การถูกปฏิเสธจากแม่ของหลินเผิงเฟย สร้างความประหลาดใจให้หมี่หลันเยว่ไม่น้อย
"หลันเยว่ ป้าก็รู้ว่าหนูหวังดี อยากให้ครอบครัวป้ามีรายได้เพิ่มขึ้น ชีวิตจะได้คล่องตัวกว่านี้ แต่ที่บ้านป้า...มันมีเื่จำเป็หลายอย่างที่ต้องทำจริงๆ"
"ยายของเผิงเฟยป่วยมาตลอด เคลื่อนไหวลำบาก ดูแลตัวเองไม่ได้ ต้องมีคนดูแลตลอดเวลา ป้าต้องทำความสะอาดบ้าน ดูแลยาย แถมยังต้องเลี้ยงดูทั้งคนแก่คนเล็กในบ้านอีก ไม่มีเวลาว่างไปไหนจริงๆ ไม่อย่างนั้น สภาพความเป็อยู่ที่บ้านเป็แบบนี้ ป้าคงออกไปหางานทำนานแล้ว"
"ตอนนี้ดีแล้วที่หนูมาเช่าบ้านป้า ป้าก็มีรายได้เพิ่มเข้ามาอีก ป้าดีใจมากแล้ว เื่ร้านของหนู ป้าคงไม่ไปยุ่งเกี่ยวหรอก น้ำใจของหนู ป้ารับไว้ด้วยใจนะ ป้าได้ยินเผิงเฟยเล่าเื่ของหนูแล้ว หนูเป็คนเก่ง ป้าก็ขอให้หนูทำมาค้าขึ้น ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน"
เมื่อแม่ของหลินเผิงเฟยพูดออกมาถึงขนาดนี้ หมี่หลันเยว่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่ออีกแล้ว นี่คือการเปิดอกพูดความในใจ หมี่หลันเยว่ก็ต้องเห็นอกเห็นใจเช่นกัน
"ป้าคะ หนูเพิ่งเริ่มต้น ยังไม่รู้ว่าจะไปรอดหรือเปล่า ขอรับพรจากป้าก็แล้วกันค่ะ"
"ถึงป้าจะไปทำงานที่ร้านไม่ได้ แต่เราสองครอบครัวก็ยังเป็เพื่อนที่ดีต่อกันได้นะคะ ถ้าที่บ้านป้ามีปัญหาอะไร ป้าต้องบอกหนูนะคะ หนูจะช่วยเท่าที่ทำได้ ถ้าหนูช่วยเองไม่ได้ หนูจะช่วยคิดหาทางค่ะ"
ที่บ้านมีคนแก่ป่วยติดเตียง วันหน้าต้องมีเื่เดือดร้อนแน่นอน หมี่หลันเยว่หวังว่าจะได้ช่วยเหลือ
"หลันเยว่ ขอบใจหนูนะ แค่ได้ยินคำนี้ ป้าก็ชื่นใจแล้ว"
แม่ของหลินเผิงเฟยจับมือหมี่หลันเยว่ไม่ยอมปล่อย คุยเื่ต่างๆ อีกนานสองนาน ถึงปล่อยให้สองพี่น้องกลับ
"ป้าเขาใจดีเกินไป ถ้าไม่มีเื่จริงๆ เราน่าจะอยู่กินข้าวด้วยกันนะ"
หมี่หลันหยางรู้สึกไม่ดีที่ไม่ได้ตอบรับน้ำใจของแม่หลิน การไปกินข้าวบ้านเพื่อนเป็เื่ธรรมดา แต่การเซ็นสัญญาแล้วไม่ได้อยู่กินข้าวด้วยกัน มันเหมือนมีอะไรผิดปกติ
"พี่คิดมากไปแล้ว เรามีธุระจริงๆ พี่เผิงเฟยก็รู้ เขาคงอธิบายให้ป้าฟังได้ พี่อย่าคิดมากเลย ในชีวิตจริง เื่ที่เลี่ยงไม่ได้มันจะมีอีกเยอะแยะ พี่ต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัว"
