หัวใจของฮูหยินจางแทบจะเต้นขึ้นมาถึงคอหอย นางเอ่ยอย่างไม่ได้เกินจริงแต่อย่างใดว่า ความเป็ความตายของแม่ทัพจางนั้นเกี่ยวพันถึงชะตาของจวนจาง คนทั้งจวนจางต่างไม่อยากให้แม่ทัพจางเสียชีวิต ว่าแล้วก็ร้องถามทั้งร่ำไห้ว่า “เพียงแต่สิ่งใด ยาสมุนไพรใดๆ ในจวนเราล้วนมีครบครัน หรือว่าท่าน้าให้จวนเราทำสิ่งใด”
หลี่หรูอี้เอ่ยอย่างอดทนยิ่ง “ท่านอย่าเพิ่งร้อนใจ ฟังข้าพูดให้จบก่อน ผู้ป่วยจำเป็ต้องกินยาที่ข้าสั่งให้ตามเวลาและตามจำนวน ต้องพักผ่อนให้ดี ต้องควบคุมดูแลเื่อาหารอย่างเคร่งครัดและต้องให้คนในครอบครัวคอยจับตาดู หากทำได้ทั้งหมด ภายในหนึ่งเดือนท่านแม่ทัพจางก็จะลงมาเดินได้ ครึ่งปีจะกลับมาเป็เช่นแต่ก่อนห้าส่วน และหนึ่งปีจะกลับมาเป็ปกติแปดส่วน”
ฮูหยินจางแทบไม่เชื่อหูตนเอง ทางด้านหลังมีเสียงหัวเราะลั่นของจางโสง ยังมีเสียงซาบซึ้งของจางเลี่ยงว่า “ท่านหมอเทวดาน้อย โปรดสั่งยาขอรับ พวกเราจะให้ท่านพ่อดื่มเดี๋ยวนี้”
เดิมทีแม่ทัพจางไม่ได้ไปไหนมาไหนหลายปี เพราะเจ็บป่วยจนแทบจะสิ้นลมอยู่แล้ว ผู้ใดจะคิดว่าหลังจากหลี่หรูอี้ตรวจรักษาแล้วกลับได้ยินคำว่า จะมีชีวิตอยู่ต่อได้ หนึ่งเดือนจะลงเดิน หนึ่งปีจะกลับมาเป็ปกติแปดส่วน
เนื่องจากหลี่หรูอี้เคยไปตรวจรักษาโจวโม่เสวียน แม่ทัพติง และแม่ทัพสวี่เป็ตัวอย่างมาก่อนหน้า จางโสงพี่น้องจึงไม่ได้คลางแคลงในคำพูดของนางเลยแม้แต่น้อย
โจวโม่เสวียนเอ่ยทั้งรอยยิ้มกับเจียงชิงอวิ๋นว่า “ท่านหมอเทวดาน้อยบอกว่า ภายในหนึ่งเดือนท่านลุงจางจะลงมาเดินได้ ช่างดีเหลือเกิน ข้าจำได้ว่าท่านลุงจางนอนซมอยู่บนเตียงมาสามปีแล้ว”
จางจื่ออวิ๋นรอฟังผลตรวจอยู่ข้างนอกตรงลานเรือนถึงกับดีใจจนน้ำตาไหล และบอกกับโจวฉยงรุ่ยว่า “ดีเหลือเกิน โรคของท่านพ่อข้ามีทางรักษาแล้ว”
“หวังว่าเมื่อท่านลุงจางกินยาของท่านหมอเทวดาน้อยแล้วจะดีขึ้นโดยไว” สายตาของโจวฉยงรุ่ยมองไปทางห้องนอน เมื่อครู่เห็นเพียงแค่แผ่นหลังผอมบางของหลี่หรูอี้ แต่ยามนี้อยากได้เห็นใบหน้าของนางเสียเหลือเกิน
“วันนี้ข้านำโอสถมาด้วยเพียงสองชนิด พวกท่านให้ผู้ป่วยทานไปก่อน นับแต่วันนี้ไปห้ามให้ผู้ป่วยทานเส้นหมี่ขาวและข้าวสวย แต่ต้องทำอาหารให้ผู้ป่วยตามสูตรที่ข้ามอบให้” หลี่หรูอี้พูดพลางเดินออกไปข้างนอก เพื่อจะไปเขียนสูตรอาหารที่ห้องหนังสือ
ทุกคนต่างรู้ว่าโรคเบาหวานไม่อาจทานอาหารที่มีแป้งและน้ำตาลสูงมาก อาหารหลักที่ผู้ป่วยโรคเบาหวานสามารถทานได้ไม่จำกัดก็คือ ข้าวสาลีเฉียว[1]
