“พี่หญิงใหญ่รอก่อนเถิดเ้าคะ ข้าเข้าไปครู่เดียวเอง” ขณะที่พวกนางคุยกันอยู่ โม่เสวี่ยถงที่ขึ้นรถไปแล้วอยู่ๆ ก็หน้าซีด ประคองมือโม่เยี่ยลงมาจากรถม้า
“น้องสาม เ้าเป็อะไรไป” โม่เสวี่ยิ่ย่นหัวคิ้วเล็กน้อย รู้สึกไม่สบอารมณ์
“ข้าไม่ค่อยสบาย คราวที่แล้วท่านยายให้ยามา คงต้องกลับไปเอามาด้วย มิเช่นนั้นอีกประเดี๋ยวคงทรมานแย่” โม่เสวี่ยถงกล่าวขออภัย ร่างกายไร้เรี่ยวแรงจนต้องพิงตัวโม่เยี่ย ใบหน้าเล็กขาวซีดจนเกือบคล้ำเป็สีเทา มองทีเดียวก็รู้ได้ว่าไม่สบายจริงๆ “หากพี่หญิงใหญ่มีธุระด่วนก็ไปก่อนเถอะเ้าค่ะ ข้ากับน้องสี่ไปด้วยกันได้”
โม่เสวี่ยฉงซึ่งอยู่ด้านข้างฟังแล้วก็หน้าบาน ผงกศีรษะคล้อยตามทันที “หากพี่หญิงเร่งรีบก็ไปก่อนได้เลย”
ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่มีทางยอมให้นังตัวแสบโม่เสวี่ยถงได้มีโอกาสอยู่กับเจิ้นกั๋วโหวซื่อจื่อสองต่อสองเด็ดขาด เมื่อครั้งมีงานเลี้ยงที่บ้าน สายตาของซือหม่าหลิงอวิ๋นที่มองนังนั่นฉายแววหลงใหลและตื่นตะลึงอย่างปิดไม่มิด ผนวกกับเมื่อวานนางทำให้ตนเองได้รับความอัปยศถึงเพียงนั้น วันนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเอาคืนให้ได้ นี่เป็อีกหนึ่งเหตุผลที่โม่เสวี่ยฉงนึกลังเลใจเมื่อครู่
“งั้นพวกเ้าก็เร็วหน่อยแล้วกัน ข้าจะรอ” โม่เสวี่ยิ่นึกขุ่นเคืองอยู่ในใจ แต่กลับเผยสีหน้ายิ้มแย้มออกไปพร้อมด้วยวาจาอ่อนหวาน
โม่เสวี่ยถงวางตัวเป็คนนอกมองสถานการณ์อย่างเรียบเฉย นางดูออกนานแล้วว่าโม่เสวี่ยิ่คิดร้ายต่อตนเอง คงกลัวว่าโม่เสวี่ยฉงจะทำเสียเื่ จึงพยายามหาสารพัดวิธีขัดขวางไม่ให้นางไปด้วย ส่วนตนเองก็เพียรแต่ไม่เป็ไปตามที่นางคาดหวัง
ทั้งสามต่างก็มีความคิดแตกต่างกันไป ทว่ากลับแสดงออกดังพี่น้องที่รักกันปานจะกลืน ดูสมัครสมานกลมเกลียวกันยิ่ง
พวกนางต่างไปจัดการเื่ของตนเองอย่างรวดเร็ว เวลาผ่านไปเพียงสองถ้วยชา ทั้งสามก็ขึ้นรถม้าเรียบร้อย
คนบังคับรถหวดแส้ควบอาชาขึ้นหน้าออกเดินทาง สตรีสามคนภายในรถต่างมีความคิดในใจ นิ่งเงียบสงวนวาจา ชั่วขณะนั้นบรรยากาศจึงดูอึดอัดเล็กน้อย
