จานอ้ายฉวินอดที่จะลอบกลอกตามองบนไม่ได้
เื่การแข่งขันภาษาอังกฤษไม่อยู่ในความรับผิดชอบของหวังก่วงผิงด้วยซ้ำ เื่เมื่อหลายวันก่อนยังขายหน้าชาวบ้านไม่พออีกหรืออย่างไร
ฝ่ายอุดมศึกษาถูกร้องเรียนจากมหาวิทยาลัยถึงสี่แห่งในคราวเดียวกัน หัวหน้าฝ่ายแทบจะทึ้งผมจนร่วงหมดหัว ทว่าหวังก่วงผิงอยู่สงบเสงี่ยมได้เพียงไม่เท่าไร ก็เริ่มคิดอยากแย่งผลงานอีกแล้วอย่างนั้นหรือ?
หัวหน้าแผนกจานมองหวังก่วงผิงที่กำลังต้อนรับขับสู้คนทั้งโต๊ะอาหารด้วยสายตาเ็า เขาพูดคุยกับทีมงานถ่ายทำอย่างสนิทสนมเช่นนี้ ไม่รู้กำลังคิดจะทำอะไรอยู่กันแน่
เวลาเจอคนหน้าไม่อาย แถมยังเป็ข้าราชการระดับสูงช่างรับได้ยากเหลือเกิน
คนที่นั่งอยู่ข้างจานอ้ายฉวินคืออาจารย์สวีกั๋วจาง
ชายชราไม่สนใจบรรยากาศครึกครื้นบนโต๊ะอาหาร เขาก้มหน้าทานอาหารช้าๆ จานอ้ายฉวินจึงยกขาหมูตุ๋นที่นุ่มละมุนลิ้นไปวางไว้ตรงหน้าอาจารย์สวี
“เหนื่อยหน่อยนะคะ”
สวีกั๋วจางกลืนอาหาร ก่อนจะส่ายศีรษะไปมา
“สหายเสี่ยวจาน การแข่งขันลักษณะนี้เป็เื่ที่ดี จะให้เหนื่อยกี่ครั้งฉันก็ยอม”
การแข่งขันย่อมมีแพ้มีชนะ สวีกั๋วจางไม่ได้คิดว่าการแพ้ชนะคือเื่น่าสนุก ทว่าการแข่งขันจะก่อให้เกิดอิทธิพลในเชิงบวก ชายชราผู้นี้เป็อาจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยภาษาต่างประเทศปักกิ่งั้แ่ปี 1949 แม้อายุจะมากแล้วแต่ก็ยังเป็บุคคลระดับต้นๆ ของแวดวงการศึกษา ในปี 1981 สวีกั๋วจางได้เป็อาจารย์ที่ปรึกษาของนักศึกษาระดับปริญญาเอก และเขายินดีที่จะเป็กรรมการให้กับการแข่งขันภาษาอังกฤษในครั้งนี้ เพราะอยากให้คนรู้จักและสนใจภาษาในอังกฤษมากยิ่งขึ้น
การแข่งขันย่อมมีผู้ได้รางวัล โดยกระทรวงศึกษาธิการตั้งใจจะส่งผู้ชนะไปเป็นักศึกษาแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศ อาจารย์สวีเองก็เคยเรียนอยู่ที่ประเทศอังกฤษเช่นกัน ดังนั้นการให้คนหนุ่มสาวได้ออกไปเปิดหูเปิดตาย่อมเป็เื่ดี ได้เปิดวิสัยทัศน์และทัศนคติให้กว้างไกล อนาคตไม่ว่าพบเจออุปสรรคมากแค่ไหน คนที่มองโลกกว้างย่อมสามารถรับมือกับปัญหาได้ดีกว่า!
