ยามนี้ส่วนที่คึกคักที่สุดบนูเากระดูกคือบริเวณหน้าูเากระดูก
กองกระดูกสูงราวกับูเาคลุมด้วยแถบผ้าหลากสี ยามที่ลมพัดผ่าน แถบผ้าเหล่านี้จึงสะบัดพลิ้วไปตามลม
หน้าูเากระดูกมีสนามเล็กๆ ทิวทัศน์บริเวณนี้งดงามกว่าจุดใด
ชายหนุ่มคนใดหากคิดจะสารภาพรักกับหญิงที่หมายปอง ก็เพียงมายังหน้าูเากระดูกน้อยลูกนี้อย่างกล้าหาญแล้วร้องเพลงโดยไม่ต้องสนใจสิ่งใด
บทเพลงในป่าเขาของพื้นที่ห่างไกลเช่นนี้ จังหวะกระชั้น ทำนองสูงๆ ต่ำๆ ตามแต่ใจ
เฉินโย่วฟังบทเพลงเหล่านี้มาแปดร้อยครั้งแล้ว ก็ยังไม่เข้าใจว่าความหมายของมันคืออะไร
ทว่าเมื่อมองไปยังเหล่าพี่สาวและน้าๆ ทั้งหลายก็เห็นว่าพวกนางมักมีท่าทีเขินอายอยู่เสมอ
หากว่าตกลงปลงใจก็จะเดินออกมาด้านหน้าูเากระดูกน้อยแล้วทำความเคารพูเากระดูกพร้อมกันทั้งชายหญิง วิธีการเช่นนี้ก็ดูโจ่งแจ้งไม่เบา
ยามชายหญิงทำความเคารพูเากระดูกพร้อมกันคือ่เวลาที่เฉินโย่วจะเบิกบานใจเป็พิเศษ เพราะในเมื่อเหตุการณ์เป็เช่นนี้ย่อมหมายความว่ากำลังจะมีอาหารมื้อใหญ่ให้กินอีกแล้ว
เมื่อทั้งสองร่วมกันทำความเคารพเรียบร้อยแล้ว บนูเาก็จะช่วยกันหาวันมงคลจัดพิธีดื่มสุรามงคล ในขณะเดียวกันก็ต้องเปลี่ยนทะเบียนภูมิลำเนา คนทั้งสองจะได้ทะเบียนภูมิลำเนาเล่มใหม่ที่มีชื่อของพวกเขาทั้งคู่เขียนไว้ด้วยกัน
อืม...อีกทั้งเ้าสาวยังต้องหอมแก้มเฉินโย่วอีกฟอดใหญ่ หอมจนใบหน้าน้อยๆ ของเฉินโย่วเปียกไปหมด
ว่ากันว่าหากทำเช่นนี้จะทำให้มีครรภ์ในเร็ววัน
เฉินโย่วเองก็ไม่รู้ว่าข่าวลือนี้มาจากที่ใด…ทว่าหากจะได้กินอาหารมื้อใหญ่ ใบหน้าชุ่มน้ำลายของเหล่าพี่สาวและท่านน้า นางก็ยังพอทนไหว
วันนี้ด้านหน้าของูเากระดูกก็คึกคักเป็พิเศษ
ราวกับว่าชาวบ้านทั้งูเาจะมารวมตัวกันที่นี่
ทั้งยังไม่ใช่เพราะมีบุรุษมาสารภาพรัก
ทุกคนมาที่นี่เพื่อส่งคน
ชาวหมู่บ้านไป๋กู่ตัดสินใจแล้วว่า จะส่งครอบครัวลู่ทั้งสี่คนไปเรียนที่สำนักเชิน ต่อไปหากเด็กคนอื่นๆ โตแล้วก็สามารถส่งไปเรียนที่สำนักเชินได้เช่นกัน
คนส่วนใหญ่แม้จะอาลัยอาวรณ์ แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกตื่นเต้น ก็สำนักศึกษาที่เด็กๆ จะไปเข้าเรียนเป็ถึงสำนักเชินเลยเชียว
พวกเขาอาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกลเช่นนี้ ทุกครั้งที่ได้ยินคนเล่าเื่สำนักเชิน ก็เห็นว่าสีหน้าของคนเ่าั้ล้วนเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
แต่เดิมมาไม่ว่าจะเป็คนจากแคว้นใด ก็ล้วนแต่กล่าวถึงสำนักเชินด้วยใบหน้าเฝ้าฝัน
สำนักเชินที่แสนยิ่งใหญ่เป็ของแคว้นเชิน ทั้งพวกเขาเองก็เป็ชาวแคว้นเชิน
ยามนี้เื่ที่แสนจะน่าภาคภูมิใช่ได้มีความเกี่ยวข้องกับพวกเขาขึ้นมาแล้วจริงๆ
แต่เป็เด็กๆ ที่พวกเขาช่วยกันเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ ยามนี้กำลังจะเข้าเรียนในสำนักเชินแล้ว
แม่นางหลัวส่งต่อหน้าที่ต่างๆ ในโรงทอผ้าให้แม่นางซื่อ
แม่นางซื่อก็เป็สตรีอีกนางหนึ่งที่ตัดสินใจจะไม่แต่งงานอีกแล้ว ทะเบียนครัวเรือนของนางจึงมีชื่อนางเพียงผู้เดียว
ส่วนนายท่านสามไหว้วานหน้าที่ในโรงหลอมอาวุธกู่ให้แม่นางอวี้คอยดูแล
แม่นางอวี้ก็เป็หนึ่งในสตรีที่มีความเปลี่ยนแปลงมากที่สุด โดยเฉพาะหลังจากที่ผ่านการสู้รบในาใหญ่มา นางราวกับได้ล้างมลทินเปลี่ยนไขกระดูกเป็คนใหม่ก็ไม่ปาน
แม้นางจะยังสวมหน้ากากเช่นเดิม แต่ร่างกายกลับดูสมส่วนสวยงาม และดุดันราวกับบุรุษ
ไม่ว่าจะเป็เื่การต่อสู้หรือการทำงาน นางก็ไม่ด้อยไปกว่าบุรุษคนใด
เดิมทีนายท่านสามก็ไม่ได้มีใครในใจเป็พิเศษ ทว่าท่านอาจารย์กัวกล่าวว่าหน้าที่ทางโรงหลอมอาวุธกู่สามารถมอบให้แม่นางอวี้ดูแลได้ เขาจึงพิจารณาอยู่พักหนึ่งก่อนจะตกลงตามนั้น
แม่นางอวี้คนนี้เก่งกาจนัก สตรีอ่อนแอในวันนั้น ยามนี้นางคนเดียวก็สามารถต่อยตีกับชายฉกรรจ์ทีเดียวสามคนก็ไม่นับว่าเป็ปัญหาอะไร ทว่าเื่นี้ก็ยังไม่นับว่าเป็เื่ที่นางเก่งกาจที่สุด เื่ที่สำคัญที่สุดคือเื่จิตใจ เื่ความมุ่งมั่นเป็เลิศก็อีกเื่หนึ่ง นางยังฉลาดเฉลียวรอบรู้เกินใครอีกด้วย
นางมีทั้งความละเอียดอ่อนของสตรี ยิ่งกว่านั้นยังมีความห้าวหาญเฉกเช่นบุรุษ ทั้งยังมีกลิ่นอายแห่งความสง่างามของชนชั้นสูง
ในขณะเดียวกันนางก็ได้คลุกคลีกับเหล่าบุรุษในหมู่บ้านไป๋กู่จนราวกับว่านางก็เป็บุรุษคนหนึ่ง ยามสังหารคนในสนามรบก็ว่องไวเด็ดขาด มิได้สนใจความเป็ความตายของตนเองแม้แต่น้อย
