เดิมทีเ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตั้งใจหลบอยู่หลังกำแพงเพื่อดูเื่น่าสนุก แต่เมื่ออวี๋ฉิงเข้ามาเตือนสติจึงจำได้ถึงหน้าที่ของตนเอง เขารีบลุกออกไปทันที
“เกิดอะไรขึ้นหรือ”
ซูอินและอวี๋ฉิงรีบวิ่งตามหลังไป การเข้ามาของเ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยไม่สามารถทำให้แม่เฒ่าสวีหยุดก่นด่า ในทางกลับกันการด่าของเธอยิ่งมีพลังมากขึ้น
“พ่อของเธอพิการ ฉันก็อายุมากแล้ว แม่ของเธอยังพานังหลานสาวอย่างเธอหนีไปอีก หอบเงินในบ้านทั้งหมดหนีไป หายตัวไปเป็เดือนหายังไงก็ไม่เจอ วันนี้ฉันจับตัวเธอได้แล้ว กลับไปกับฉัน ตอนนี้ปิดเทอม มาทำงานดูแลพ่อของเธอซะ!”
เ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเข้าไปแยกทั้งคู่ออกจากกัน
“แม่เฒ่า ที่นี่คือโรงเรียน เด็กนักเรียนคนนี้เป็นักเรียนของเรา คุณพาเธอไปไม่ได้”
ใครจะไปรู้ว่าการเข้าไปห้ามจะเป็เหมือนการไปตีรังแตน
“แกก็เข้าข้างนังเด็กคนนี้หรือ หรือว่าแกมีความสัมพันธ์กับแม่ของนังเด็กนี่ รู้ไหมว่าทำไมในปีนั้นลูกชายของฉันถึงได้ขาพิการ ถ้าไม่ใช่เพราะ…”
ซูอินที่เคยไปบ้านตระกูลสวีและได้ยินแม่เฒ่าพูดประโยคนั้น จึงรู้ว่าหลังจากนี้แม่เฒ่าตระกูลสวีจะพูดอะไร
เธอไม่มีทางให้โอกาสอีกฝ่ายแน่ จึงก้าวเข้าไปเอ่ยสิ่งนี้เบื้องหน้าผู้คนที่รายล้อม “ถ้าไม่ใช่เพราะช่วยเมียน้อยและลูกนอกสมรสที่อยู่ในท้อง!”
สถานการณ์เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จนคนที่รอดูเหตุการณ์ปรับอารมณ์แทบไม่ทัน
เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นหู สวีเหวินเหวินซึ่งตอนแรกกำลังใจึงเงยหน้า มองคนที่อยู่ข้างหลังด้วยน้ำตาคลอหน่วย ทันใดนั้นแววตาที่ว่างเปล่าก็จับจุดสนใจได้
“อินอิน”
อวี๋ฉิงก้าวไปข้างหน้าและดึงสวีเหวินเหวินออกมา ซูอินหันไปตบไหล่เพื่อนก่อนจะพูดปลอบ “ไม่ต้องกลัว มีพวกเราอยู่ หน้าโรงเรียนมีคนตั้งเยอะ อีกทั้งมีเ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เขาพาเธอไปไม่ได้หรอก ไม่ต้องกลัว”
ในตอนที่กำลังปลอบ แม่เฒ่าสวีก็ก่นด่าขึ้นมาอีก ครั้งนี้เปลี่ยนเป้าหมายมาที่ซูอิน
“พูดจาไร้ยางอายแบบนี้ได้ยังไง เธอมันเป็เด็กที่แม่คลอดออกมาแต่ไม่เลี้ยงดู ก่อนหน้านี้ก็เคยกินเคยอาศัยอยู่บ้านฉัน ไม่คิดเลยว่าจะอกตัญญูได้ถึงขนาดนี้…”
ในชาติก่อนเมื่อซูอินเจอคนที่ชอบสร้างความวุ่นวายเช่นนี้ เธอมักจะเป็ฝ่ายหลบเลี่ยง ยอมได้ก็ยอม หากเป็เื่น้อยก็จะทุกข์น้อย
แต่หลังจากที่กลับชาติมาเกิด ั้แ่ได้กลับไปชนบท ชีวิตของเธอดำเนินไปอย่างราบรื่นและมีความสุข หรืออาจเป็เพราะเธอสะสมพลังงานด้านบวกไว้เยอะ จึงเริ่มมีความมั่นใจมากขึ้น และไม่กลัวเื่แบบนี้อีกต่อไป
ถูกก็คือถูก ผิดก็คือผิด
โลกอันสงบสุข ความยุติธรรมย่อมอยู่ในจิตใจ
“หยุด!”