โม่เสวี่ยิ่ใจลอยไม่อยู่กับเนื้อตัว เหลียวมองนอกหน้าต่างเป็พักๆ โม่เสวี่ยฉงซึ่งอยู่อีกด้านก็ดูกังวลใจไม่เป็สุข คว้ากระจกกลมอันเล็กขึ้นมาส่อง โม่เสวี่ยถงเก็บภาพทุกอย่างไว้ในดวงตา ริมฝีปากทอยิ้มบางๆ
เดินทางมาได้ไม่นาน โม่เสวี่ยิ่ที่มองออกไปนอกหน้าต่าง จู่ๆ ก็ร้องบอกให้หยุดรถ
“น้องหญิงทั้งสอง ข้ามีนัดกับคุณหนูคนอื่นๆ ไว้ด้วย รออยู่ข้างหน้านั่น พวกเ้าสองคนไปกันก่อนได้เลย เดี๋ยวสักครู่พวกเราจะตามไป” โม่เสวี่ยิ่ชี้ให้คนบังคับรถหยุดลงข้างทาง แล้วกล่าวชี้แจงด้วยสีหน้ากรุ่นยิ้ม
รถม้าสองสามคันนั้นเลิกม่านขึ้นกึ่งหนึ่ง เห็นหญิงสาวหน้าตางดงามปรากฏอยู่ด้านใน โม่เสวี่ยฉงมองดูปราดหนึ่งก็รู้สึกไม่คุ้นหน้า แต่ก็ผงกศีรษะรับ แน่นอนว่าโม่เสวี่ยถงย่อมรับคำอย่างไม่มีข้อกังขา แต่ใต้ก้นบึ้งดวงตากลับแฝงรอยยิ้มเยาะ โม่เสวี่ยิ่ขอปลีกตัวไปแบบนี้ หากโม่เสวี่ยฉงมิได้มาด้วย บนรถก็เหลือแต่ตนเองเพียงผู้เดียว
โม่เสวี่ยิ่พาโม่ซิ่วเดินลงจากรถไป คนบังคับม้าลงแส้อีกครั้ง พวกนางต่างแยกกันไป
โม่เสวี่ยฉงกับโม่เสวี่ยถงเดิมทีก็ไม่กินเส้นกันอยู่แล้ว เมื่อห้องโดยสารเหลือเพียงพวกนางกับสาวใช้ของแต่ละคน ก็ไม่จำเป็ต้องเสแสร้งทำเป็พี่น้องรักกันอีกต่อไป โม่เสวี่ยฉงแค่นเสียงเย็นสะบัดหน้าหนีและกระเถิบตัวออกไปข้างหน้าต่าง เลิกม่านขึ้น ทำทีเป็ชมทิวทัศน์ด้านนอก ฉวยโอกาสที่ไม่มีใครสังเกตยกแขนเสื้อด้านขวาขึ้นเล็กน้อย แล้วปล่อยผงยาที่มองไม่เห็นซึ่งผสมผสานกับกลิ่นหอมเข้มข้นจากกายนางเข้าไปในตัวรถ
วางยาสลบนังตัวแสบนี่ซะ แล้วถอดเสื้อผ้าตัวนอกของนางออก จากนั้นค่อยเอาไปโยนทิ้งไว้ที่ไหนสักแห่งของป่าเหมย คอยดูซิว่านางจะมีหน้าแต่งให้ใครได้อีก
โม่เสวี่ยฉงคิดอย่างลำพองใจ โดยไม่ได้สังเกตเลยว่าสีหน้าของโม่เสวี่ยถงที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเย็นะเืขึ้นโดยพลัน โม่เยี่ยคิดจะลงมือ แต่ถูกโม่เสวี่ยถงกระตุกแขนปรามไว้ ก่อนขยับตัวเคลื่อนไปที่หน้าต่างอีกด้านอย่างระมัดระวัง ตรงนี้มีลม สามารถพัดพาผงยาสลบให้กระจายออกไปได้ โม่เสวี่ยฉงใจอำมหิตนัก ตนเองกับนางไม่เคยมีความแค้นหนักหนาถึงขั้นเอาชีวิต มีเพียงล่วงเกินกันทางวาจาเล็กน้อย แต่นางถึงขั้นลงมือวางยา