หมี่หลันเยว่เข้าใจปฏิกิริยาของพี่ชาย แต่เธอไม่เห็นด้วย พี่ชายจะต้องทำเื่ใหญ่ในอนาคต การปรับตัวทางอารมณ์และจิตใจ หมี่หลันเยว่คิดว่าจำเป็ต้องสอนเขาให้มาก อย่างน้อยต้องทำตัวให้ไม่แสดงความรู้สึกออกมา ผู้มีอำนาจมักจะเก็บซ่อนอารมณ์ไว้ เพราะจะทำให้เปิดเผยความลับ
"พี่เข้าใจที่เธอพูด แต่แม่ของหลินเผิงเฟยไม่เหมือนคนอื่น เขาเหมือนคนในครอบครัว พี่ไม่อยากมองเขาเป็คนนอก พี่ไม่อยากปิดบังความรู้สึกที่มีต่อเขา เหมือนที่พี่ทำกับพ่อกับแม่ พี่อยากให้พวกเขาเห็นตัวตนที่แท้จริงของพี่"
คำพูดของหมี่หลันหยาง ทำให้หมี่หลันเยว่ สบายใจขึ้นมา ผู้ชายมักจะเติบโตทางความคิดเร็วกว่า การที่พี่ชายพูดออกมาแบบนี้ได้ แสดงให้เห็นว่าเขามีวุฒิภาวะสูง ดูเหมือนว่าเธอจะปกป้องพี่ชายมากเกินไป การใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันใน่ไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีผลต่อเขาอย่างมาก
"ถึงแล้วล่ะ"
ธุระสองอย่างที่ต้องไปจัดการคือ การไปทำใบอนุญาตประกอบธุรกิจที่สำนักงานอุตสาหกรรมและพาณิชย์ หมี่หลันเยว่เตรียมเอกสารทุกอย่างให้พร้อม หวังว่าเื่นี้จะผ่านไปได้ด้วยดี
แต่ถึงจะไม่ราบรื่นก็ไม่เป็ไร ตอนนี้การจัดการด้านอุตสาหกรรมและพาณิชย์ยังไม่เข้มงวดมากนัก ถึงไม่มีใบอนุญาตก็สามารถเปิดร้านได้ อย่างร้านที่บ้าน ไม่มีใบอนุญาตก็ยังเปิดได้ดี ไม่มีใครมาตรวจสอบ นี่คือช่องโหว่ของยุคนี้ เพราะธุรกิจส่วนตัวเพิ่งเริ่มต้น การดำเนินงานส่วนบุคคลก็เพิ่งเริ่มต้น ทั้งหมดยังอยู่ใน่ทดลอง
"คุณลุงคะ หนูมาทำใบอนุญาตประกอบธุรกิจ ช่วยดูให้หน่อยได้ไหมคะว่าเอกสารครบหรือเปล่า"
หมี่หลันเยว่ กรอกเอกสารทุกอย่างที่ต้องกรอกเรียบร้อยแล้ว เอกสารและสำเนาต่างๆ ถูกส่งไปยังช่องหน้าต่าง
"อ๋อ หนูคือเด็กผู้หญิงที่มาเมื่อวานนี่เอง ดีเลยๆ ลุงช่วยดูให้"
คุณลุงคนนี้ก็ใจดีมาก เขายังจำเด็กผู้หญิงที่มาเมื่อวานได้ดี คนที่มาทำใบอนุญาตประกอบธุรกิจส่วนตัวมีน้อยมาก ธุรกิจประเภทนี้เพิ่งเริ่มต้น แถมเด็กผู้หญิงคนนี้ก็พูดจาไพเราะ น่ารัก เขาเลยจำได้ทันที
"เอกสารครบหมดแล้ว เพียงแต่ว่า ผู้มีอำนาจลงนามในเอกสารนี้คือหนูจริงๆ เหรอ แล้วผู้ใหญ่ที่บ้านล่ะ?"