จานอ้ายฉวินยกขาหมูมาให้ อาจารย์สวีเองก็ไม่ปฏิเสธ
รองหัวหน้าหวังต้อนรับทีมงานถ่ายทำเสร็จก็หันมาประจบสวีกั๋วจางทันที
ตอนจานอ้ายฉวินออกไปจ่ายค่าอาหาร รองหัวหน้าหวังก็ยกแก้วเหล้าขึ้นมาถือไว้ในมือ
“สุดท้ายนี้ผมขอดื่มให้กับทุกท่าน หลายวันมานี้ลำบากทุกท่านแล้วครับ”
“รองหวังเกรงใจกันเกินไปแล้วครับ”
หวังก่วงผิงดื่มหมดแก้วคนแรก หน้าของเขาแดงก่ำ ก่อนจะทำท่าเหมือนมีอะไรอยากพูด
คนที่สายตาหลักแหลมถามหวังก่วงผิงทันทีว่ามีอะไร หลังคะยั้นคะยออยู่นาน หวังก่วงผิงถึงได้พูดออกมาอย่างลำบากใจว่า “ผมมีหลานสาวอยู่คนหนึ่งที่ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ แต่ไม่รู้ว่าเธอจะผ่านเข้าสู่รอบแข่งทักษะการพูดหรือเปล่า”
ทั้งห้องเงียบกริบภายในชั่วพริบตา
พวกเขาเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมรองหัวหน้าหวังถึงได้ให้การต้อนรับอย่างเป็มิตรเช่นนี้
คณะกรรมการการแข่งขันทั้งหมดล้วนนั่งอยู่ในห้องนี้ รวมถึงพิธีกรที่ทางสถานีโทรทัศน์เป็ผู้ส่งมาด้วย
คำพูดของหวังก่วงผิงทำให้ทุกคนรู้สึกอีดอัด ใช้เส้นสายกันอย่างเปิดเผยไปหน่อยหรือเปล่า!
เื่แบบนี้คุยกับคนสำคัญลับหลังก็พอแล้วไม่ใช่หรือ ปล่อยให้เ้าหน้าที่ระดับล่างได้ยินด้วยเช่นนี้คงไม่ดีกระมัง? เพื่อหลานที่บ้านรองหัวหน้าหวังถึงกับลืมขอบเขต หรือว่าวิธีการทำงานของรองหวังคือไม่รู้จักรักษาขนบธรรมเนียมเช่นนี้?
กรรมการแต่ละคนคิดกันไปคนละทิศคนละทาง ทว่าอาหารเลิศรสของมื้อนี้รสชาติได้เปลี่ยนไปแล้ว
หวังก่วงผิงทำเหมือนไม่รู้ตัว “หลานคนนี้อยากเจริญก้าวหน้า แต่ผู้ใหญ่อย่างผมกลับช่วยอะไรไม่ได้ ช่างน่าอับอายเสียจริงๆ”
อาจารย์สวีเช็ดปาก “หลานของรองหัวหน้าหวังคงเป็เด็กมีความสามารถมากทีเดียว ไม่ทราบว่าชื่ออะไรหรือครับ”
อาจารย์สวีกำลังทำอะไร?
“แซ่เซี่ย เป็นักศึกษาของหัวชิงครับ...”
หัวชิงมีเด็กผ่านเข้ารอบ 4 คน แซ่เซี่ยอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นคงหาได้ไม่ยาก
ทุกคนในที่นี้ต่างก็จมอยู่กับความคิดตัวเอง แม้ปากจะรับคำของหวังก่วงผิงพร้อมกับยิ้มกลบเกลื่อน ทว่าภายในใจนั้นกำลังต่อต้าน อยากได้อันดับจนต้องใช้เส้นสายเพื่อเขี่ยนักศึกษาที่มีความสามารถอย่างแท้จริงทิ้งหรือ
รองหวังพูดต่อหน้าทุกคนเช่นนี้ การสอบข้อเขียนของนักศึกษาคนนี้คงได้ ‘เตรียมการมาก่อน’ แล้วอย่างแน่นอน ดังนั้นโอกาสผ่านเข้ารอบไปสู่การแข่งทักษะการพูดจึงมีสูงมาก
คว้า 20 อันดับแรกมาได้ยังไม่พอใจ แย่ที่สุดคือได้รางวัลรองชนะเลิศ นี่ยังคิดอยากได้รางวัลชนะเลิศระดับประเทศอีกหรือ?
