ใบหน้าดุจดั่งดวงตะวันนั้นดับมืดกลายเป็หน้าแตงขม “ท่านพี่ ข้าไม่เรียนไม่ได้หรือ? ท่านดูสิ บ้านเรามีงานตั้งเยอะแยะ จะมีเวลาที่ไหนมาเรียนสิ่งเ่าั้ อีกอย่างบ้านเรามีเงินแล้ว ค่อยไปสั่งในตำบลหรืออำเภอก็ได้ ไม่เห็นต้องลงมือเย็บเองเลย”
“ออกจากห้องไปเ้าก็ลืมคำพูดเหล่านี้เสียเถิด ท่านแม่ไม่มีทางยอมแน่” หลิวชิวเซียงมองน้องสาวอย่างขบขัน บุตรสาวบ้านอื่นฝึกหัดเย็บปักั้แ่อายุหกถึงเจ็ดขวบ หากมีโอกาสได้ฝึกวิธีเย็บดีๆ คงดีใจจนหมดสติ แต่น้องรองตัวดีกลับเห็นเื่นี้ก็หลบ พอหลบไม่ได้ก็งอแง!
นางหน้าแดงพร้อมกับยื่นถุงหอมอันหนึ่งใส่ในมือของหลิวเต้าเซียง “เอาไปๆ”
“โอ้ ท่านพี่ นี่ท่านแอบฟังท่านย่าหวงพูดั้แ่แรกแล้วหรือ คิกคิก!” หลิวเต้าเซียงหยิบถุงหอมแล้วเอ่ยต่อ “ข้าจะเอาให้ท่านย่าหวงเดี๋ยวนี้”
หลิวเต้าเซียงรีบกลับไปหาท่านย่าหวง ส่วนหลิวซานกุ้ยมองดูถุงหอมในมือของนางแล้วเอ่ย “ฝีมือเย็บปักของลูกสาวคนโตข้าถือว่าพอฝืนไปได้”
ท่านย่าหวงหยิบถุงหอมมาและตอบว่า “ฝืนไปได้ที่ไหนกัน รู้กันอยู่ว่าสะใภ้นายช่างเหล็กนั้นเก่งงานเย็บปัก ได้ยินว่าเป็การปักซูซิ่ว [1] ที่ถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ ดีกว่าการเย็บปักของรุ่นเรามากนัก”
หลิวเต้าเซียงกะพริบตา จากนั้นเอามือน้อยๆ ลูบคาง การปักซูซิ่วหรือนี่?!
มิน่า นางถึงรู้สึกว่าสิ่งที่พี่สาวปักออกมาดูประณีตเป็พิเศษ ความดีที่ป้าหลี่มีต่อพวกนาง นางจำไว้แล้ว หากมีโอกาสก็จะตอบแทนให้อย่างถึงที่สุด
ท่านย่าหวงหยิบของที่ห่อด้วยผ้าเช็ดหน้าออกมาจากอ้อมอก แล้วแกะห่ออย่างระมัดระวัง ข้างในเป็ปิ่นปักผมเงินลวดลายผีเสื้อดอมดมดอกไม้สีทองกับไข่มุก ผีเสื้อสั่นไหวเล็กน้อย ส่วนดอกไม้ประดับด้วยไข่มุกเม็ดขนาดเท่าถั่วเหลืองหนึ่งเม็ด
“ข้าเห็นว่าปิ่นปักผมไข่มุกนี้เหมาะกับชิวเซียง ถึงอย่างไรที่บ้านก็ไม่มีใครเหมาะสม จึงอยากยกให้ลูกสาวคนโตของเ้า”
หลิวซานกุ้ยก้มศีรษะเล็กน้อย ยิ้มแล้วเอ่ยกับหลิวเต้าเซียง “ยังไม่รีบนำไปให้พี่สาวเ้าอีก” จากนั้นก็หันไปทางท่านย่าหวง “ต้องขอบพระคุณท่านป้าด้วย ต่อไปทั้งสองบ้านจะปรองดองกัน บ้านก็อยู่ใกล้กัน ย่อมต้องไปมาหาสู่กันให้บ่อย”
“สมควร สมควร” ท่านย่าหวงและท่านปู่หลี่เจิ้งยิ้มจนไม่อาจหุบลงได้