“เข้าใจให้ถูกด้วย ฉันไปขออาศัยอยู่บ้านคุณป้าหยางต่างหาก ซึ่งได้รับการชักชวนจากเหวินเหวินลูกสาวเพียงคนเดียวของคุณป้า และมันก็เป็แค่คืนเดียว พวกคุณสองแม่ลูก คนหนึ่งขโมยเงินเดือนของคุณป้าหยางไปเลี้ยงดูเมียน้อยกับลูกชายนอกสมรสของลูกชาย อีกคนก็ช่วยชีวิตเมียน้อยและลูกชายนอกสมรสจนขาขาด หลายปีมานี้สูบเืสูบเนื้อคุณป้าหยาง อาศัยอยู่ในบ้านพักจากอาชีพของเธอ ใช้เงินเดือนของเธอ ทำตัวเหมือนด้วงงวงข้าวให้เธอเลี้ยงดู ใครกันแน่ที่ไร้ยางอาย ทุกคนลองวิเคราะห์ดูหน่อยสิคะ ใครกันแน่ที่ไร้ยางอาย”
อวี๋ฉิงที่อยู่ข้างๆ ช่วยสมทบ “ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง แน่นอนว่าต้องเป็แม่เฒ่าที่ไร้ยางอาย ฉันจำได้ว่าตอนนั้นที่ชวนอินอินมาพักที่บ้านของฉัน เธอก็ไม่ยอมมา”
เธอก้าวขึ้นมาเบื้องหน้า ยืนอยู่ในระดับเดียวกับซูอินด้วยพลังอันเต็มเปี่ยม
“่เวลาที่ผ่านมาเหวินเหวินกับแม่ไปไหน หรือควรพูดว่าจะไปไหนได้ถึงจะถูก ในใจของคุณเคยใส่ใจไหม คนชนบทห่วงศักดิ์ศรีกันมากไม่ใช่หรือ หากพวกเขาเป็อย่างที่คุณพูด คุณก็น่าจะไปตามเธอไม่ใช่หรือ ทำไม หรือว่าตัวเองไปทำเื่น่าอายไว้ กลัวว่าหากกลับไปจะถูกบ้านของแม่ฝ่ายหญิงไล่ออกจากหมู่บ้าน”
ในแวดวงสังคมชั้นสูงมีเื่เหล่านี้ไม่น้อยไปกว่าคนทั่วไป หรืออาจมากกว่าด้วยซ้ำ ถึงแม้ตระกูลอวี๋จะกลมเกลียวกันดี ทว่าั้แ่เล็กจนโตการอยู่ในสังคมชั้นสูงแบบนี้ อวี๋ฉิงจึงเคยเห็นมามาก ทันทีที่อ้าปากเธอก็โจมตีจุดอ่อนของแม่เฒ่าสวีได้ทันที
“ถูกฉันพูดจี้ใจดำหรือคะ เป็คนซุกความผิดเหมือนคนซุกหาง ยังจะกล้ามาฉุดกระชากลากถูคนอื่นแบบนี้ หน้าของคุณคงหนากว่าแป้งย่างของอู๋ต้าหลางเสียอีก”
ไม่รู้ว่าใครที่กลั้นหัวเราะไม่อยู่ ทำให้ฝูงชนที่ยืนดูพากันหัวเราะ
อวี๋ฉิงตัดสินใจแก้ไขปัญหาโดยหันไปทางเ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย “ที่นี่คือโรงเรียน ไม่ใช่ตลาด หากหล่อนยังกล้าก่อเื่ที่นี่อีก แจ้งตำรวจได้เลยค่ะ”