โลภไปหน่อยรึเปล่า
จางอ้ายฉวินจ่ายเงินเสร็จกลับมาก็พบว่าบรรยากาศในห้องดูอึดอัดยิ่งนัก เธอจึงรู้สึกข้องใจ
“นี่คือ...”
“หัวหน้าแผนกจาน รองหัวหน้าฝ่ายหวัง ทีมถ่ายทำของพวกผมคงต้องขอตัวกลับมหาวิทยาลัยก่อนแล้วล่ะครับ เรายังต้องเก็บภาพตอนตรวจข้อสอบเสร็จด้วย”
ทีมถ่ายทำบอกลาก่อนใคร หวังก่วงผิงรีบลุกขึ้นไปส่งพวกเขาที่ประตูทันที “ถ้าเช่นนั้นผมขอฝากทุกท่านด้วยนะครับ”
หวังก่วงผิงยัดซองจดหมายในกระเป๋าช่างภาพ ช่างภาพรีบก้าวเท้าเพื่อหลบเลี่ยงอย่างรวดเร็ว “เกรงใจกันเกินไปแล้วครับ ไม่เป็ไรครับ”
สื่อจะได้รับสินน้ำใจบ้างย่อมเป็เื่ปกติ แต่การให้ต่อหน้าฐานกำนัลเช่นนี้ดูเหมือนจะเกินไปแล้ว
จากมุมที่จานอ้ายฉวินอยู่มองไม่เห็นการกระทำของหวังก่วงผิง อย่างไรก็ตามเธอรู้สึกว่าบรรยากาศดูแปลกไปจากเดิม ในขณะที่เธอกำลังจะชวนสวีกั๋วจางคุย แต่ท่าทีของสวีกั๋วจางกลับเ็าขึ้น ทั้งที่เมื่อกี้ยังเรียกเธอว่าเสี่ยวจานอยู่เลย ทว่าตอนนี้กลับเปลี่ยนมาเรียกว่าจานอ้ายฉวินเสียได้
เธอแค่ออกไปจ่ายเงินค่าอาหาร เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
จานอ้ายฉวินรู้สึกข้องใจมากเหลือเกิน
—-------------------------------------------------------
หลังกินมื้อเที่ยงอย่างเร่งรีบ เซี่ยเสี่ยวหลานก็มานั่งรอผลกับคนอื่นๆ
ปลายเดือนมกราคมเป็่เวลาที่หนาวที่สุดของปี แต่หากไม่อยู่ในที่ร่ม มือเท้าคงจะรู้สึกชาไปหมด อยู่ในที่ร่มก็รู้สึกหนาวเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นักศึกษาหรืออาจารย์ต่างก็ถูมือไปมาเพื่อคลายความหนาวให้แก่ตนเอง
ศาสตราจารย์เฮ่อได้ยินว่าจี้เจียงหยวนเขียนเรียงความไม่เสร็จก็อยากยกมือทุบอก
“ย้ำกับพวกคุณไปกี่ครั้งแล้ว ว่าให้คว้าคะแนนที่สามารถคว้ามาให้ได้ก่อน... เซี่ยเสี่ยวหลาน เขียนเรียงความเสร็จหมดไหม”
“ศาสตราจารย์เฮ่อ เขียนเสร็จหมดค่ะ”
ศาสตราจารย์เฮ่อรู้สึกชื้นใจขึ้นมาบ้าง
การคัดเลือกนักศึกษา 20 คนจาก 200 คน คงเรียงตามลำดับคะแนน เด็กหัวกะทิจากมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็ใครต่างก็มีความสามารถ ดีไม่ดีคะแนนที่ต่างกันเพียง 0.5 คะแนนอาจจะสามารถเบียดนักศึกษาคนอื่นไปได้หลายคน จี้เจียงหยวนคงไม่มีหวังแล้ว ทว่าทางด้านเซี่ยเสี่ยวหลานยังพอมีหวังอยู่บ้าง
ตอนใกล้บ่ายโมงตรง ทุกคนที่รอก็เริ่มนั่งไม่ติด
“มาแล้ว!”