หลิวเต้าเซียงถือปิ่นปักผมไข่มุกเตรียมไปให้พี่สาว แต่ขณะนั้นก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้นที่ประตู
ทุกคนหันไปมอง จากนั้นใบหน้าของแต่ละคนก็ดูไม่ดีนัก
ท่านย่าหวงเหลือบมองไปที่หลิวซานกุ้ยแล้วก้มศีรษะลงไม่พูดไม่จา เพียงแต่มองถุงหอมในมืออย่างจริงจัง
“ฮ่าๆ ข้าว่าน้องสาม บ้านเ้าทำของอร่อยอะไรหรือ ข้าได้กลิ่นมาแต่ไกลจนท้องร้องไปหมด”
หลิวเหรินกุ้ยสวมชุดผ้าไหมสีฟ้าคราม ส่วนหลิวซุนซื่อสวมเสื้อคลุมสีเขียว ใบหน้าแซมด้วยดอกบ๊วยสีชมพู ส่วนด้านล่างเป็ชุดกระโปรงจับกลีบสีขาว ผูกเอวด้วยหยกผีเสื้อ บนศีรษะเสียบปิ่นปักผมเงินประดับไข่มุก ที่ดึงดูดสายตาที่สุดเห็นจะเป็หลิวจูเอ๋อร์ที่มีท่าทางนอบน้อมเดินรั้งท้ายมา
ดวงตาของหลิวเต้าเซียงเ็าเล็กน้อย มองดูชุดผ้าไหมลายดอกสีแดงแซมด้ายสีเงินราวกับเทพธิดา ด้านล่างเป็กระโปรงกลีบละเอียดสีขาว ้าสวมสร้อยสีทองอักษรปลอดภัย ยิ่งขับให้ดวงตาคู่สวยของนางดูเพริศพริ้ง เห็นเพียงหางตาของหลิวจูเอ๋อร์กระตุกเล็กน้อย สายตาคู่นั้นมองมาที่อิ๋นสั่วตรงหน้าอกของหลิวเต้าเซียงแล้วแอบยิ้มดูแคลนเบาๆ
ต้องสมฐานะกันไม่ใช่หรือ?
ฮึ คนเหล่านี้ช่างตาถั่วเหลือเกิน กล้าดูถูกครอบครัวรองของตระกูลหลิว
ปีนี้หลิวจูเอ๋อร์อายุครบสิบสองขวบพอดี ซึ่งเป็ปีเดียวกับหวงเสียวหู่ อ่อนกว่าเขาเพียงแค่สามเดือน ครอบครัวหลิวเหรินกุ้ยวางแผนมานานแล้ว มีเพียงสถานะของหวงเสียวหู่ที่เข้าตาพวกเขา
ทั้งสามคนมาถึงบ้านของหลิวซานกุ้ยด้วยความคิดบางอย่างที่ไม่อาจพูดออกมาได้
พวกเขาทักทายกัน ส่วนหลิวจูเอ๋อร์ทำความเคารพผู้าุโอย่างออกหน้าออกตา
หลิวซุนซื่อเป็คนที่เก็บอารมณ์ไม่ค่อยอยู่ เมื่อเห็นปิ่นปักผมไข่มุกในมือของหลิวเต้าเซียงก็อิจฉาตาร้อน อยากพุ่งเข้าไปแย่งมาให้บุตรสาวตนเอง
หลิวเหรินกุ้ยแอบกระตุกแขนเสื้อด้านหลังของนาง ยิ้มแล้วเอ่ย “โอ้ ท่านลุงหลี่เจิ้งกับท่านป้าก็อยู่หรือ ข้าว่าน้องสาม วันนี้มีเื่ดีอะไรหรือ? เ้าช่างไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์พี่น้องเลย ไม่ส่งคนไปบอกกล่าวกับพี่สักหน่อย”
จับจังหวะมาทำให้เสียเื่สิไม่ว่า!
หลิวเต้าเซียงมองดูสถานการณ์อย่างเ็า ผู้มาเยือนย่อมคิดไม่ซื่อ!