หากไม่ใช่ว่านางกำลังศึกษาสมุนไพรเหล่านี้มาบ้าง คงต้องตกหลุมพรางแน่นอน
พวกนางทั้งสองคนต่างฝ่ายต่างคิดไปคนละทาง แต่ขณะที่ยังคิดไปไม่ถึงก้าวต่อไป จู่ๆ รถก็กระแทกอย่างแรงจนคนบนรถเทล้มไปด้านหน้า แต่โม่เยี่ยมีปฏิกิริยาตอบสนองว่องไว กดร่างของโม่เสวี่ยถงไว้ทัน จึงไม่พุ่งเข้าชนผนังรถ ส่วนโม่เสวี่ยฉงกับสาวใช้ซึ่งอยู่อีกด้านล้มคว่ำระเนระนาด ผมเผ้าเสื้อผ้ายับยุ่งจนดูไม่ได้
“คุณหนูทั้งสองเชิญลงจากรถก่อน รถของเราเสียขอรับ” เสียงคนบังคับรถลอยมาจากด้านนอกอย่างร้อนใจ
รถเสีย! โม่เสวี่ยฉงร้อนใจขึ้นก่อน รีบตะเกียกตะกายปีนลงมาจากรถเร็วจี๋ โดยไม่สนใจสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิงของตนเอง นางย่อมรู้ว่าตนเองทำอะไรลงไป ยาสลบภายในรถหากไม่มีสายลมพัดพา ก็ยากจะกระจายตัวออกไป ยิ่งอยู่ในรถนานเท่าใดก็ยิ่งมีโอกาสเกิดเื่มากขึ้นเท่านั้น อีกทั้งยาสลบยังเพิ่มกระสายยาแทรกเข้าไปอีก แล้วนางจะกล้าอยู่ต่อได้อย่างไร
อีกด้านหนึ่ง โม่เสวี่ยถงสวมหมวกเหวยเม่าเกาะแขนโม่เยี่ยลงมาจากรถ
รถม้าพังเสียหาย ล้อหน้าชนถูกก้อนหินจนบิดเบี้ยว ไม่เพียงแต่ทำให้รถโคลงเคลงเสียหลัก ยังไม่อาจเดินทางต่อไปได้อีก
ดูจากสภาพแวดล้อมโดยรอบ สถานที่แห่งนี้อยู่พ้นจากเขตเมืองแล้ว เส้นทางที่ใช้กำลังอยู่ระหว่างซ่อมถนน ซ้ายขวาหน้าหลังไม่มีรถม้าคันอื่นๆ เลย
“โม่เสวี่ยถง เ้ามันตัวซวยจริงๆ ไปที่ไหนก็มีเื่ที่นั่น รู้อย่างนี้ข้าไปกับพี่หญิงใหญ่ดีกว่า จะได้ไม่ต้องมาร่วมรถเฮงซวยคันนี้กับเ้า” โม่เสวี่ยฉงถลึงตาใส่ด้วยความโมโห พ่นวาจาร้ายกาจใส่โม่เสวี่ยถงทันที
แค่คิดว่าอาจจะคลาดกับซือหม่าหลิงอวิ๋น นางก็แทบควบคุมสติอารมณ์ไม่อยู่แล้ว
เพียะ!
เสียงใสกระจ่างดังก้องที่ข้างหู ตัดบทถ้อยคำด่าทอของโม่เสวี่ยฉงโดยพลัน
“โม่เสวี่ยถง นังสารเลว กล้าตบข้า...” โม่เสวี่ยฉงลูบใบหน้าที่บวมออกมา มองอีกฝ่ายด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ
เพียะ! เพียะ!
