่าวิถียุทธ์ขั้นแปดด้วย
ก่อนหน้านี้ไม่นานปู้สิงเคยบอกกับหลงอวี้ว่า ในบรรดาเก้ายอดฝีมือรุ่นเยาว์ที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรต้าถังนั้น ตัวปู้สิงถูกจัดอยู่ในอันดับที่แปด ส่วนยอดฝีมือของสำนักดาบสะบั้นคือต้วนเมี่ยนั้นถูกจัดอยู่ในอันดับที่เก้า
ส่วนอีกเจ็ดคนที่อยู่อันดับก่อนหน้านั้น เกินครึ่งเป็ลูกหลานของตระกูลใหญ่ ไม่ใช่ลูกศิษย์ของเจ็ดสำนักลัทธิใหญ่
แต่เดิมแล้ว ปู้สิงนับเป็หนึ่งในยอดฝีมือรุ่นเยาว์เพียงไม่กี่คนที่แข็งแกร่งที่สุดในทั้งเจ็ดสำนักลัทธิใหญ่ ต่อให้เป็ต้วนเมี่ยก็มีฝีมือทัดเทียม หากต่อสู้กันจริงๆ ก็ยังไม่แน่ว่าใครจะเป็ฝ่ายชนะ
แต่ดูท่าทางว่า ผู้ที่เก็บซ่อนพลังฝีมือที่แท้จริงไว้เหมือนอวี่เชียนหนิงเกรงว่าจะมีไม่น้อยเลย!
‘หากคิดจะเอาชนะอวี่เชียนหนิงในงานประลองเจ็ดสำนักล่ะก็ ใน่สี่เดือนที่เหลือนี้ข้าต้องยกระดับวิถียุทธ์ขึ้นให้ได้อย่างน้อยอีกหนึ่งขั้น!’
‘อีกทั้งความแข็งแกร่งของอวี่เชียนหนิงไม่มีทางหยุดนิ่งอยู่แค่นี้แน่ จำเป็ต้องเตรียมพร้อมรับมือกับนางที่อาจจะก้าวสู่ระดับิญญาแท้ขั้นที่ห้าด้วยถึงจะวางใจได้...’
‘การจะทำอย่างนั้นได้ ใน่เวลาสี่เดือนที่เหลือนี้ข้าก็จำเป็ต้องต่อสู้อย่างต่อเนื่อง!’
หลงอวี้นึกย้อนไปถึงสิ่งที่เฟิงฉางเกอเคยพูดกับเขาก่อนหน้านี้ไม่นาน
สัตว์อสูรที่ถูกนำมาสร้างเป็ปีกแห่งหุบเขาปีศาจ ทูตปีกปีศาจนั้น อาศัยอยู่ในสถานที่ที่เรียกว่าหุบเขาปีศาจิญญา์ สถานที่แห่งนี้ เป็ดั่งอาณาจักรที่ถูกปกครองโดยสัตว์อสูร มีอาณาเขตกว้างใหญ่ทัดเทียมกับอาณาจักรต้าถังและกู่เิเลยทีเดียว!
อีกทั้งหุบเขาปีศาจิญญา์เองก็ตั้งอยู่ตรงบริเวณชายแดนของอาณาจักรต้าถัง กู่เิและตงยื่อด้วย เป็สถานที่ที่เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ยอดฝีมือของทั้งสามอาณาจักรมักจะเข้าไปผจญภัยและล่าสัตว์อสูรกัน
ผู้ฝึกยุทธ์พเนจรในยุทธ์จักรที่ไม่มีลัทธิหรือตระกูลคอยสนับสนุนทรัพยากรการฝึกฝน หาก้าจะยกระดับวิถียุทธ์ของตัวเองให้เร็วยิ่งขึ้น พวกเขาก็ได้แต่ต้องไปตามล่าหามาเองเท่านั้น
ซึ่งการล่าสัตว์อสูรคือหนึ่งในวิธีการหลัก!