“ใช่ น้องสะใภ้สาม เ้าช่างมีวาสนาดีเหลือเกิน ตอนนี้งานในบ้านก็โยนให้แม่เ้าทำหมด ข้าอิจฉาน้องสะใภ้สามเหลือเกินที่มีแม่ดี ดูสิข้าตาร้อนไปหมด เสียดายที่แม่ข้าไม่ได้เอ็นดูข้าเช่นนี้ นางแทบอยากจะให้ข้าไปหานางให้น้อยๆ หน่อย!” หลิวซุนซื่อเอ่ยตาม
สมกับเป็สามีภรรยา คนหนึ่งเหยียบย่ำหลิวซานกุ้ย อีกคนหนึ่งก็ข่มบารมีจางกุ้ยฮัว
ใบหน้าของหลิวซานกุ้ยเปลี่ยนเป็สีเขียวปั๊ดด้วยความโกรธ ก่อนจะเอ่ยด้วยความโมโห “พี่รอง พี่สะใภ้ พวกท่านอย่ารังแกกันเกินไป ครอบครัวข้าจะทำอะไร แล้วเกี่ยวอะไรกับพวกท่าน? หลายปีที่ผ่านมาพวกท่านอยู่ดีมีสุขในตำบล กลับมาที่บ้านเมื่อใดก็โอดครวญกับท่านพ่อท่านแม่ว่ายากจน คิดว่าข้าไม่รู้จริงๆ หรือ? ฮึ ไม่รู้ว่าในมือใครมีที่นาตั้งสามสิบไร่กัน พี่รอง หรือไม่ รอเมื่อท่านแม่กลับมา ข้าว่าจะลองไปเยี่ยมท่านแม่ดูสักหน่อย ดีหรือไม่?”
ใครกลัวใคร!
หลิวเต้าเซียงแสยะยิ้ม จากนั้นเอ่ยขึ้นบ้าง “ป้ารอง ถือว่าหลานเสียมารยาท ท่านยายข้าเอ็นดูแม่ข้า นั่นเพราะชีวิตของพวกข้าดี ท่านยายยินดีที่จะดูแลท่านแม่ ไม่รู้ว่าเกี่ยวอะไรกับป้ารองด้วยหรือ? ในสายตาของหลาน กลับรู้สึกว่าป้ารองกำลังริษยาแม่ข้าอยู่อย่างไรอย่างนั้น!”
ขณะนั้นที่ประตูห้องครัว เฉินซื่อก็ปรากฏตัวออกมา “นั่นสิ ลูกใครใครก็รัก เ้าก็เพิ่งบอกอยู่ว่า เพราะแม่เ้าไม่เอ็นดูเ้า คนแก่อย่างข้านั้นรักลูก แล้วเกี่ยวอะไรกับเ้า?”
จางกุ้ยฮัวไม่ได้รําคาญ เพียงแต่ยิ้มแย้มแล้วเอื้อมมือออกมาลูบท้อง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เฮ้อ ท่านแม่ข้าก็แค่ไม่อยากเห็นข้าที่ตั้งครรภ์ต้องเหนื่อยน่ะ!”
หลิวซุนซื่อจ้องมองท้องของนางด้วยดวงตาที่เบิ่งกว้าง ั้แ่เมื่อไรกัน?
“ถึงอย่างไรครรภ์ก็มั่นคงแล้ว คงพูดออกมาได้แล้วล่ะ!”
หลิวซานกุ้ยยิ้มและพูดว่า “กุ้ยฮัว เ้าอย่าได้โกรธเคืองไป”
“ที่แท้น้องสะใภ้สามก็ตั้งครรภ์นี่เอง ยินดีด้วย คลอดลูกสาวมาสามคนแล้ว น้องสามต้องไปกราบไหว้ในศาลให้มาก คุ้มครองให้ครอบครัวฝั่งเ้ามีลูกชายสักคน”
หลิวเหรินกุ้ยยิ้มอย่างเป็มิตร ราวกับว่าเขานั้นดีใจนักหนา
หลิวซุนซื่อเห็นว่าเื่นี้ห่างไกลจากวัตถุประสงค์ของนาง จึงแอบหยิกเอวของหลิวเหรินกุ้ยเต็มแรง
“ท่านป้า วันนี้ท่านไม่ยุ่งหรือ? ก่อนหน้านี้ข้ายังคิดอยู่ว่าจะไปขอกล้าฟักทองกับที่บ้านท่าน จูเอ๋อร์ชอบกินรสหวาน ข้าที่เป็แม่ก็ต้องเอ็นดูนางหน่อย”
ท่านย่าหวงยกเปลือกตาขึ้น มองไปที่หลิวซุนซื่อก่อนจะพูดอย่างเฉยเมยว่า “เ้านั้นหรือ? อย่าคิดทำลายต้นกล้าฟักทองของข้าเลย”