การที่เด็กผู้หญิงอายุสิบขวบมาทำใบอนุญาต และผู้มีอำนาจลงนามในเอกสารคือตัวเธอเอง เป็เื่ที่น่าตกตะลึงมาก หากธุรกิจนี้เป็ของเธอจริงๆ เด็กผู้หญิงคนนี้ก็เก่งเกินไปแล้ว
"ฮิๆๆ...คุณลุงคะ ร้านนี้แน่นอนว่าผู้ใหญ่ที่บ้านเป็คนเปิดค่ะ แต่พวกเขาเปิดร้านนี้เพื่อหนูโดยเฉพาะ รอหนูโตขึ้น ร้านนี้ก็จะเป็ของหนู ดังนั้นพวกเขาเลยให้หนูมาทำใบอนุญาตเองเลย จะได้ไม่ต้องเปลี่ยนชื่อทีหลัง มันยุ่งยาก"
ถ้าพูดแบบนี้ก็พอเข้าใจได้
"อีกอย่าง หนูอยากฝึกฝนตัวเองด้วย อยากดูว่าหนูจะทำเื่นี้สำเร็จไหม คนที่บ้านเตรียมเอกสารให้หนูหมดแล้ว หนูแค่มาวิ่งเต้น ถ้าทำแค่นี้ยังไม่ได้ หนูก็ไม่ต้องรับ่ต่อที่ร้านแล้วล่ะค่ะ"
ท่าทีของหมี่หลันเยว่ ทำให้คุณลุงที่ทำเื่ถึงกับหัวเราะ เด็กผู้หญิงคนนี้ตลกจริงๆ
"เอกสารครบแล้ว เอาเอกสารไว้ที่นี่ก่อนนะ อีกหนึ่งเดือนค่อยมาดู"
หลังจากขอบคุณคุณลุง หมี่หลันเยว่ก็ออกจากสำนักงานอุตสาหกรรมและพาณิชย์พร้อมกับพี่ชาย ในที่สุดก็ทำสำเร็จไปอีกเื่
กลับถึงบ้านก็ค่อนข้างเย็น แม่กำลังรออยู่หน้าประตู ไม่รู้ว่าออกมาดูเป็ครั้งที่เท่าไหร่แล้ว หมี่หลันเยว่รู้สึกอบอุ่น แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่า การสื่อสารในยุคนี้มันไม่ดีเอาเสียเลย ถ้ามีเื่ฉุกเฉินอะไร ก็ไม่มีทางแจ้งให้ที่บ้านรู้ได้
"ทำไมไม่บอกว่าจะกินข้าวที่บ้านเผิงเฟย กว่าจะกลับมา กินข้าวกินปลาหรือยัง?"
ทันทีที่เห็นลูกชายและลูกสาวกลับมา หวังหย่วนฉิงก็ไม่ทันได้ตำหนิ รีบถามก่อนว่าลูกๆ หิวหรือเปล่า
"ยังไม่ได้กินครับ เราออกจากบ้านเผิงเฟย แล้วไปทำอย่างอื่นต่อ ก็เลยเย็นมากแล้ว"
ถึงแม้ว่าหมี่หลันหยางจะช่วยน้องสาวปิดบังเื่เปิดร้าน แต่เขาก็ไม่อยากโกหกแม่ เลยพูดง่ายๆ ว่ากลับมาช้าเพราะไปทำธุระ
"รีบไปกินข้าวกินปลาก่อน เื่อื่นค่อยว่ากันทีหลัง"
เมื่อหวังหย่วนฉิง ได้ยินว่าลูกๆ ยังหิวอยู่ ก็ไม่สนใจเื่อื่น จับมือลูกแต่ละคน แล้วพาเข้าบ้านไปกินข้าวทันที
"แม่คะ ทำไมแม่ไม่กินก่อนล่ะคะ ถ้าพวกหนูไม่กลับมากินข้าว แม่จะทำยังไง?"