เมื่อล่าสัตว์อสูรมาและชิงเน่ยตานมาได้ ก็จะสามารถดูดกลืนปราณอสูรที่อยู่ภายในนั้นออกมาใช้ยกระดับพลังได้
ถึงแม้การใช้เน่ยตานของสัตว์อสูรชนิดเดียวกันเป็ครั้งที่สองจะทำให้มีประสิทธิภาพลดน้อยลงอย่างมหันต์ แต่มันก็สามารถนำไปแลกสิ่งของกับผู้อื่นได้อยู่ดี
เน่ยตาน โอสถ ยุทธภัณฑ์ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็ทรัพยากรการฝึกฝนที่ได้รับการยอมรับโดยทั่วกันในแผ่นดินเทียนอวี้ มีผู้คนไม่น้อยที่ยินยอมแลกเปลี่ยนสิ่งของที่มูลค่าเท่ากันได้
อย่างเช่นผู้เฒ่าขาวของลัทธิสยบฟ้า หลังจากหลอมโอสถขึ้นได้ก็จะนำไปแลกกับยุทธภัณฑ์จากเขตพระราชฐานต้าถัง
ซึ่งแหล่งล่าสัตว์อสูรนั้นก็มีให้เลือกมากมาย แค่ในอาณาจักรต้าถังอย่างเดียวก็มีอยู่นับร้อยแห่งแล้ว อย่างเช่นหุบเขาอสรพิษเวหาที่อยู่ในเทือกเขาสยบฟ้าเป็ต้น
เพียงแต่ตอนนี้หลงอวี้ยังไม่อยากกลับไปที่อาณาจักรต้าถังเพราะอาจจะถูกฉู่เฉาเซิงแอบเล่นงานได้
อีกทั้งแหล่งล่าสัตว์อสูรทั้งหลายภายในอาณาจักรต้าถังก็มีสัตว์อสูรระดับิญญาแท้อยู่เพียงไม่มาก สำหรับหลงอวี้มันไม่ค่อยมีประโยชน์สักเท่าไร
‘ด้วยความแข็งแกร่งของข้าในตอนนี้ หากไปล่าอยู่ที่ส่วนนอกสุดของหุบเขาปีศาจิญญา์ล่ะก็ น่าจะไม่เสี่ยงอันตรายสักเท่าไรนัก อย่างนั้นก็ลองไปดูที่บึงอัสนีซ่อนฟ้าดูก่อนแล้วกัน หากมันอันตรายเกินไปก็ค่อยมุ่งหน้าไปที่หุบเขาปีศาจิญญา์!’
หลงอวี้ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว
เขาเดินออกจากกระท่อมไม้ไป ซึ่งตอนนี้เป็่เวลากลางคืนพอดี ท้องฟ้ามืดมิดกว่าปกติเล็กน้อย แสงจันทร์เลือนราง ดวงดาวพร่ามัว ผู้คนส่วนใหญ่ในเมืองถังกวนกำลังพักผ่อนกันอยู่
มีเพียงผู้คนจำนวนน้อยเท่านั้นที่ยังคงเดินลาดตระเวนเพื่อเฝ้าระวังการบุกโจมตีจากอาณาจักรกู่เิ
ภายใต้ท้องฟ้าที่มืดมิดเช่นนี้ หลงอวี้ที่ถือหอกัปรภพไว้ได้ใช้ท่าัปรภพทะยานฟ้า ในตอนที่เขาดีดตัวพุ่งขึ้นฟ้าจนไปถึงจุดสูงสุดแล้วนั้น ก็ได้เปลี่ยนร่างกายให้กลายเป็ปราณิญญาต่อทันที หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยกลางเวหา!