รอยยิ้มของหลิวซุนซื่อแข็งทื่อ ฉับพลันก็ยิ้มอย่างคนกันเอง “ท่านป้าเข้าใจข้าที่สุด งานเช่นนี้ข้าทำไม่เป็จริงๆ แต่ว่าก็ยังมีน้องสะใภ้สามนี่นา ได้ยินว่าตั้งครรภ์แล้ว หากช่วยปลูกฟักทองหน่อยคงไม่เสียแรงเท่าใด”
หลิวเต้าเซียงยิ้มอย่างเ็า และพยายามสะกดกลั้นความโกรธในใจ “ข้าว่าป้ารอง แผนการนี้ของท่านช่างฉลาดล้ำลึก! แม่ข้าตั้งครรภ์ทั้งคน คงไม่มีบุญวาสนาไปปรนนิบัติป้ารองได้หรอก หิมะหน้าบ้านใคร ผู้นั้นก็รับผิดชอบกวาดเอง”
หากไม่ใช่วันที่พี่สาวของนางและหวงเสียวหู่หมั้นกัน นางไม่ขับไล่ไสส่งพวกหนังสุนัขเหล่านี้ออกไปจากบ้านสิแปลก
“เฮ้อ ข้าว่าท่านป้า ท่านเองก็เห็น เต้าเซียงน่ะเกเรจนเคยตัว ดูนางพูดจาเข้าสิ ไม่หัดดูให้เต็มตา ไม่เหมือนกับลูกจูเอ๋อร์ ได้รับการสั่งสอนมารยาทชั้นดีกับอาจารย์หญิงโดยตรง”
ขณะที่หลิวซุนซื่อพูดก็เอื้อมมือไปััปิ่นปักผมของตนเอง
ท่านย่าหวงหรี่ตาลง นางคงดูผิดไป สถานะของครอบครัวฝั่งหลิวเหรินกุ้ยก็ดูไม่ได้แย่นัก
แต่แล้วอย่างไรเล่า ในใจของท่านย่าหวงต้องยึดความสุขของหลานชายคนโตเป็หลัก
“ใช่ ข้าว่าจูเอ๋อร์นั้นมีมารยาทไม่แตกต่างจากคุณหนูตระกูลผู้ดีแม้แต่น้อย”
หลิวเต้าเซียงได้ยินดังนั้น ความโกรธในใจก็ลดทอนลงไปบ้าง จากนั้นมองดูใบหน้าที่ยิ้มอย่างกระหยิ่มใจของหลิวซุนซื่อ ช่างเป็คนโง่เขลานัก กระทั่งคำพูดของท่านย่าหวงก็ฟังไม่ออก คำพูดนี้หาใช่คำชมเชยไม่ ชัดเจนว่ากำลังหัวเราะเยาะหลิวจูเอ๋อร์ที่ไม่สำเหนียกตน
หลิวซุนซื่อฉุกคิดได้ ขณะที่ตอบท่านย่าหวงฝีเท้าก็เคลื่อนไปทางหลิวเต้าเซียง อาศัยจังหวะที่นางไม่ทันตั้งตัวจึงแย่งปิ่นปักผมในมือของนางไป ก่อนจะยิ้มแล้วเอ่ย “โอ้ ปิ่นปักผมนี้ช่างสวยงามเหลือเกิน ช่างเหมาะสมกับจูเอ๋อร์ของข้ายิ่งนัก ข้าว่าเต้าเซียง ขนเ้ายังออกมาไม่ครบเลย จะหัดปักปิ่นปักผมไปไย สู้ให้พี่จูเอ๋อร์ของเ้าดีกว่า นางต้องซาบซึ้งน้ำใจของเ้าแน่นอน”
หลิวเต้าเซียงแอบหงุดหงิดที่ตนเองเหม่อลอย แล้วเอ่ยอย่างโมโห “เอาปิ่นปักผมคืนให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
หลิวซุนซื่อไม่มีทางคืนให้ จากนั้นหันมาตอบ “เต้าเซียง ถึงอย่างไรเ้าก็ไม่จำเป็ต้องใช้ ให้พี่จูเอ๋อร์เถิด รออีกไม่กี่วัน ข้ากับพี่จูเอ๋อร์ไปเที่ยวในอำเภอ ค่อยซื้อเชือกมัดผมดอกไม้สวยๆ ให้เ้า เด็กน้อยอย่างเ้าประดับของแบบนั้นจะสวยกว่า”
ใบหน้าของท่านย่าหวงเป็สีม่วงคล้ำ แล้วเก็บถุงหอมไว้ในอ้อมอก จากนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงเ็า “ข้าว่าหลิวซุนซื่อ เ้ารีบเอาของนั่นมาดีกว่า นั่นคือของที่ข้าให้ชิวเซียง เ้ามาดันทุรังแย่งอะไรกัน?”