หมี่หลันเยว่ เห็นแม่นั่งกินข้าวเป็เพื่อนพี่ชายและตัวเอง ก็รู้ว่าแม่รออยู่ตลอดเวลา เลยรู้สึกไม่ดี ที่ตัวเองปิดบังเื่ต่างๆ จากแม่ แต่แม่กลับรักและห่วงใยตัวเองมากขนาดนี้
"แม่ไม่หิว ถ้าไม่รอคงกินไปแล้ว ไม่ได้ตั้งใจรอพวกหนูนะ รีบกินเถอะ ไม่อย่างนั้นตอนเย็นจะกินข้าวไม่ลง"
หวังหย่วนฉิง รู้ว่าลูกๆ ทั้งสองคนเป็เด็กดี เลยไม่อยากให้พวกเขารู้สึกเป็ภาระ การดูแลลูกๆ เป็หน้าที่ของพ่อแม่อยู่แล้ว
"หลันเยว่ หลันหยาง อยู่บ้านเหรอ ทำไมเพิ่งกินข้าว?"
กินข้าวไปได้ครึ่งหนึ่ง เฉียนหย่งจิ้นก็วิ่งเข้ามา
"ฉันไปร้านหนังสือ เห็นลุงหมี่เฝ้าร้านอยู่ นึกว่าพวกเธอไม่อยู่บ้านแล้ว ที่ไหนได้ ลุงบอกว่าพวกนายกำลังกินข้าวอยู่"
เห็นเฉียนหย่งจิ้น วิ่งมาเหงื่อทั่วตัวไปหมด หวังหย่วนฉิงรีบไปชุบผ้าขนหนูให้เขาเช็ดเหงื่อ
"ทำไมถึงมาตอนนี้ กินข้าวหรือยัง?"
มาเวลาแบบนี้ ไม่น่าจะกินข้าวมาแล้ว เวลาไม่พอดีเป๊ะ
"ฉันไปคุยเื่คนงาน เพิ่งได้เื่มาหมาดๆ เลยรีบมาปรึกษาพวกเธอเลย"
คำพูดนี้ทำให้หมี่หลันเยว่ใ โชคดีที่แม่กำลังเอาผ้าขนหนูไปซักข้างนอก เลยไม่ได้ยินเฉียนหย่งจิ้นพูด แต่ก็ทำให้หมี่หลันเยว่ใมาก จ้องเขม็งไปที่เฉียนหย่งจิ้น อยากจะอุดปากเขาซะให้ได้
เฉียนหย่งจิ้นก็รู้ตัวว่าพูดผิด รีบเอามือปิดปากตัวเองทันที แต่เห็นแก่ที่เขาตั้งใจทำงานเพื่อร้านของเธอ จนไม่มีเวลากินข้าว หมี่หลันเยว่ก็ปล่อยเขาไป แต่หมี่หลันเยว่ก็ยังเคาะหน้าผากเขาไปทีหนึ่งเพื่อระบายความโกรธ
"นายก็ขยันเกินไปนะ เป็ขุนนางยังไม่ขาดทหารที่หิวโหยเลย"
หมี่หลันหยาง พูดกับเฉียนหย่งจิ้น เบาๆ แต่ก็ยื่นตะเกียบให้ เฉียนหย่งจิ้นรีบนั่งลงข้างโต๊ะ รีบคีบอาหารกินอย่างไม่เกรงใจ เขาหิวจริงๆ
หมี่หลันเยว่ตักข้าวหนึ่งชามไปให้เขา
"ค่อยๆ กิน ไม่เห็นมีใครแย่งหรอกค่ะ พี่กินเยอะๆ เลยนะ"
เฉียนหย่งจิ้นไม่ได้กลัวว่าข้าวปลาอาหารจะไม่พอ แต่เขาหิวจนท้องแทบติดหลังอยู่แล้ว
ทั้งสามคนกินข้าวเสร็จ ก็ผลัดเปลี่ยนมาเฝ้าร้านหนังสือแทนพ่อหมี่ แล้วหมกตัวอยู่ในร้านหนังสือ เริ่มปรึกษาเื่คนงาน
"เมื่อวานพอเธอยกเื่นี้ให้ฉันทำ ฉันก็เริ่มเดินสำรวจเพื่อนบ้าน ดูว่ามีใครมีฝีมือดีเป็พิเศษบ้าง แต่เื่งมเข็มในมหาสมุทรแบบนี้ มันจะเจอง่ายๆ ได้ยังไง"
"แถมยังมีคนสองคนบอกว่ามีผู้หญิงที่ฝีมือดี แต่ลูกของพวกเขายังใส่เสื้อผ้าไม่ดีเท่าฉันเลย คิดว่าฉันจะเชื่อได้เหรอ ต่อให้ฝีมือดี แต่ก็ไม่ขยัน คนแบบนี้เราเอาไม่ได้ ต้องเลือกคนที่สะอาด ขยัน และฝีมือดีเท่านั้น ไม่อย่างนั้นปัญหาจะตามมาอีกเยอะแยะ ถ้าปัดความรับผิดชอบหรือทะเลาะกันจะยิ่งจัดการยาก"
"ดีเลย!"