หลังจากนั้นเงาร่างของเขาก็ได้มาปรากฏตัวขึ้นในหุบเขานอกเมืองถังกวน
หลงอวี้ได้สอบถามตำแหน่งของบึงอัสนีซ่อนฟ้าจากเฟิงฉางเกอแล้ว ย่อมไม่มีทางหลงทางได้ การจะมุ่งหน้าไปยังบึงอัสนีซ่อนฟ้าจากเมืองถังกวนนั้น จำเป็ต้องผ่านูเาหิมะที่เป็ที่ตั้งของฐานทัพอาณาจักรกู่เิเสียก่อน
สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปแล้ว การจะผ่านูเาหิมะแห่งนั้นไปได้อย่างเงียบงันไร้ร่องรอยเป็เื่ที่ยากเย็นแสนเข็ญ
แต่สำหรับหลงอวี้แล้ว กลับไม่เป็ปัญหาอะไรเลย
ไม่เพียงแค่นั้น ยอดฝีมือที่มีระดับค่อนข้างสูงไม่มีทางถูกฐานทัพแห่งนี้สกัดกั้นไว้ได้แน่ อย่างเช่น อวี่เชียนหนิง!
ระดับวิถียุทธ์ของอวี่เชียนหนิงตอนนี้อยู่ที่ระดับิญญาแท้ขั้นที่สี่แล้ว หากคิดจะมุ่งหน้าไปบึงอัสนีซ่อนฟ้า อย่างนั้นก็ย่อมไม่มีใครสามารถขัดขวางได้
แต่ถ้ามีระดับแค่นั้น ต่อให้ไปถึงบึงอัสนีได้ก็ต้องถูกองค์ชายน้อยแห่งอาณาจักรกู่เินั่นขัดขวางไว้อยู่ดี
ต้องรู้ว่าองค์ชายน้อยแห่งอาณาจักรกู่เินั้นไม่เพียงแต่มีระดับวิถียุทธ์สูงส่งจนน่ากลัวเท่านั้น เขายังนำทัพทหารกู่เิจำนวนนับไม่ถ้วนไปเฝ้าที่บึงอัสนีด้วย!
ที่ด้านหลังของหลงอวี้มีปีกสีเทาคู่หนึ่งปรากฏ ลายเส้นสีดำเปล่งประกายแสง ทำให้ตัวเขาสามารถเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็ว
ภายใต้ท้องฟ้ายามรัตติกาลอันมืดมัว แสงจันทร์สลัวเช่นนี้ หลงอวี้ที่เคลื่อนตัวด้วยความเร็วสูงจนกลายเป็ประกายแสงสีเทาดำนั้นมองเห็นได้ยากเป็อย่างมาก
ในตอนที่เขากำลังัักับพลังของแผ่น์จันทราเมื่อสามวันก่อนนั้น เขาก็มีความเข้าใจเกี่ยวกับปราณหยินเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ตอนนี้ปีกจันทราจึงสามารถเร่งความเร็วให้เขาได้มากขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
หลงอวี้เดินทางใต้ท้องฟ้ายามราตรีอย่างรวดเร็ว
เพียงไม่นานเขาก็เข้าใกลู้เาหิมะอันเป็ที่ตั้งของฐานทัพกู่เิโดยไม่รู้ตัว แต่เขาไม่ได้วิ่งเข้าไปทางฐานทัพ วิ่งตรงเข้าไปในส่วนลึกของูเาหิมะโดยตรง
บึงอัสนีซ่อนฟ้า ตั้งอยู่ในส่วนลึกของูเาหิมะนี้เอง!
แต่อยู่ๆ หลงอวี้ก็ััได้ถึงเงาร่างที่แ่เบาดุจสายลมกำลังไล่ตามเขามาด้วยความเร็วสูงสุดขีด
‘ใครกันน่ะ?’
หลงอวี้ตื่นตะลึง ระวังตัวขึ้นมาทันที
แต่ความเร็วของอีกฝ่ายสูงกว่าที่เขาจินตนาการไว้เสียอีก ไม่นานมันก็ไล่ตามจนมาอยู่ข้างหลงอวี้ได้แล้ว
หลงอวี้มองออกไป พบเห็นชายหนุ่มในชุดสีเขียวผู้หนึ่งกำลังวิ่งตะบึงอยู่บนูเาหิมะยามรัตติกาลโดยเอามือทั้งสองข้างไพล่หลัง กระบี่เล่มหนึ่งเหน็บไว้ที่ข้างเอว
บนปลอกของกระบี่เล่มนั้นมันมีกลิ่นอายที่คล้ายคลึงกับแผ่น์จันทราสายหนึ่งแผ่ออกมาด้วย!