หลิวซุนซื่อไม่ได้คืนปิ่นปักผมให้ นางหัวเราะอย่างมีความสุขแล้วเอ่ย “ท่านป้า ข้าไม่ได้ทำอะไรผิดไปแน่ ปิ่นปักผมนี้ให้ถูกคนแล้ว”
นั่นหมายความว่าอย่างไร
หลิวจูเอ๋อร์้าปล้นผู้ชายกลางวันแสกๆ หรือ?
หลิวเต้าเซียงเหมือนถูกฟ้าผ่าอีกครั้ง!
“หลี่เจิ้ง ท่านป้า นี่คือจดหมายของลูกชายพวกท่านที่ข้าขอให้หวงต้าเม่าเขียนเอง ขอหลี่เจิ้งโปรดอ่านเอง” ถึงตอนนี้แล้ว หลิวเหรินกุ้ยจึงหยิบจดหมายที่อยู่ในอกออกมายื่นให้หลี่เจิ้งที่นั่งอยู่ด้านข้าง ซึ่งไม่พูดไม่จามาโดยตลอด
หลี่เจิ้งจ้องมองหลิวเหรินกุ้ยอย่างเ็าครู่หนึ่ง จากนั้นก็หยิบจดหมายและเอ่ยเพียงว่า “เ้าทำดีมาก”
กล้ายุแยงความสัมพันธ์ระหว่างบุตรชายคนโตกับเขา ความโมโหนี้หลี่เจิ้งไม่อาจทนกล้ำกลืนได้
เขารับจดหมายไปอ่านอย่างละเอียด แล้วยื่นให้ท่านย่าหวง จากนั้นจึงเอ่ย “เื่นี้รับข้ารับรู้แล้ว เพียงแต่ปิ่นปักผมนั่น บอกภรรยาเ้าให้คืนมาด้วย!”
หลิวเต้าเซียงมองไปที่ใบหน้าของคนเหล่านี้และรู้ว่าสิ่งต่างๆ กำลังเปลี่ยนไป
นางอาศัยจังหวะที่ทุกคนไม่ทันสังเกต แอบออกไปทางหลังบ้านเพื่อไปหาหวงเสียวหู่
หวงเสียวหู่เป็คนที่ขยันขันแข็งและทำงานเร็ว อีกทั้งยังมีพละกำลังมาก จึงชอบอาสามาช่วยสองพี่น้องทำงาน
วันนี้หลังจากที่เขามา จึงรู้ว่าหลิวเต้าเซียงได้ไปที่ตำบล ส่วนหลิวชิวเซียงคงเขินอายที่จะออกจากห้อง เขาจึงอาสามาช่วยทำความสะอาดเล้าไก่กับคอกหมู
“พี่หูจื่อ พี่หูจื่อ!”
“นี่ ข้าอยู่ที่นี่!” หวงเสียวหู่กําลังทำความสะอาดและถอดเสื้อกันเปื้อนตัวยาวของเขาแขวนไว้ด้านนอก
เสื้อตัวนี้จางกุ้ยฮัวตั้งใจเย็บให้เขาเป็พิเศษ เพราะห้ามให้เขาช่วยงานไม่ได้จึงใช้วิธีนี้ อย่างน้อยจะได้ไม่ทำให้เสื้อผ้าของเขาสกปรก
“พี่หูจื่อ รีบไปดูเร็วเข้า เื่หมั้นหมายของเ้ากับพี่ข้า เกรงว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง”
พูดจบ นางรู้สึกเพียงลมกระโชกแรงที่พัดผ่าน จึงลูบปลายจมูกที่คันเล็กน้อย และดีใจ เห็นทีพี่สาวนางจะมีสามีที่ดีแล้ว
จากนั้นนางก็ออกแรงที่เท้าเล็กๆ และจับกระโปรงวิ่งตามหลังไป
-----
เชิงอรรถ
[1] การปักซูซิ่ว 苏绣 เป็งานฝีมือเย็บปักถักร้อยในพื้นที่เขตซูโจว มณฑลเจียงซู มีประวัติย้อนหลังไป 2,000 ปี มีชื่อเสียงในด้านลวดลายที่สวยงามสีสันที่หรูหรา การเย็บที่หลากหลายและงานฝีมือที่สมบูรณ์แบบ การเย็บที่ใช้ความชำนาญอย่างพิถีพิถัน การลงสีที่ละเอียดอ่อนและประณีต ศิลปินซูโจวสามารถใช้งานเย็บปักถักร้อยมากกว่า 40 ชิ้นและด้ายประเภทต่างๆ 1,000 แบบในการเย็บปักถักร้อยโดยทั่วไปจะใช้ธีมธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเช่นดอกไม้นกสัตว์และแม้แต่สวนบนผืนผ้า