ส่วนเื่ทั่วไปอื่นๆ บนูเา ต่อไปก็ให้คนในหมู่บ้านร่วมกันตัดสินใจ มีเื่ใดติดขัดไม่อาจแก้ ก็สามารถส่งจดหมายมาถามนายท่านสามและแม่นางหลัวได้
ทุกวันนี้บนูเามีอินทรีมากมาย อาลู่จึงได้ลงมือเลือกลูกอินทรีมาฝึกฝนั้แ่เนิ่นๆ เื่ส่งจดหมายจึงนับว่าสะดวกสบาย
แม้ว่าจะอาวรณ์จนไม่อยากจากูเาลูกนี้ไปมากเพียงใด แต่เมื่อถึงยามที่ต้องแยกจาก ก็ต้องจากไปอยู่ดี
กระดูกสีขาว ทุ่งหญ้าสีทอง ต้นอู๋ถงที่ผลัดใบเป็สีแดง สุดท้ายก็ต้องทิ้งไว้เื้ั
แม่นางหลัวที่นั่งอยู่บนรถม้าไม่ได้หันกลับไปมอง
เฉินโย่วที่ขี่หลังเ้ามืดอยู่ ผมจุกน้อยๆ บนศีรษะของนางขยับไหวตามจังหวะการย่ำเท้าของอาชาใต้ร่าง
สะพานเถาวัลย์สีเขียวบนหน้าผายามนี้ก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็สีเหลืองเข้ม
เถาที่เหี่ยวเฉาห้อยลงเบื้องล่าง ดูแล้วคล้ายกับราวจับ
ทั้งด้านซ้ายและขวาบนร่างของเ้าม้าล้วนแต่มีกระเป๋าใส่สัมภาระนูนออกมา ในกระเป๋าด้านซ้ายมีศีรษะสีขาวที่มีกระจุกขนสีเขียวกำลังยืดคอออกมามองด้วยความสงสัย
เสี่ยวอู่ร่างกำยำก็ขี่ม้าเช่นกัน บนร่างของเขายังคงมีลูกเหล็กพาดไว้เช่นยามปกติ ม้าของเสี่ยวอู่ก็ไม่ต่างจากเขามากนัก ร่างอ้วนพีของมันย่ำเท้าลงไปอย่างมั่นคงตลอดเส้นทาง
ใบหน้าของเด็กหนุ่มยังคมยิ้มแย้ม ไม่มีแววอาลัยอาวรณ์ที่ต้องจากบ้านมาแม้แต่น้อย เพราะสำหรับเขาแล้วแค่ได้อยู่กับคนในครอบครัว ไม่ว่าที่ใดก็ล้วนเป็บ้านของตน
อาลู่นั่งอยู่บนหลังม้าตัวโต ขนบนร่างของมันเป็สีแดงพุทรา เมื่อรวมกับอาลู่ที่สวมชุดสีดำตลอดร่างแล้วก็ช่างเข้ากันนัก
ส่วนเ้าก้าง ม้าตาเดียวของอาลู่ เขาปล่อยให้มันรั้งอยู่บนูเาต่อ ด้วยเส้นทางไปเมืองหลวงช่างแสนไกล บนร่างเ้าก้างเต็มไปด้วยาแเก่าๆ มากมาย จึงไม่เหมาะแก่การเดินทางไกล เช่นนั้นจึงปล่อยให้มันอยู่กับฝูงม้าบนูเาย่อมจะมีอิสระมากกว่า
ทว่าอาลู่ก็ยังคงพาเ้าอินทรีเสี่ยวอวี้ให้ติดตามไปด้วย
เสียงร้องของเสี่ยวอวี้ก้องดังไปทั่วฟ้าพร้อมกับเงาร่างของมันที่บินฉวัดเฉวียนอย่างอดไม่อยู่