“ระดับของคนผู้นี้สูงยิ่งกว่าหลงจี๋และอวี่เชียนหนิงเสียอีก อย่างน้อยก็ระดับิญญาแท้ขั้นที่ห้าแล้ว!”
หลงอวี้ประเมินความสามารถของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว ดวงตาเป็ประกาย
“กระบี่ที่อีกฝ่ายพกมามีปราณจันทราแผ่ออกมาด้วย อีกทั้งยังมีระดับพลังสูงขนาดนี้ แถมยังดูมีอายุยังไม่ถึงยี่สิบห้าปีด้วย... คนผู้นี้ จะต้องเป็อัจฉริยะรุ่นเยาว์ของตระกูลเสนาบดีตระกูลโม่ โม่เฟิงิ แน่นอน!”
โม่เฟิงิได้รับเศษชิ้นส่วนจันทราไปั้แ่เมื่อห้าปีก่อน เขาได้นำมันมาสร้างเป็กระบี่จันทราเล่มหนึ่ง และนับจากเขาก็ได้กลายเป็หนึ่งในเก้ายอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรต้าถัง อีกทั้งยังถูกจัดอยู่ในอันดับที่สามด้วย
ระดับพลังของเขานั้นสูงส่งกว่าปู้สิงหลายเท่า เกรงว่าเพียงกระบวนท่าเดียวก็สามารถจัดการปู้สิงลงได้แล้ว!
โม่เฟิงิตอนนี้กำลังมุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกันกับหลงอวี้ เพียงมองดูจากไกลๆ เพียงครู่เดียวเท่านั้น จากนั้นก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก เพียงมุ่งหน้าไปต่อด้วยความเร็วสูงก่อนจะหายไปจากสายตาของหลงอวี้
หลงอวี้มองเห็นแววตามีเลศนัยในสายตาของโม่เฟิงิ
เห็นได้ชัดเลยว่าโม่เฟิงิรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของหลงอวี้แล้ว!
“ตระกูลเสนาบดีตระกูลโม่กับตระกูลขุนพลตระกูลหลง ทั้งสองล้วนเป็หนึ่งในตระกูลมหาอำนาจที่ใหญ่ที่สุดของอาณาจักรต้าถัง แต่ระหว่างทั้งสองฝ่ายกลับไม่ชอบขี้หน้ากัน”
หลงอวี้มุ่งหน้าไปพลาง หรี่ตาลงไปพลาง
โม่เฟิงิผู้นี้ไม่ได้มีท่าทีเป็ศัตรูกับหลงอวี้ แต่มันกลับคิดจะยืมมือหลงอวี้ในการบั่นทอนพลังของตระกูลหลงแทน และยังหวังว่าหลงอวี้อาจจะสร้างปัญหาให้กับตระกูลราชวงศ์ตระกูลฉู่ด้วย!
‘หากต้องเผชิญหน้ากับตระกูลหลงและฉู่เฉาเซิงพร้อมกัน ตัวข้าย่อมไม่มีเวลาไปสนใจตระกูลโม่อยู่แล้ว เมื่อเป็เช่นนี้ ตระกูลโม่ก็จะสามารถนั่งบนภูดูเสือกัดกัน รอเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้โดยไม่ต้องทำอะไร’
‘แต่ว่า เ้าโม่เฟิงิมันแน่ใจได้อย่างไรว่าจะแข็งแกร่งมากพอจะสร้างปัญหาให้กับตระกูลหลงและฉู่เฉาเซิงได้’
หลงอวี้ได้ข้อมูลมาไม่น้อยจากการอ่านแววตามีเลศนัยของโม่เฟิงิ
แม้ข้อมูลเหล่านี้จะเป็เพียงการคาดเดา แต่มันต้องใกล้เคียงกับความเป็จริงไม่น้อยแน่นอน
หลังจากเงาร่างในชุดเขียวของโม่เฟิงิหายไปจากสายตาของหลงอวี้ ไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงฟ้าผ่าดังกระหึ่มขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าด้านหน้า
ตรงขอบฟ้ามีประกายสายฟ้าสว่างวาบเป็พักๆ
“ที่นั่นคงจะเป็บึงอัสนีซ่อนฟ้าสินะ!”