ดินแดนทางเหนือเป็แหล่งเพาะปลูกข้าวสาลีเฉียว ราคาจึงไม่นับว่าแพง หรือต่อให้ในจวนจางไม่มีก็สามารถออกไปซื้อหามาได้
ฮูหยินจางแม่ลูกรีบเดินตามมาข้างหลัง ด้วยกลัวว่าจะฟังตกหล่นไปแม้เพียงคำเดียว
หลี่หรูอี้พูดพลางเดินมาจนกระทั่งถึงห้องหนังสือ ซึ่งเนื้อหาทั้งหมดล้วนเกี่ยวกับอาหารของแม่ทัพจางทั้งสิ้น “เดือนแรกให้ทานน้อยๆ แต่หลายมื้อ รอจนเดือนที่สองเมื่อผู้ป่วยลงเดินได้แล้วก็ให้เพิ่มอาหารให้มากขึ้นอีกสักหน่อย แต่จะต้องให้ผู้ป่วยเคลื่อนไหวร่างกายอย่างเหมาะสมด้วย”
หนึ่งเค่อผ่านไป สูตรอาหารก็เขียนเสร็จเรียบร้อย และยาก็สั่งไว้ให้แล้ว แต่หลี่หรูอี้ยังคงไม่เดินออกไป หากกำชับคนตระกูลจางอีกครั้งว่า “ต้องจดจำให้ดีว่า หากผู้ป่วยขอจะกินให้มากขึ้น ก็ห้ามทำตามคำขอเด็ดขาด”
จางเลี่ยงอายุสิบเจ็ดปีแล้ว และกำลังจะแต่งภรรยาในเร็ววันอดที่จะพูดไม่ได้ว่า “ท่านหมอเทวดาน้อยขอรับ พี่ใหญ่ข้าเชื่อฟังคำท่านพ่อเป็ที่สุด ท่านต้องกำชับพี่ใหญ่ข้าให้มากๆ ขอรับ”
หลี่หรูอี้หันไปจ้องจางโสงทันที ใบหน้าน้อยๆ เคร่งขรึมขณะกล่าวว่า “หากท่านไม่ฟังคำข้า ก็เท่ากับทำร้ายบิดาของท่าน ท่านเข้าใจหรือไม่”
จางโสงอายุยี่สิบห้าปีแล้ว เวลานี้ถูกกดดันจนใบหน้าแดงก่ำไปหมด พลันลูบหัวของตนและเอ่ยเสียงแ่เบาว่า “ข้าเข้าใจแล้ว ขะ… ข้าจะฟังคำท่านแล้วอย่างไรเล่า”
จางเลี่ยงกระแอมครั้งหนึ่ง “ท่านหมอเทวดาน้อย ยังมีท่านแม่ของข้าด้วย”
หลี่หรูอี้เห็นฮูหยินจางดวงตาทอประกาย จึงเลิกคิ้วและเอ่ยขึ้นว่า “ฮูหยินขอรับ หากท่านยอมฟังคำของข้า ท่านแม่ทัพก็จะหายป่วยได้ขอรับ”
ฮูหยินจางตัดสินใจแน่วแน่ ก่อนเอ่ยปากว่า “ตกลง วันหน้าข้าจะทำใจแข็งไม่ให้สามีข้าทานอาหารครั้งละมากๆ”
เมื่อหลี่หรูอี้สั่งความเสร็จสรรพ จึงบอกกับโจวโม่เสวียนว่า “ท่านชาย พวกเราไปที่เรือนต่อไปได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จางโสงรีบยื่นมือออกไปกันตัวหลี่หรูอี้เอาไว้ และพูดอย่างร้อนใจว่า “พวกท่านจะไปทั้งเช่นนี้ได้อย่างไร รับอาหารเที่ยงก่อนค่อยไปเถิดขอรับ”
หลี่หรูอี้เห็นว่าจางโสงรีบร้อนจนหน้าอกมีเหงื่อออก ช่างเป็คนใจร้อนจริงๆ เกรงว่านิสัยนี้จะได้มาจากฮูหยินจาง ว่าแล้วก็เอ่ยยิ้มๆ ว่า “พวกเราจะต้องไปที่จวนแม่ทัพหู และยังต้องไปตรวจรักษาที่จวนแม่ทัพติงซ้ำอีกครั้งด้วยขอรับ”
“จวนของพวกเขาทั้งสองอยู่ใกล้จวนของพวกเราอย่างยิ่ง พวกท่านรับประทานอาหารที่จวนเราก่อนค่อยไปเถิด อีกประการห้องครัวก็ตระเตรียมไว้พร้อมแล้วด้วยเ้าค่ะ” สายตาของฮูหยินจางจับจ้องอยู่ที่โจวโม่เสวียน เจียงชิงอวิ๋น และหลี่หรูอี้ เพราะไม่รู้ว่าผู้ใดจะเป็คนตัดสินใจในเื่นี้
