“อาเจิง เ้าอย่ากังวลไปเลย” นายท่านเสิ่นเห็นสีหน้ากระวนกระวายใจของลูกสะใภ้จึงปลอบใจว่า “อาเยี่ยนตั้งใจอ่านหนังสือมาก ต้องได้คะแนนดีแน่นอนแต่ถ้าสอบไม่ผ่านจริงๆ ก็แค่กลับบ้านไปทำไร่ทำนาก็สามารถมีกินมีใช้ได้ตลอดชีวิตเหมือนกัน ใช่ไหม” นายท่านเสิ่นหันมองภรรยาและบุตรชาย
สองแม่ลูกพยักหน้าเห็นด้วย
กู้เจิง “...” นางถึงกับพูดไม่ออก
แม้วันนี้ท้องฟ้าจะแจ่มใสปลอดโปร่ง แต่อากาศก็ยังคงหนาวเย็นอยู่
“พี่ใหญ่เสิ่น พี่สะใภ้” เสียงของจางหลี่หนานะโทักขึ้นเขากับปาเม่ยวิ่งเบียดฝูงชนเข้ามาหากลุ่มพวกนาง
“คนเยอะจริงๆ” ปาเม่ยอุทานอย่างตกตะลึง
“บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าไม่ต้องมา?” เสิ่นเยี่ยนมองจางหลี่หนานที่เหงื่อแตกท่ามกลางอากาศหนาวเย็น “ในค่ายทหารไม่ยุ่งหรือไง?”
“พี่น้องในค่ายล้วนอยากมาดูผลคะแนนของท่านกันทั้งนั้นแต่กลัวท่านจะด่าเลยไม่กล้ามา ดังนั้นจึงส่งข้ามาดูแทน” จางหลี่หนานหัวเราะขันในหมู่กองพลทหารอย่างพวกเขายากนักที่จะมีคนที่มีความสามารถทั้งด้านบุ๋นและบู๊ทุกคนต่างคาดหวังกับเสิ่นเยี่ยนมาก เพราะอยากให้เสิ่นเยี่ยนได้เป็หน้าเป็ตาแทนพวกเขา
ปาเม่ยหันซ้ายแลขวาก็ไม่เห็นชุนหงจึงถามขึ้น “พี่สะใภ้ พี่ชุนหงไปดูประกาศรายชื่อใช่ไหมเ้าคะ”
“ใช่ ไปได้สักพักแล้ว ทำไมยังไม่ออกมาอีกนะ?” กู้เจิงเริ่มร้อนรน
“นั่น พี่ชุนหงออกมาแล้วเ้าค่ะ” ปาเม่ยชี้ไปยังชุนหงที่กำลังแทรกตัวออกมาจากฝูงชนอย่างยากลำบาก
ชุนหงเบียดฝ่าผู้คนออกมาอย่างทุลักทุเล นางเหงื่อไหลซกแต่พอเห็นสายตาของทุกคนจับจ้องมาที่นางอย่างคาดหวัง ก็รีบบอกพร้อมรอยยิ้มกว้าง “ท่านบุตรเขยอยู่อันดับที่หกเ้าค่ะ”
แล้วสามอันดับแรกที่คุยกันไว้เล่า? กู้เจิงชะงักงัน แต่ก็รู้สึกว่าแค่หกอันดับแรกก็ยอดเยี่ยมมากแล้วนางวิ่งไปหาเสิ่นเยี่ยนอย่างดีใจก่อนจะจับแขนของเขาไว้ “ท่านพี่ ท่านสอบได้ที่หกล่ะเ้าค่ะ”
กิริยาท่าทางที่ภรรยามีต่อเขานั้นดูใกล้ชิดสนิทสนมมากขึ้นเรื่อยๆดวงตาของนางเป็ประกายแวววับจนทำเอาหัวใจคนมองคันยุบยิบ เสิ่นเยี่ยนอดยกมือขึ้นลูบหัวนางด้วยความเอ็นดูไม่ได้ดวงตาดำสนิทของเขาฉายแววบางอย่าง “ใช่แล้วได้ที่หก” ถ้าภรรยารู้ว่าเดิมทีเขาได้ลำดับหนึ่งนางจะไม่โผเข้าหาเขาอย่างโจ่งแจ้งเลยหรือ?