ประโยคสุดท้ายเธอหันไปเอ่ยกับแม่เฒ่าสวี “อย่าคิดว่าเพราะตัวเองอายุมากแล้ว ตำรวจจะยอมปล่อยไปง่ายๆ นะ ฉันจะบอกให้ว่าบ้านของฉันก็พอจะมีเงิน ไหนจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับตำรวจอีก ฉันบอกไว้เลยว่าเ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็กลาง ไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ แน่นอน”
เธออวดความมั่งคั่งและอำนาจของครอบครัวด้วยความภูมิใจ ยิ่งได้รับสายตาแสดงความนับถือจากนักเรียนที่สอบได้อันดับหนึ่งของปีนี้ ทำให้คุณหนูอวี๋ยิ่งพึงพอใจ
ไม่สนใจว่าแม่เฒ่าสวีจะมีปฏิกิริยาอย่างไร เธอดึงมือเหวินเหวินเข้าไปในโรงเรียนพลางปลอบโยน
“ไม่ต้องกลัว คนแบบนี้ถ้าเธอกลัวก็ยิ่งได้ใจ ั้แ่ใช้ชีวิตมาฉันเพิ่งเจอคนแบบนี้นี่แหละ แม่เธอตัดสินใจฟ้องหย่าแล้วใช่ไหม คนแบบนี้หากยอมใจอ่อนพูดดีด้วย จะต้องไม่ยอมหย่าแน่นอน หาทนายดีๆ หรือยัง ฉันบอกคุณน้าที่อยู่ในมณฑลให้ช่วยเอาไหม”
สวีเหวินเหวินปาดน้ำตา น้ำเสียงยังคงสะอื้น “หาแล้ว เป็คนที่คนไข้ของแม่ฉันแนะนำ เป็คนจากในมณฑล เหมือนว่าจะเป็ทนายที่เชี่ยวชาญด้านฟ้องหย่าโดยเฉพาะ”
“ดีแล้ว อย่างไรพวกเขาสองแม่ลูกก็คงหาทนายดีๆ ไม่ได้หรอก เอาละ ไม่ต้องร้องแล้ว ฉันเกลียดที่สุดที่เห็นพวกเธอร้องไห้”
หากเทียบกับคุณหนูอวี๋ที่เป็คนปากร้าย คำพูดของซูอินมีความนุ่มนวลกว่าเยอะ
“พวกเราอยู่ที่นี่แล้ว หล่อนเข้ามาไม่ได้หรอก ไม่ต้องกลัว ไปล้างหน้าเถอะ จะได้ขึ้นไปเอาเอกสารมากรอก ใช่ หลายวันมานี้ไม่เจอเธอ ยังไม่ได้ถามเลยว่าสอบเป็ยังไงบ้าง”
“ใช่ สอบเป็ยังไงบ้าง เธอมีอินอินติวให้โดยเฉพาะเลยนะ ได้ติวเป็พิเศษมากกว่าฉันอีก หากสอบไม่ติดโรงเรียนมัธยมลำดับที่หนึ่ง ออกไปข้างนอกก็อย่าบอกใครนะว่าเป็เพื่อนฉัน”
สวีเหวินเหวินใช้ก๊อกน้ำใต้อาคารชั้นหนึ่งเพื่อล้างหน้าล้างตา และจัดการกับอารมณ์ของตนเอง “ทำได้ไม่ค่อยดี ได้อันดับที่หกร้อยกว่า”
“แบบนั้นก็ไม่เลวแล้ว คะแนนต้องผ่านเกณฑ์เข้าโรงเรียนมัธยมลำดับที่หนึ่งแน่ๆ”