อาสวินก็ขี่ม้าเช่นกัน เขานับเป็เด็กหนุ่มที่ร่างกายไม่คล่องแคล่วที่สุดบนูเา โดยพื้นฐานแล้วหากไม่อยากเคลื่อนไหวเขาก็ไม่จำเป็ต้องเคลื่อนไหว ทว่าเหล่าพี่ชายน้องสาวของเขากลับกระตือรือร้นนัก เช่นนี้จึงถูกคนอื่นๆ ลากให้ออกมายืดเส้นยืดสายอยู่บ่อยครั้ง ป้องกันนิสัยชอบหมกตัวจนทำให้ร่างกายอ่อนแอของเขา ดังนั้นเขาจึงพอจะขี่ม้าเป็
แต่ม้าตัวที่เขาเลือกก็ยังคงเป็ม้าตัวที่นิสัยอ่อนโยนสักหน่อยอยู่ดี ขนของมันเป็สีขาวตลอดร่าง เพียงแค่ตรงหางของมันนั้นมีสีขนอื่นๆ แซมมาเล็กน้อย ที่เหลือล้วนแต่เป็สีขาว ดูแล้วน่ามองไม่เบา
วันนี้อาสวินหวีผมเรียบร้อย ปอยผมที่เพิ่งเล็มมาเรียงตัวกันเป็ระเบียบ
ใบหน้ายังคงดูหมดจด ผิวขาวราวกับหิมะ ติ่งหูอวบหนา ยามอยู่บนหลังอาชาสีขาวก็ยิ่งขับเน้นให้เขาดูสง่างาม
เมื่อก่อนเขาก็คิดถึงปัญหานี้อยู่บ้าง หากเขาเข้าเรียนที่สำนักเชินแล้วก็จะต้องแยกจากพี่ลู่ เสี่ยวอู่และเฉินโย่ว
ไม่คาดคิดว่าสุดท้ายปัญหาจะคลี่คลายลงเช่นนี้
ยามนี้เขานึกชอบท่านนายอำเภอเฉินเหลือเกิน
เมื่อก่อนเขาก็แค่ขายผ้าเอาหน้ารอด ทำทีว่าประทับใจไปอย่างนั้น ทว่าบัดนี้กลับรู้สึกว่าท่านนายอำเภอเฉินช่างน่ารักนัก
หากได้พบหน้า ครานี้เขาจะต้องคารวะขอบคุณท่านนายอำเภอเฉินสักครา เพียงแต่ดูเหมือนว่ายามนี้ใต้เท้าเฉินได้กลายเป็ท่านผู้ดูแลบัณฑิตเฉินไปเสียแล้ว
ราชครูก็นั่งอยู่ในรถเช่นกัน ยามนี้สถานะของเขาก็ยังเป็อาจารย์ของเฉินโย่วเช่นเดิม
เหล่าปาคอยควบคุมรถ เขาเองก็ยืนยันจะขอติดตามไปเมืองหลวง คนอื่นๆ เองก็ไม่ได้ซักไซ้เหตุผล
อู๋เจียงก็ขี่ม้าตามเข้าเมืองหลวงด้วยเช่นกัน
ระยะนี้เขาคอยฝึกซ้อมกองทัพบนูเาอยู่เสมอ ใจจริงก็ไม่อยากจากมาเท่าใดนัก
เพียงแต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังเป็คนของราชสำนัก อีกทั้งพี่สาวของเขาก็ยังอยู่ในเมืองหลวง ไม่ช้าก็เร็วเขาก็คงจะต้องกลับเมืองหลวงอยู่ดี
ครั้งนี้ยังมีสาสน์กราบทูลจากท่านข้าหลวงจ้งจื๋อ เกรงว่าเขากลับไปครานี้เห็นทีคงจะได้เลื่อนขั้นเป็แน่
นายท่านสามขี่ม้าอยู่ท้ายขบวน
ส่วนแม่นางหลัวอยู่หน้าขบวน
ทั้งสองนับว่าอยู่ห่างไกลกันที่สุด
ทว่านายท่านสามกลับรู้สึกสบายอกสบายใจนัก ขอเพียงได้เห็นรถม้าของแม่นางหลัวจากไกลๆ ในใจก็พลันรู้สึกเบิกบาน