เสียงตบดังขึ้นอีกที่ข้างหู จนโม่เสวี่ยฉงต้องหยุดปาก
“โม่เสวี่ยฉง นี่เป็แค่การสั่งสอนเบาะๆ ที่เ้าบังอาจใช้ยาสลบกับข้า คิดไม่ถึงว่าสตรีอายุยังน้อยเช่นเ้าจะทำเื่ชั่วช้าสามานย์เช่นนี้ ประเดี๋ยวก็ให้ท่านพ่อเป็ผู้พิจารณาตัดสินเถอะ ดูซิว่าท่านพ่อจะเชื่อเ้าหรือว่าเชื่อข้า” โม่เสวี่ยถงเหลือบตามองอย่างแข็งกร้าว แววตาทะมึนลึกชวนขนลุกจ้องจนโม่เสวี่ยฉงจนหนาวสะท้านไปทั้งตัว
ไปอธิบายเหตุผลกับโม่ฮว่าเหวิน นางหรือจะกล้า!
“คิดดูเอาเองเถิด ว่าคำพูดของบุตรอนุที่ไม่เป็ที่โปรดปรานคนหนึ่งจะมีน้ำหนักอันใด ไม่สู้ข้าซึ่งเป็บุตรภรรยาเอก คำพูดย่อมมีน้ำหนักกว่าเยอะ ข้าออกห่างจากท่านพ่อเพียงชั่วครู่ พวกเ้านึกว่าจะเหยียบย่ำข้าได้ตามใจกระนั้นหรือ หากวันนี้เ้ายังกล้าปากพล่อยอีก ข้าจะกำจัดเ้าซะที่นี่เลย” โม่เสวี่ยถงกล่าวเสียงเย็นะเื
“เ้ากล้าหรือ หากท่านพ่อรู้ต้องไม่ปล่อยเ้าแน่” โม่เสวี่ยฉงชักใจไม่ดี เห็นว่าสาวใช้ของตนเองและคนบังคับม้าต่างล้มไปกองอยู่ด้านข้าง และเพิ่งสังเกตว่านอกจากสาวใช้ของโม่เสวี่ยถงแล้วก็ไม่มีใครอื่น สาวใช้ผู้นี้มีวรยุทธ์ั้แ่เมื่อไร แค่ตบทีเดียวบ่าวทั้งสองคนก็ร่วงลงไปนอนสลบทั้งคู่
รถม้าจอดนิ่งอยู่บนทางที่กำลังซ่อมแซม ด้านข้างเป็ป่า แม้ว่าจะทิ้งใบโกร๋นจนเหลือแต่ต้นในฤดูหนาว ครั้นมองจากที่ห่างไกลก็ยังเห็นไม่ชัดเจน เว้นเสียแต่เข้ามาใกล้ๆ ช่างน่าเสียดายยิ่ง ไม่รู้เพราะเหตุใดแม้แต่เงาใครสักคนก็ยังไม่มี
ยามนี้โม่เสวี่ยฉงเริ่มรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาแล้ว กุมหน้าน้ำตาคลอเบ้าทรุดตัวลงกล่าวทั้งน้ำตา “พี่สาม ข้าไม่ได้คิดร้ายกับท่านจริงๆ นะ พี่ใหญ่บอกว่าท่านคิดจะแย่งเจิ้นกั๋วโหวซื่อจื่อไปจากข้า บอกว่าท่านกับเขามีอะไรกัน...”