ใบหน้าของโจวโม่เสวียนมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นเล็กน้อย มีความแน่วแน่ในใจตนอยู่ในน้ำเสียง “ท่านลุงหูกำลังรอให้ท่านหมอเทวดาน้อยไปช่วยชีวิตอยู่ พวกเราล้วนฟังคำท่านหมอเทวดาน้อย ต้องไปแต่ยามนี้แล้วขอรับ”
หลี่หรูอี้ย้ำเตือนว่า “ฮูหยิน สูตรอาหารที่ข้าสั่งให้ ท่านต้องกำชับห้องครัวว่าห้ามปรับเปลี่ยนใดๆ เด็ดขาด”
ฮูหยินจางได้ฟังก็จดจำเื่อาหารที่จะให้ห้องครัวทำให้แม่ทัพจางอยู่ในใจ ทำให้ตอบช้าไปครู่หนึ่ง พวกของโจวโม่เสวียนจึงเดินออกไปที่ลานเรือน
โจวฉยงรุ่ยกับจางจื่ออวิ๋นกำลังยืนอยู่ข้างประตูวงพระจันทร์ที่อยู่ข้างนอกลานเรือน ขณะทักทายกับพวกของโจวโม่เสวียน โจวฉยงรุ่ยจึงมองหลี่หรูอี้ไปหลายครั้ง
จางจื่ออวิ๋นโค้งตัวให้หลี่หรูอี้ เอ่ยด้วยความซาบซึ้งใจว่า “ท่านหมอเทวดาน้อย ขอบคุณท่านอย่างยิ่งที่ช่วยชีวิตท่านพ่อของข้าเ้าค่ะ”
“เป็สิ่งที่ควรทำอยู่แล้วขอรับ” เมื่อครู่หลี่หรูอี้เห็นสตรีสูงศักดิ์ทั้งสองนางแล้ว และกำลังคาดเดาอยู่ในใจว่า ท่านใดคือท่านหญิงและคนใดคือคุณหนูจาง ที่แท้สตรีที่มีใบหน้ากลม ดวงตาหงส์ตรงหน้า นางผู้นี้ก็คือ คุณหนูจางนี่เอง เช่นนั้นแล้วอีกท่านซึ่งมีใบหน้ารูปไข่ห่าน ดวงตาเมล็ดซิ่งเหริน[2]ก็คือ ท่านหญิง ท่านหญิงมีราศีสูงส่ง เพียงแต่สายตาในดวงตาเมล็ดซิ่งเหรินนั้นคอยสังเกตดูตนอยู่หลายครั้ง ดูท่าว่าอีกฝ่ายก็สนใจใคร่รู้ในตัวนางเช่นกัน
โจวฉยงรุ่ยเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านหมอเทวดาน้อยถ่อมตนแล้ว”
“หรูอี้ถวายความเคารพท่านหญิง” หลี่หรูอี้พยักหน้าให้เด็กสาวโฉมงามช้าๆ ก่อนเอ่ยด้วยเสียงแ่เบาว่า “ขออำลา”
พ่อลูกสกุลหลี่ไม่กล้ามองสตรีสูงศักดิ์ทั้งสองคนตรงๆ หลังจากโค้งตัวคำนับโจวฉยงรุ่ยแล้ว ก็ถอยออกมาอยู่ข้างๆ
โจวฉยงรุ่ยกวาดตาไปยังพ่อลูกสกุลหลี่ คนที่เป็พ่อนั้นร่างกายกำยำท่าทางซื่อๆ ส่วนบุตรชายมีรูปร่างผอมสูง หน้าตาหล่อเหลา แต่หลี่หรูอี้หน้าตาไม่เหมือนคนทั้งสองเลยแม้แต่น้อย ดูท่าคงจะไปทางมารดา นางสงสัยอยู่ในใจว่าสกุลหลี่นั้นเป็เช่นใด ใช้วิธีใดจึงเลี้ยงดูจนได้หมอเทวดาน้อยเช่นนี้ออกมา
สตรีสูงศักดิ์ทั้งสองมองจนกระทั่งคนทั้งหมดเดินคล้อยหลังออกไป โจวฉยงรุ่ยดึงแขนเสื้อของจางจื่ออวิ๋น กล่าวว่า “เ้ามองสิ่งใดออกบ้างหรือไม่”
จางจื่ออวิ๋นยังคงตกตะลึงอยู่ที่ท่านหมอเทวดาน้อยอายุน้อยเหลือเกิน จึงไม่ได้ยินคำถามของสหายสนิท แววตายังคงเหม่อมองขณะย้อนถามว่า “สิ่งใด?”