หมี่หลันเยว่พอใจกับทัศนคติของเฉียนหย่งจิ้นมาก ต่อให้หายากแค่ไหน ก็ต้องหาคนงานที่สะอาด ขยัน และฝีมือดีเท่านั้น ไม่อย่างนั้นปัญหาจะตามมาอีกเยอะ ถ้าปัดความรับผิดชอบหรือทะเลาะกันจะยิ่งจัดการยาก
"ฉันรู้ว่าหลันเยว่คิดอะไรอยู่ เมื่อวานลงพื้นที่ไปเลยไม่ได้เื่ไม่ได้ราว ไม่มีอะไรคืบหน้าเลย แต่แล้ววันนี้ฟ้าก็เปิด เื่มันบังเอิญมาก วันนี้แต่เช้า น้าของฉันจากบ้านนอกมาเยี่ยมที่บ้าน เสื้อผ้าของน้าเย็บได้ดีมาก พวกเธอดูสิ ตัวที่ฉันใส่อยู่นี่ก็น้าฉันเย็บให้"
เฉียนหย่งจิ้นอวดเสื้อผ้าของตัวเองอย่างภาคภูมิใจ ต้องบอกเลยว่าเสื้อผ้าที่เย็บมาได้มาตรฐานจริงๆ
"เป็ไง ไม่เลวเลยใช่ไหม? พอดีตอนนี้น้าว่างงานอยู่ ไม่มีอะไรทำ พวกเธอว่าทำไมฉันถึงลืมน้าไปได้นะ"
"แล้วน้าเขายินดีที่จะมาทำงานที่ร้านเราไหม?"
หมี่หลันเยว่ ถามอย่างใจจดใจจ่อ
"แน่นอนสิ มีนักพูดอย่างฉันแล้ว เขาจะปฏิเสธได้ยังไง แถมเขายังบอกว่ามีพี่น้องในหมู่บ้านอีกหลายคนที่ฝีมือดีเหมือนกัน กำลังกลุ้มใจอยู่ว่าจะทำอะไรดี ที่ดินที่บ้านก็พึ่งพาอะไรไม่ได้"
"ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลย เมื่อไหร่จะพาคนมาให้เจอหน่อย เราจะได้ประเมินความเป็ไปได้ว่าสูงแค่ไหน?"
เฉียนหย่งจิ้น ลดเสียงลง
"ฉันว่าไปบ้านฉันดีกว่า ถ้าพาน้าฉันมาที่บ้านพวกเธอ แล้วแผนแตกขึ้นมาจะทำยังไง?"
สุดท้ายก็ตัดสินใจว่าจะให้หมี่หลันหยางเฝ้าร้านหนังสือ ส่วนหมี่หลันเยว่กับเฉียนหย่งจิ้น ไปที่บ้านเขา ยังไงการพูดคุยก็คงใช้เวลาไม่นาน หมี่หลันเยว่กับเฉียนหย่งจิ้นก็แอบหนีออกไป หมี่หลันหยางรออยู่ที่บ้านอย่างใจจดใจจ่อ แต่จากสีหน้าของน้องสาวตอนกลับมาหมี่หลันหยางก็ถอนหายใจออกมา
"ตกลงเรียบร้อย เตรียมพร้อมทุกอย่าง"