“โอ... ที่แท้น้องสี่ก็รู้ด้วยว่าพี่หญิงใหญ่คิดร้ายกับข้า?” โม่เสวี่ยถงถามเสียงอ่อนหวาน แล้วเอื้อมมือเข้ามาลูบใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างเบามือ โม่เสวี่ยฉงใกระถดกายหนีไปด้านหลัง กล่าวลนลาน “ข้าไม่รู้ ข้ารู้เพียงว่าพี่หญิงใหญ่กับท่านจะไปเที่ยวกับซื่อจื่อ พี่สาม... ข้าไม่รู้อะไรด้วยเลยจริงๆ”
“พี่หญิงใหญ่กับซื่อจื่อนัดกันเรียบร้อยแล้วหรือ ไหนบอกว่านางกับซื่อจื่อไม่มีความสัมพันธ์ใดต่อกันมิใช่หรือไร พี่หญิงใหญ่ไม่ได้ออกจากจวนเลยใน่สองสามวันนี้ แล้วจะติดต่อกับซื่อจื่อเป็การส่วนตัวได้อย่างไร” มือของโม่เสวี่ยถงชะงักกลางอากาศ กล่าวเสียงเย็นเยียบ “คงเป็น้องสี่ที่ช่วยส่งข่าวกระมัง มิเช่นนั้นพี่หญิงใหญ่จะติดต่อกับซื่อจื่อได้อย่างไรเล่า”
“พี่สาม ข้าไม่เคยติดต่อกับซื่อจื่อเลยจริงๆ เขากับข้าไม่ได้สนิทสนมกัน เมื่อก่อนตอนที่ซื่อจื่อมาจวนของเรา ก็มาหาแต่พี่หญิงใหญ่ ข้ากับเขาพบเจอกันแค่บางครั้งบางคราวเท่านั้น ข้าจะไปติดต่อพูดคุยกับซื่อจื่อเป็การส่วนตัวได้อย่างไร” โม่เสวี่ยฉงยิ่งพูด ใบหน้าก็พลันเปลี่ยนสีเหมือนนึกได้ แล้วตะเบ็งเสียงออกมาอย่างโกรธจัด “เป็นาง คนที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับซื่อจื่อ ที่แท้ก็เป็นางนี่เอง!”
เพราะความอิจฉาริษยาและความเกลียดชัง ใบหน้าของโม่เสวี่ยฉงก็ยิ่งร้ายกาจ จู่ๆ นางพลันกระจ่างแจ้งทุกอย่าง เมื่อก่อนซือหม่าหลิงอวิ๋นไม่เคยดีกับนางเลย แต่หลังจากเกิดเื่ที่วัดเป้าเอิน เขาก็ให้คนมาส่งจดหมายติดต่อกับนางเป็การส่วนตัว บอกว่าคนที่เขาชอบคือนาง คนที่เขาจะแต่งเป็ภรรยาก็คือนาง ตอนนี้เมื่อมาตรองดูจึงพบว่า ที่แท้นี่เป็การช่วยให้โม่เสวี่ยิ่พ้นผิด แล้วทำให้ผู้อื่นเกิดความแคลงใจในตัวนางแทน
นางอุตส่าห์หลงดีใจ ฟังคำอธิบายของโม่เสวี่ยิ่ ทั้งยังขอโทษนางที่เข้าใจผิด และยังยอมร่วมมือกับนางเล่นงานโม่เสวี่ยถงในที่ลับ
ชั่วขณะนั้นใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