กู้เจิงตัวแข็งเพียงเพราะมือเรียวยาวอบอุ่นลูบอยู่เหนือศีรษะของนาง ความใกล้ชิดอย่างกะทันหันนี้ทำให้นางรู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก
“อันดับที่หก? ก็หมายความว่าได้เข้าไปสอบในวังน่ะสิ?” จางหลี่หนานตื่นเต้นมากการสอบในวังฮ่องเต้จะเป็ผู้ตรัสถามด้วยพระองค์เอง "พี่ใหญ่การสอบในวังจะมีขึ้นเมื่อไหร่หรือขอรับ?”
“อีกสิบวันให้หลัง”
“พี่ใหญ่ ท่านต้องติดสามอันดับแรกให้ได้นะสหายพี่น้องทั้งหลายเป็กำลังใจให้ท่านอยู่”
เสิ่นเยี่ยน “...”
ยังมีการสอบในพระราชวังอีกหรือ? กู้เจิงไม่ค่อยเข้าใจระบบการสอบในสมัยโบราณเท่าไรนักหรือว่าตำแหน่งจ้วงหยวนทั่นฮวาอะไรนี่จะเป็ที่ชื่นชมจากฮ่องเต้ใช่ไหม? กู้เจิงมองเสิ่นเยี่ยนด้วยดวงตาเป็ประกายอีกครั้งสามีนางยังมีโอกาสได้ไปต่อ
“คุณหนูใหญ่” เสียงคุ้นเคยดังมาจากท่ามกลางฝูงชนแม่เฒ่าซุนหญิงรับใช้ข้างกายของนายหญิงเว่ยซื่อเดินมาหากู้เจิงและเสิ่นเยี่ยนนางคารวะทักทายพร้อมกับถามว่า “นายท่านและนายหญิงส่งบ่าวมาถามท่านบุตรเขยว่าได้อันดับที่เท่าไหร่เ้าคะ?”
“รบกวนแม่เฒ่าซุนไปแจ้งแก่ท่านพ่อและท่านแม่ว่าสามีข้าได้อันดับหกผลสอบของน้องรองก็ออกมาแล้วกระมัง?” กู้เจิงรีบถามต่ออย่างอยากรู้ “ได้ตามที่คาดไว้หรือไม่?”
แม่เฒ่าซุนยิ้มกว้าง “คุณชายรองของพวกเรา ได้อันดับสองเ้าค่ะ”
ก่อนหน้านี้ในหอถงชุนน้องรองกู้เจิ้งชินพูดด้วยสีหน้ามั่นใจว่าต้องติดหนึ่งในห้าอันดับแรกอย่างแน่นอนกู้เจิงคิดไม่ถึงว่าจะได้อันดับสอง นางดีใจกับเขาด้วยจริงๆ “น้องรองเก่งมากจริงๆ”
“ใช่เ้าค่ะคราวนี้คุณชายรองของพวกเราต้องมีชื่อเสียงเลื่องลือในเยว่เฉิงแน่แล้ว” แม่เฒ่าซุนกล่าวอย่างปลื้มใจ “นายท่านยังบอกอีกว่าวันหน้าเขาจะเตรียมงานเลี้ยงฉลองให้คุณชายรองกับท่านบุตรเขยในจวนด้วยเ้าค่ะ” นางว่าพลางหันไปคารวะสองสามีภรรยาเสิ่น “เรียนเชิญนายท่านและฮูหยินใหญ่เสิ่นมาร่วมงานที่จวนด้วยนะเ้าคะ”
แน่นอนว่าสองสามีภรรยาเสิ่นย่อมตกลง
ในตอนนี้เอง ปาเม่ยก็เดินเข้ามาแจ้งว่า “พี่ใหญ่เสิ่น พี่สะใภ้ข้าจะรีบกลับไปที่จวนเพื่อบอกข่าวดีนี้กับท่านอ๋อง ข้าขอตัวก่อนนะเ้าคะ”
เมื่อปาเม่ยจากไปจางหลี่หนานก็ขอตัวกลับค่ายทหารเพื่อไปบอกข่าวดีกับเหล่าพลทหารในค่ายเช่นกัน
ขณะที่ครอบครัวตระกูลเสิ่นกำลังจะขึ้นรถม้ากลับบ้านก็มีเสียงนินทาดังแว่วมาเข้าหู “คนใช้ของตระกูลฟู่นั่นก็ทำเกินไปคุณชายสามหนิงสอบไม่ติดก็ไม่เห็นจะต้องทำให้เขาอับอายขายหน้าเช่นนี้”