คุณหนูก็รับรู้ดีถึงสถานการณ์ในครอบครัวของสวีเหวินเหวิน จิตใจของเหวินเหวินไม่สู้ดีอยู่แล้ว ก่อนสอบที่บ้านก็เกิดเื่ทะเลาะวิวาทเพราะเื่เงิน แน่นอนว่าย่อมส่งผลกระทบต่อการสอบ แต่เพราะเหวินเหวินเห็นเพื่อนอย่างซูอินที่เกิดเื่ขนาดนั้นแล้วก็ยังไม่ยอมแพ้ แถมยังทำคะแนนได้สูงอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด
“ใช่ ต่อจากนี้ขึ้นชั้นมัธยมปลาย พวกเราก็จะยังเป็เพื่อนกัน”
ทั้งคู่ไปยังห้องสำนักงานเป็เพื่อนสวีเหวินเหวินเพื่อรับเอกสาร ในฐานะม้ามืดอีกคนหนึ่งที่ทำคะแนนได้ดีในการสอบครั้งนี้ หลินซิ่วจึงยิ่งเป็ห่วง เมื่อถามอย่างละเอียดว่าเกิดเื่อะไรขึ้นที่หน้าประตูโรงเรียน ก็ให้คำแนะนำอย่างใจเย็นภายใต้ความรู้สึกเศร้าใจ
ระยะนี้เมื่อได้ไปอยู่ที่บ้านของคุณยายและเจอญาติพี่น้อง ทำให้ความรู้สึกของสวีเหวินเหวินสงบลงเยอะ ในวันนี้ได้รับความห่วงใยจากคุณครูและเพื่อนที่ใส่ใจเธออีก ไม่นานเธอก็ก้าวออกมาจากม่านหมอกที่ปกคลุมได้ และเผยรอยยิ้มบนหน้าอีกครั้ง
เดิมทีหลังจากรับเอกสารแล้ว อวี๋ฉิงตั้งใจจะพาซูอินไปยังสำนักงานกองทุนเงินช่วยเหลือนักเรียนยากจน ในตอนนี้เมื่อมีสวีเหวินเหวินเข้ามา จึงมีการเปลี่ยนแผนเล็กน้อย โดยสามสาวเปลี่ยนไปเดินช็อปปิ้งแทน
เมื่อมาถึงหน้าประตูโรงเรียนก็พบว่าไม่เห็นเงาของแม่เฒ่าสวีแล้ว ถามเ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็พบว่า หล่อนวิ่งหนีไปด้วยสีหน้าหวาดกลัว ทำให้คุณหนูอวี๋ยืดอกด้วยความภูมิใจ
“ฉันบอกแล้ว หากสู้กับคนแบบนี้ จะอ่อนข้อหรือพูดดีด้วยไม่ได้”
คนขับรถของตระกูลอวี๋พาพวกเธอไปส่งที่ศูนย์การค้าในเมือง อวี๋ฉิงเลี้ยงข้าวที่ร้านอาหารระดับไฮเอนด์เพื่อฉลองผลการสอบที่ดีของทั้งสามคน เมื่อกินเสร็จจึงเริ่มต้นทริปช็อปปิ้งของวันนี้
ซูอินมีข้าวของมากมายที่้าซื้ออยู่แล้ว อย่างไรวันนี้ก่อนออกจากบ้านก็ได้บอกสองสามีภรรยาตระกูลซูไว้แล้วว่าคงจะอยู่ในเมืองสองสามวัน เธอจึงทิ้งเื่อื่นไว้ข้างหลัง และซื้อของตามที่ตั้งใจ
เริ่มด้วยการซื้อกล้องโพลารอยด์และฟิล์มให้เพียงพอ ใส่เข้าไปหนึ่งม้วน พวกเธอสามคนที่แต่งตัวดีในวันนี้เดินช็อปปิ้งพลางถ่ายรูปไปด้วย
แชะ แชะ รูปเด็กสาวที่ถ่ายภาพร่วมกันค่อยๆ ออกมาจากกล้องทีละใบ ยามนี้พวกเธออารมณ์ดีจนอยากจะโบยบิน