โม่เสวี่ยถงมองไปไกลๆ แล้วหันมาขยิบตากับโม่เยี่ย ก่อนกล่าวเสียงเรียบ “น้องสี่ดูนั่นสิ รถม้าที่มาจากตรงโน้นไม่รู้ว่าใช่รถจากจวนเจิ้นกั๋วโหวหรือไม่ ดูท่าพี่สาวผู้แสนดีของเราจะวางแผนอะไรไว้เรียบร้อยหมดแล้ว”
โม่เยี่ยเดินไปด้านข้างของสาวใช้และคนบังคับรถ เอื้อมมือไปตบหลังศีรษะของพวกเขา ทั้งสองจึงรู้สึกตัวขึ้นมา
ตอนที่โม่เยี่ยลงมือรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ บ่าวทั้งสองจึงรู้สึกเพียงว่าตนเองหน้ามืดเป็ลมไป คนบังคับรถสะบัดศีรษะเบาๆ แล้วตะกายลุกขึ้นมาตรวจสอบสภาพล้อรถ สาวใช้รีบเข้ามาประคองโม่เสวี่ยฉงที่อยู่ในสภาพอเนจอนาถไปทั้งตัวให้ลุกขึ้น
“น้องสี่อยากจะชิงตัดหน้าพี่หญิงใหญ่เข้าจวนเจิ้นกั๋วโหวไปก่อนไหมเล่า” แววตาของโม่เสวี่ยถงชวนให้คนรู้สึกหนาวสะท้าน มองไปยังรถม้าที่กำลังควบตะบึงเข้ามาใกล้ขึ้นทุกขณะ ข้างตัวรถคันใหญ่มีสัญลักษณ์ของจวนเจิ้นกั๋วโหวชัดเจน ประตูหน้าต่างเปิดออกครึ่งหนึ่งจนมองเห็นใบหน้าของซือหม่าหลิงอวิ๋นอยู่รางๆ
“ข้าจะเชื่อฟังเ้า” โม่เสวี่ยฉงกล่าวอย่างเข่นเขี้ยว สายตาเลื่อนไปยังรถม้าที่กำลังจะมาถึง ยามนี้นางไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว
ข้างกายของโม่เสวี่ยถงมีสาวใช้ฝีมือดีขนาดนี้ ตนเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมุมที่นางยืนอยู่ สามารถมองเห็นแววตาอันดุร้ายของโม่เยี่ยที่กำลังจับจ้องมายังตนเองได้ชัดเจน หากมีอะไรที่ไม่ถูกต้อง ก็อาจลงมือสังหารได้ทันที บัดนี้นางเชื่อแล้วว่าโม่เสวี่ยถงที่อยู่ตรงหน้ามิใช่โม่เสวี่ยถงคนเดิมที่จะยอมให้นางกลั่นแกล้งเช่นในอดีตอีกต่อไป
รถม้าเคลื่อนเข้ามาอย่างเชื่องช้า ซือหม่าหลิงอวิ๋นส่งยิ้มบางๆ ก้าวลงมาจากรถ อาภรณ์สีเขียวเข้มตัวหลวมกว้างขับร่างให้ดูหล่อเหลาสง่างามขึ้นอีกหลายส่วน เสื้อคลุมเรียบเฉียบ ไม่มีรอยยับย่นแม้แต่น้อย ใบหน้าเผยรอยยิ้มอ่อนโยน แสงตะวันเรืองรองสาดส่องลงมาบนใบหน้า ขับร่างให้ดูองอาจหล่อเหลา
“คุณหนูทั้งสองกำลังจะไปที่ใด ไฉนจึงมาหยุดรถอยู่ที่นี่เล่า?”