“คุณชายสามหนิงเพิ่งอายุเพียงสิบสองปี สอบไม่ผ่านก็เป็เื่ปกติได้ยินว่าเขาเข้าสอบรับราชการทั้งที่อายุยังน้อยขนาดนี้เพราะหวังว่าตนเองจะพอคู่ควรกับคุณหนูตระกูลฟู่ได้บ้าง มีจิตใจมุ่งมั่นแน่วแน่เช่นนี้นับว่าหาได้ยากนัก”
“จะมีประโยชน์อะไร? ตระกูลฟู่ไม่ชอบบุตรอนุภรรยามาแต่ไหนแต่ไร”
“ถึงจะเป็เช่นนั้นแต่ก็ไม่ควรทำกับคุณชายสามหนิงขนาดนั้นอย่างน้อยเขาก็เป็คุณชายแห่งจวนป๋อเจวี๋ยเชียวนะ”
“คงเป็เพราะตระกูลฟู่มีแม่ทัพเยี่ยนคอยหนุนหลังอยู่”
เสียงนินทาเ่าั้ค่อยๆ ห่างออกไป
“อาเจิง เป็อะไรไป?” นายหญิงเสิ่นถามขึ้นเมื่อเห็นกู้เจิงดูใจลอย
“ไม่มีอะไรเ้าค่ะ” กู้เจิงถอนสายตากลับมายิ้มให้แม่สามีแล้วก้าวขึ้นรถม้า
เสิ่นเยี่ยนคิดไว้อยู่แล้วว่าคุณชายสามหนิงจะไม่มีชื่อติดอยู่บนประกาศแต่เขาคิดไม่ถึงว่าเื่จะอื้อฉาวขนาดที่ทำให้คนในเมืองได้ซุบซิบนินทากันขนาดนี้
สองสามีภรรยาเสิ่นแวะซื้อของที่ตลาดก่อนจะกลับบ้าน ทั้งสองคนลงจากรถม้าเพื่อไปซื้อของลูกชายสอบได้คะแนนดีขนาดนี้ ต้องซื้อของดีๆ ไปฉลองกันเสียหน่อย
ชุนหงชอบเ้าม้าที่ซื้อมาเทียมรถนี้มาก เมื่อกลับมาถึงบ้านนางก็แยกมันออกมาจากตัวรถ แล้วพาจูงไปกินหญ้าแห้ง
เสิ่นเยี่ยนเมื่อกลับมาถึงบ้าน ก็ตรงไปที่ห้องหนังสือทันทีเขาเห็นกู้เจิงเดินตามเข้ามา จึงมองนางด้วยความประหลาดใจ
กู้เจิงฉีกยิ้มสดใสให้เขา “ท่านพี่ ยังมีเวลาอีกสิบวันกว่าจะถึงวันที่ต้องเข้าไปสอบในวังท่านต้องตั้งใจอ่านหนังสือให้ดีนะเ้าคะ ข้าจะไปชงชามาให้เ้าค่ะ” นางพูดจบก็ออกไปชงชาทันที
ไม่ว่าเขาจะตั้งใจอ่านหนังสืออย่างไรแต่คนที่สอบได้สามอันดับแรกก็ไม่ใช่เขาอยู่ดีแต่เมื่อนึกถึงใบหน้าคาดหวังของภรรยาแววตาเ็าของเสิ่นเยี่ยนก็อบอุ่นขึ้นเล็กน้อยค่อยชดเชยให้นางในภายหลังก็แล้วกัน
หลังจากนำน้ำชาเข้ามาส่งในห้องหนังสือ กู้เจิงก็ไม่รบกวนเสิ่นเยี่ยนอีกนางปล่อยให้เขาตั้งใจอ่านหนังสือทบทวนบทเรียนไป
กู้เจิงกลับเข้ามาในห้องนอนนางหยิบภาพวาดที่เมื่อเช้าวาดไปเพียงครึ่งเดียวมาวาดต่อ หลังจากวาดเสร็จก็จะนำมาปักต่อนี่เป็ของขวัญแต่งงานที่นางตั้งใจจะมอบให้กู้อิ๋ง
ภาพที่นางวาดเป็รูปบ่าวสาวในชุดแต่งงานแบบโบราณใบหน้าของทั่งคู่ประดับด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข้าเหนือรูปบ่าวสาวปักเป็ตัวอักษรว่า ‘เราแต่งงานกันแล้ว’
กู้อิ๋งเป็บุตรสาวคนโตของนายหญิงเว่ยซื่อเครื่องประดับหรือเงินทองนางล้วนมีใช้ไม่ขาดแคลน กู้เจิงทำได้เพียงใช้ ‘สิ่งพิเศษ’ ที่ทำขึ้นเองนี้มอบให้เป็ของขวัญแก่นาง