“ท่านหมอเทวดาน้อย เหมือนกับเ้าและข้า”
จางจื่ออวิ๋นเอ่ยอย่างสงสัย “พวกเราไม่รู้วิชาแพทย์ จะเหมือนกับท่านหมอเทวดาน้อยได้อย่างไร”
ทันใดนั้นโจวฉยงรุ่ยนึกถึงเื่ที่หลี่หรูอี้ตรวจร่างกายแม่ทัพจาง เมื่อครู่นี้ขึ้นมาได้ และรู้ว่าเื่นี้ต้องเกี่ยวพันถึงชื่อเสียงของหลี่หรูอี้ แม้อยากเอ่ยปากแต่ก็ยั้งเอาไว้ ว่าแล้วก็ปรายตาไปครั้งหนึ่ง “เมื่อท่านพ่อของเ้าหายป่วยแล้ว เ้าก็ไม่ต้องรีบแต่งงานแล้ว”
จางจื่ออวิ๋นสะกดความยินดีที่เปี่ยมล้นในใจไว้ไม่ได้ พลันเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ข้าจะไปดูท่านพ่อสักหน่อย แล้วค่อยสอบถามท่านแม่เื่นี้”
“ข้าไปกับเ้า”
“ต้องขอบคุณครอบครัวเ้าจริงๆ” จางจื่ออวิ๋นหมายถึง เื่ที่โจวโม่เสวียนพาหมอเทวดาน้อยมาตรวจรักษาแม่ทัพจาง
“ปกติแล้วน้องชายข้าเห็นแต่ชอบก่อเื่ แต่กับเื่สำคัญก็ไม่เคยไม่จริงจัง”
“โม่เสวียนเอาใจใส่กับเื่ของพวกเราหลายครอบครัวเหลือเกิน”
“นั่นเป็เื่ที่สมควรแล้ว เขาต้องไปอยู่ในกองทัพ วันหน้าต้องรบกวนพวกเ้าทั้งหลายตระกูลแล้วต่างหาก”
“โม่เสวียนมีวรยุทธ์สูงส่ง ทั้งแข็งแกร่ง และยังมีสติปัญญาเป็เลิศ เมื่อไปอยู่ในกองทัพแล้วย่อมเป็ดั่งปลาได้น้ำ เ้าคิดมากไปแล้ว”
“ก็หวังว่าจะเป็ดังนั้น”
ทุกคนในจวนหูเฝ้ารอด้วยความร้อนใจ ดั่งเฝ้ารอดาราและรอคอยดวงเดือน ในที่สุดพวกของโจวโม่เสวียนก็มาถึงเสียที
บุตรชายคนโตของแม่ทัพหูอายุราวยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปี รูปร่างสูงแต่อ้วน ตัวสูงใหญ่เสียอย่างยิ่ง ใบหน้ามีสีคล้ำ คิ้วไม้กวาด[3] เสียงพูดจาดังกังวาน แต่กลับนอบน้อมต่อโจวโม่เสวียนที่อายุยังน้อยเสียอย่างยิ่ง
“วันนี้ เสด็จพ่อของข้ามาที่จวนพวกเ้าแล้วหรือไม่”
.............................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] ข้าวสาลีเฉียว (荞麦 เฉียวม่าย) คือ บัควีท หรือบักวีต (Buckwheat) หรือโซบะ เป็เมล็ดธัญพืชที่อุดมไปด้วยสารอาหาร แต่ปราศจากกลูเตน มีโปรตีนและใยอาหารสูง
[2] เมล็ดซิ่งเหริน คือ เมล็ดอัลมอนด์
[3] คิ้วไม้กวาด คือ คิ้วที่หัวคิ้วเรียว หางคิ้วบาน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้