สายตาของเขาจับอยู่ที่ใบหน้าของโม่เสวี่ยถงซึ่งพรางอยู่ภายใต้หมวกเหวยเม่า แม้จะมีผ้าโปร่งกั้นอยู่ แต่รอยยิ้มงามพิลาสนั้นก็ทำให้หัวใจของเขาคันยุบยิบ แม้แต่โม่เสวี่ยฉงที่อยู่ในสภาพชุดกระโปรงยับยุ่งยืนอยู่ด้านข้างก็ยังถูกเขามองข้ามไปสิ้น
รอยยิ้มแบบนั้น ความสง่างามแบบนั้น ผนวกกับความอบอุ่นอ่อนโยน ชาติที่แล้วนางจึงตกหลุมพรางเขาอย่างง่ายดาย นึกว่ารอยยิ้มของเขาถูกสร้างมาเพื่อนาง แต่กลับคาดไม่ถึงว่าเขามอบรอยยิ้มแบบนั้นให้กับทุกคน มิได้มอบให้นางเป็พิเศษกว่าผู้อื่น หรือมีความจริงใจกับนางมากกว่าใครๆ
แต่นางก็ยังคงหลงใหลเคลิบเคลิ้ม ปักใจว่าเขาคือเนื้อคู่ของนาง และท้ายที่สุดก็ต้องพบจุดจบแบบนั้น
เพลิงแค้นทอวาบออกมาจากดวงตาประกายหยดน้ำ แต่เพียงชั่วพริบตาก็พลันแปรเปลี่ยนมาเป็รอยยิ้มอ่อนหวาน “พวกเรากำลังจะไปป่าเหมยกันเ้าค่ะ แต่ล้อรถของเราพังเสียแล้ว ไม่อาจไปต่อได้”
“ไปชมบุปผาที่ป่าเหมยหรือ พวกเราไปทางเดียวกันพอดี หากคุณหนูทั้งสองไม่รังเกียจ ก็เชิญขึ้นรถไปพร้อมกับข้าเถิด” ซือหม่าหลิงอวิ๋นเอ่ยถามอย่างสุภาพเรียบร้อย ด้วยรูปลักษณ์ของเขาทำให้สตรีรู้สึกดีด้วยได้โดยง่าย ดูจากท่าทางของโม่เสวี่ยฉงที่ก้มหน้าบิดผ้าเช็ดหน้าไปมาอย่างเอียงอายก็รู้ได้
“ขอบคุณซื่อจื่อมากเ้าค่ะ รถม้าของพี่หญิงใหญ่อีกประเดี๋ยวก็คงผ่านทางมา พวกเรารอที่นี่ก่อนดีกว่า” โม่เสวี่ยถงกล่าวเรียบๆ
“พี่หญิงสาม พี่หญิงใหญ่ไม่รู้ว่าจะมาถึงเมื่อไร ถนนสายนี้ก็แสนเปลี่ยวไม่มีรถผ่านมาเลยแม้แต่คันเดียว พวกเราไปรถของซื่อจื่อดีกว่ากระมัง” โม่เสวี่ยฉงอดใจเอ่ยปากออกมาไม่ได้
ดวงตาของซือหม่าหลิงอวิ๋นเพิ่งจะเลื่อนมาที่สตรีที่ยืนหน้านิ่วคิ้วขมวด ผมเผ้ายุ่งเหยิง ชุดกระโปรงมีแต่รอยยับ ยืนอยู่ข้างกายโม่เสวี่ยถงซึ่งงามพริ้มเพรา ปรกติโม่เสวี่ยฉงก็ไม่เคยอยู่ในสายตาของเขาอยู่แล้ว เป็ธิดาของชนชั้นสูง แต่กลับปล่อยตัวเองให้อยู่ในสภาพเช่นนี้ ท่าทางเขินอายที่นางแสดงออก ไม่ว่าอย่างไรก็รู้สึกยากจะทนมองได้
“คุณหนูสี่กล่าวถูกต้องแล้ว รถม้าของคุณหนูใหญ่ยังไม่อาจทราบได้ว่าเมื่อไรจะมาถึง คุณหนูทั้งสองเชิญขึ้นรถของข้าก่อนเถิด รอไปถึงหัวถนนตรงจุดชมวิวป่าเหมยค่อยรอที่นั่นจะเหมาะสมกว่า” ซือหม่าหลิงอวิ๋นตอบโม่เสวี่ยฉง แต่สายตากลับอยู่ที่โม่เสวี่ยถง เป้าหมายของเขาในวันนี้ก็คือนาง ส่วนเกินที่เพิ่มขึ้นมาอย่างโม่เสวี่ยฉงมิได้อยู่ในความสนใจของเขาแม้แต่น้อย
เมื่อมีตัวปัญหาเพิ่มเข้ามา อีกประเดี๋ยวค่อยคิดหาทางส่งนางออกไปไกลๆ ก็ได้