ถึงอย่างไรความสัมพันธ์ระหว่างนางกับกู้อิ๋งก็ยังคงต้องรักษาเอาไว้
“คุณหนู วาดเสร็จเร็วขนาดนี้เลยหรือเ้าคะ?” ชุนหงเข้ามาในห้องเพื่อเปลี่ยนเตาถ่านจึงเห็นคุณหนูของนางกำลังเป่ากระดาษให้แห้ง “บ่าวเพิ่งจะเคยเห็นภาพวาดเช่นนี้ ถึงจะดูอ้วนกลมแปลกๆแต่ก็น่ารักมากเ้าค่ะ”
“เ้าก็รู้สึกว่าไม่เลวเลยใช่ไหม?” ตัวการ์ตูนที่นางวาดเรียกว่า ตัวการ์ตูนจิบิ* เด็กสาวน่าจะจะชอบสิ่งนี้กัน
(* เป็คำภาษาญี่ปุ่นที่ใช้บอกลักษณะสิ่งเล็กๆหรือคนที่มีรูปร่างเล็ก ในที่นี่หมายถึงตัวการ์ตูนย่อส่วนขนาดเล็ก)
ชุนหงพยักหน้า “คุณหนูสามเห็นแล้วจะต้องชอบของขวัญชิ้นนี้แน่เ้าค่ะ” เพราะนางเองก็ชอบมากเหมือนกัน
หลังจากกินอาหารมื้อกลางวัน เสิ่นเยี่ยนก็กลับไปที่ค่ายทหารสองสามีภรรยาเสิ่นช่วยกันหั่นขนมเข่งที่ผสมกับเปลือกงาเป็เส้น ๆเพื่อเตรียมตากให้แห้งแล้วจะทำเป็ขนมกินเล่นต่อไป
กู้เจิงคิดจะแวะไปหาเสิ่นกุ้ยที่บ้านลุงรองเสิ่นเพื่อทำฐานรองที่จะใช้วางของขวัญและอีกอย่างนางก็อยากไปเริ่มเรียนลูกคิดที่บ้านป้าใหญ่เสิ่นด้วยนางจึงไปแจ้งให้แม่สามีทราบ
นายหญิงเสิ่นรีบบอกกู้เจิง “ข้าเตรียมลูกคิดไว้ให้เ้าแล้ว” นางเข้าไปในห้องนอนแล้วหยิบลูกคิดตัวใหม่ออกมาให้กู้เจิง
“ขอบคุณเ้าค่ะท่านแม่” กู้เจิงรับลูกคิดมาพลิกดูไปมา
“ให้พวกเ้าสองคนไปกันเองคงไม่เป็อะไรกระมัง?” นายหญิงเสิ่นพูดขึ้น “หรืออยากให้ข้าไปด้วยไหม?”
“ไม่เป็ไรเ้าค่ะ ล้วนคุ้นเคยกันแล้วทั้งนั้น” คนของตระกูลเสิ่นพบหน้ากันเป็ประจำ กู้เจิงเริ่มสนิทสนมกับญาติๆคนอื่นบ้างแล้ว
“ได้ยินป้ารองบอกว่า ่นี้อากุ้ยไปช่วยงานฝั่งบ้านภรรยาเกรงว่าคงใช้เวลาสักพักกว่าจะกลับมา ถ้าไปแล้วไม่พบ เ้าก็เอากระดาษฝากไว้กับป้ารองก็แล้วกัน”
“ทราบแล้วเ้าค่ะท่านแม่” กู้เจิงรับคำ
ละแวกที่ตั้งของบ้านตระกูลเสิ่นมีชื่อเรียกว่าเจ็ดตรอกประตูทิศใต้เพราะว่าตั้งตามชื่อตรอกถนนที่ตัดสลับกันไปมาทั้งหมู่บ้านถูกล้อมรอบด้วยตรอกที่เรียงรายไปด้วยร้านค้าเจ็ดสายบ้านของพ่อแม่สามีกับบ้านของลุงสามห่างกันเพียงแค่หนึ่งตรอกกั้นและห่างจากบ้านของลุงใหญ่ไปเพียงสองตรอก ส่วนบ้านลุงรองอยู่ไกลที่สุดแต่กลับอยู่ตรงใจกลางของเจ็ดตรอกนี้มากที่สุดชั้นล่างของบ้านลุงรองได้ให้ลุงใหญ่เช่าทำเป็ร้านค้า
กู้เจิงจึงตรงไปที่บ้านของลุงรองเพื่อหาป้าใหญ่และไปทำขาตั้งสำหรับของขวัญของนาง
กู้เจิงมองจากไกลๆ ก็เห็นป้าใหญ่นั่งอยู่ในร้าน