เขาเคยเฝ้าฝันอยากจะร่วมต่อสู้ไปพร้อมกับแม่นางหลัวจนสุดหล้าฟ้าเขียว บัดนี้เริ่มจะเป็จริงขึ้นมาแล้ว แม้ว่าตรงกลางจะขวางกั้นด้วยราชครู เด็กทั้งสี่คน เหล่าปา อู๋เจียง และทหารอีกกองหนึ่ง ทว่าเมื่อมองเห็นเส้นทางคดเคี้ยวที่ทอดยาว ที่ปลายทางยังมีรถคันนั้นอยู่ ดวงตาของเขาก็ทอประกายขึ้นมา
ถนนกระดูกที่แสนยาวไกลและคดเคี้ยว
เมื่อมาถึงทางเลี้ยว แม่นางหลัวที่นั่งอยู่ในรถก็เงยหน้าขึ้น ไม่จำเป็ต้องหันกลับไป ก็สามารถมองเห็นนายท่านสามที่อยู่ท้ายขบวนได้
อาชาร่างกำยำ เรือนผมยาว แผ่นหลังเหยียดตรง และรอยยิ้มอบอุ่นบนใบหน้า
แม่นางหลัวเห็นเช่นนั้นก็เผลอยิ้มน้อยๆ เช่นกัน
มองไปก็เห็นแม่น้ำและทะเลสาบ
แถบผ้าบนยอดเขายามต้องลมยังคงโบกสะบัด
กลางนภายังคงเห็นเ้าอินทรีกระพือปีกบินถลาเล่นลม พร้อมส่งเสียงร้องออกมาเป็ระยะ
ป้ายชื่อหมู่บ้านยังคงแขวนลอยสูง
แม้ยามลมพัดก็ยังคงแขวนนิ่ง แม้ตัวอักษรบนป้ายจะดูเก่าไปบ้าง แต่ดูแล้วมีมนตร์ขลังไม่เบา
ขบวนค่อยๆ เคลื่อนจากูเากระดูก ผ่านตลาดไป๋กู่ที่แสนคึกคัก
แล้วจึงเข้าสู่ทุ่งหญ้าที่แสนกว้างใหญ่
ขบวนของพวกเขาเมื่ออยู่บนทุ่งหญ้ากว้างเช่นนี้ก็ราวกับหยดน้ำหยดหนึ่งท่ามกลางมหาสมุทรก็ไม่ปาน
ระหว่างทางยังผ่านแผงชาที่ตั้งอยู่ข้างทาง ้ายังมีป้ายที่เขียนคำว่า ‘ลู่’ กำลังโบกพลิ้ว
ฝูงกระต่ายบนทุ่งหญ้า เมื่อเห็นขบวนที่กำลังเคลื่อนมาจากไกลๆ ก็พากันหลบไป
แต่ด้วยความสงสัย พวกมันจึงอดไม่ไหวที่จะแอบชะเง้อมอง ทว่าพวกมันก็มิได้ขวัญกล้าถึงเพียงนั้น จึงรีบหดหัวกลับไปอีกครา เหล่ากระต่ายตัวน้อยทำเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า
ทุ่งหญ้าที่แสนเงียบสงบ ความจริงแล้วกลับเต็มไปด้วยความคึกคัก
ท้องฟ้าเพียงเพิ่งจะสาง
ปลายขอบฟ้าก็ได้ยินเสียงหมาป่าหอนดังขึ้น
ทั่วสารทิศก็พลันครื้นเครงขึ้นมา
ราวกับกำลังน้อมส่งพวกเขาอย่างไรอย่างนั้น
เฉินโย่วที่นั่งอยู่บนหลังเ้ามืดอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมอง
ทว่าเมื่อหันกลับไปก็เห็นเพียงทุ่งหญ้าที่ยังคงสงบนิ่ง
เมื่อหันกลับมา ด้านหลังก็ราวกับกลับมาครึกครื้นอีกครา
นางจึงไม่หันกลับไปมองอีก เพียงแต่เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า
ท้องฟ้าในวันนี้เป็สีฟ้าสดใส งดงามนัก