ทุกคนพากันลุกขึ้นแล้ววิ่งออกไปด้านนอก
ทีมถ่ายทำแบกกล้องเก็บภาพบรรยากาศ บนประกาศมีชื่อและมหาวิทยาลัยของนักศึกษาจำนวน 20 คนที่ผ่านเข้ารอบ รวมถึงคะแนนของแต่ละคนระบุเอาไว้ด้วย
“จงไฉ่อันดับ 8… เซี่ยเสี่ยวหลานอับดับ 17!!”
อาจารย์หลินมองซ้ำๆ เพื่อที่จะมั่นใจว่าด้านหลังชื่อของทั้งสองคนนั้นเขียนไว้ว่ามหาวิทยาลัยหัวชิง
ในบรรดาเด็ก 4 คน มี 2 คนที่ผ่านเข้ารอบแข่งทักษะการพูด!
จงไฉ่เป็ลูกศิษย์คนโปรดของศาสตราจารย์เฮ่อ เป็นักศึกษาดีเด่นจากสาขาวิชาภาษาต่างประเทศ
นักศึกษาจากสาขาวิชาภาษาต่างประเทศอีกคนกับจี้เจียงหยวนไม่ผ่านเข้ารอบ ส่วนเซี่ยเสี่ยวหลานนั้นผ่านเข้าไปได้อย่างเฉียดฉิว แม้จะได้อันดับที่ 17 แต่แค่ผ่านเข้ารอบ 20 คนได้ก็ไม่มีปัญหาแล้ว ถึงอย่างไรอันดับในรอบสุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับผลการประเมินทักษะการพูด
เซี่ยเสี่ยวหลานโล่งใจไปเปราะหนึ่ง นักศึกษาจากภาควิชาภาษาต่างประเทศอีกคนรู้สึกผิดหวังมาก มาถึงขั้นนี้แล้วกลับพลาดไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น
“เซี่ยเสี่ยวหลาน จงไฉ่ ยินดีด้วยนะ”
น้ำใจนักกีฬาอย่างไรก็ต้องมี จี้เจียงหยวนเองก็แสดงความยินดีกับทั้งสองคนด้วย เซี่ยเสี่ยวหลานจึงขอบคุณเขาตามมารยาท
ศาสตราจารย์เฮ่อกับอาจารย์หลินค่อนข้างพอใจกับผลลัพธ์ที่ออกมา วันนี้หากไม่มีใครผ่านเข้ารอบทักษะการพูดเลยมหาวิทยาลัยหัวชิงคงขายหน้าแน่นอน แต่ถ้าเข้าไปได้ 2 คน ถือเป็ผลลัพธ์ที่พวกเขาและมหาวิทยาลัยสามารถยอมรับได้
เมื่อครู่ทีมถ่ายทำเพิ่งถูกหวังก่วงผิงฝากฝังมา จึงค่อนข้างให้ความสนใจกับนักศึกษาเซี่ยที่ใช้เส้นสายคนนี้
ผ่านเข้ารอบทักษะการพูดตามคาด แต่อันดับไม่สูงเท่าไร ได้แค่อันดับ 17 เท่านั้น หัวชิงมีเด็กผ่านเข้ารอบสองคน ทีมถ่ายทำต้องทำการบันทึกภาพเด็กทั้ง 20 คนที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายเอาไว้ หน้าตาของเซี่ยเสี่ยวหลานผู้นี้ช่างสะดุดตาเหลือเกิน นักศึกษาแซ่เซี่ยจากหัวชิง... หึหึ ที่แท้คือเธอนี่เอง มีคนหนุนหลังเช่นนี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ !
ถ้าอย่างนั้นที่กล้องจับภาพของเธอตอนเดินขบวน ณ จัตุรัสเทียนอันเหมิน เป็แค่เื่บังเอิญจริงหรือ?
นักศึกษาคนนี้อยากออกทีวีมากไปหน่อยหรือเปล่านะ!
ความรู้สึกดีที่เคยมีให้กลับกลายเป็อคติ... คนที่ใช้เส้นสายกลับคว้าอันดับมาได้ และถ้าเธอกลายเป็นักศึกษาแลกเปลี่ยนของกระทรวงศึกษาธิการ เื่นี้คงยิ่งกว่าตลกร้าย