หลงอวี้รู้สึกตะลึงในใจ
แค่มองดูประกายสายฟ้าตรงสุดขอบฟ้านั่น แค่ฟังเสียงฟ้าผ่าดังกระหึ่มกึกก้อง เขาก็ััได้ถึงความน่ากลัวของบึงอัสนีซ่อนฟ้าแล้ว แค่มองจากไกลๆ ก็รู้สึกว่าสายฟ้านั่นมันน่าจะทรงพลังมากพอที่จะบดขยี้หลงอวี้ให้แหลกเละได้ในพริบตา!
แต่ในตอนนั้นเอง หลงอวี้กลับััได้ถึงกลิ่นอายอันคุ้นเคยสายหนึ่งที่ส่งมาจากบึงอัสนีซ่อนฟ้านั่น
“นี่มัน... กลิ่นอายของแผ่น์!”
หลงอวี้ััได้อย่างรวดเร็วว่าสายฟ้าทั้งหลายที่ฟาดผ่าลงมานั้นมีกลิ่นอายที่มีเอกลักษณ์คล้ายคลึงกับแผ่น์จันทราแฝงอยู่เสี้ยวหนึ่ง คิดว่า นั่นคงจะเป็กลิ่นอายเฉพาะตัวของแผ่น์!
มันคือกลิ่นอายของพลังที่ถือกำเนิดจากฟ้าดิน หลงอวี้ที่เคยัักับแผ่น์จันทรามาก่อนย่อมต้องคุ้นเคยกับกลิ่นอายแบบนี้เป็อย่างมาก
และในขณะเดียวกันนั้นเอง เขาก็ััได้ว่าสัญลักษณ์ัปรภพตรงหน้าอกเขาราวกับกำลังบอกให้เขาเข้าใกล้บึงอัสนีซ่อนฟ้า ทำให้เขารู้สึกสนใจบึงอัสนีมากขึ้นกว่าเดิม
เขาเคลื่อนตัวเข้าใกล้บึงอัสนีมากขึ้นเรื่อยๆ
ข้างหน้ามีูเาหิมะที่สูงเสียดฟ้าและหิมะสีขาวโพลนที่ปกคลุมได้บดบังทัศนวิสัยส่วนใหญ่ไว้จนทำให้ประกายสายฟ้าดูเหมือนมีเหมือนไม่มี
หลงอวี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ตอนนี้เขาเหลือระยะห่างอีกไม่ถึงร้อยลี้ก็จะไปถึงบึงอัสนีแล้ว
เมื่อถึงตรงนี้แล้ว เขาก็ระวังตัวมากขึ้นกว่าเดิม ในเมื่อองค์ชายน้อยแห่งกู่เิคิดจะยึดครองสมบัติล้ำค่าแต่เพียงผู้เดียว อย่างนั้นมันต้องส่งทหารมาเดินลาดตระเวนรอบูเาแน่
แต่ในตอนที่เขากำลังจะแอบเข้าใกล้อย่างเงียบงัน เสียงหัวเราะอันเ็าอำมหิตก็ได้ดังขึ้นมาจากด้านข้าง
“เ้ามาที่นี่จริงๆ ด้วย ข้ารอเ้ามานานแล้ว!”
มีเสียงของผู้หญิงอันแสนเ็าอำมหิตดังเข้ามาในหูของหลงอวี้ จากนั้นเงาร่างสายหนึ่งเคลื่อนเข้าประชิดตัวของหลงอวี้ด้วยความเร็วสูงสุดขีดทันที เปิดฉากลอบโจมตีเขาจากทางด้านหลังอย่างฉับพลัน!
“อวี่เชียนหนิง!”
เขาคาดไม่ถึงเลยแม้แต่น้อยว่าอวี่เชียนหนิงจะมาที่บึงอัสนีด้วย อีกทั้งยังคาดเดาถูกด้วยว่าเขาจะมา แล้วยังมาดักซุ่มโจมตีเขาที่นี่ด้วย!
