Chapter 17
เหตุผลที่เอเดน กริฟฟินหลงรักรถจักรยานยนต์คันใหญ่มากกว่ารถยนต์หรู คงเป็เพราะยามที่ได้ััสายลมตอนวิ่งบนถนนทำให้เอเดนรู้สึกถึงอิสระ ความเร็วว่องไวแบบไม่ต้องสนใจคนรอบข้าง ราวกับทั้งโลกมีเอเดนเพียงผู้เดียว และเขาสามารถทำอะไรก็ได้อย่างที่ใจนึก มันไม่เหมือนกับความรู้สึกตอนนั่งอยู่ในรถยนต์ ที่มีเบาะผู้โดยสารคนอื่นอยู่ข้าง ๆ ไม่ว่าเบาะนั้นจะว่างเปล่าหรือมีใครสักคนนั่งอยู่ด้วย ล้วนแล้วแต่ทำให้เอเดนไม่รู้สึกถึงอิสระมากพอ
แต่ในตอนนี้ ตัวตนของเอเดนกำลังถูกกลืนหายไปทีละนิด รถจักรยานยนต์คันใหม่ของเอเดน กริฟฟินหายไปอย่างไร้ร่องรอย พร้อมกับกฎข้อห้ามข้อที่พันของวิลเลียม กริฟฟิน ที่ไม่ให้เขาใช้รถจักรยานยนต์สองล้ออีกต่อไป เขาต้องใช้รถยนต์เท่านั้นเพื่อภาพลักษณ์ของกริฟฟิน ส่วนแม่ของเขากล่าวอ้างว่าเพื่อความปลอดภัยของเขา แต่ความจริงแล้วแม่ไม่ได้ห่วงชีวิตของเอเดนเลย เธอแค่อยากใช้ชีวิตอย่างสงบไม่ต้องฟังเสียงสามีกับลูกชายทะเลาะกัน จึงเห็นด้วยกับสามีทุก ๆ อย่าง
ั้แ่เมื่อสองวันก่อนที่เอเดน กริฟฟินได้พบหญิงสาวผมสีทองหม่นที่โรงแรม และร่วมหลับนอนด้วยกันทั้งคืน เขาก็ไม่ใช้บริการของคนขับรถอีกเลย เขาเฝ้ารอการติดต่อจากเธอ แต่ไร้วี่แวว เอเดนยังคงรอต่อไป ทั้งขับรถยนต์แวะไปที่บาร์ในโรงแรมหลังจากเลิกงาน และต้องผิดหวังกลับมา การเฝ้ารอเฮเซลคือเหตุผลเดียวที่ทำให้เอเดนอยากลืมตา และลุกขึ้นจากเตียงนอนในทุกเช้า
เย็นวันนี้เอเดนไม่ต้องเข้าประชุมกับคณะกรรมการผู้บริหาร และไม่ต้องพบกับลูกค้าคนสำคัญ เขาจึงมีเวลาเหลือเฟือ เอเดนเดินลงมาที่ชั้นล่างสุดของบริษัท รับกุญแจรถจากพนักงานที่นำรถของเขามาจอดรอด้านหน้าเตรียมไว้ให้ แล้วกดรับสายเพื่อนสมัยเรียนที่ไม่ได้ติดต่อกันมาสักพัก
“นาน ๆ ทีฉันจะมาเที่ยวที่นี่นะ มาเจอกันหน่อยสิ”
“ไม่ละ ปาร์ตี้กันให้สนุกนะ” เอเดนปฏิเสธคำชักชวนของเพื่อนด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ระหว่างเข้ามานั่งที่ฝั่งคนขับ
“อะไรกัน งานที่บริษัทพ่อนายทำให้เปลี่ยนไปได้ขนาดนี้เลยเหรอ” น้ำเสียงของเพื่อนที่ร่วมงานเลี้ยงฉลองหลายครั้งดูแปลกใจกับการปฏิเสธ เอเดนหวนคิดถึงตัวตนของเขาเมื่อก่อน และถอนหายใจออกมา
“ไม่หรอก ฉันแค่… เบื่อ ๆ น่ะ”
เอเดนไม่คิดว่าการออกไปร่วมงานเลี้ยงกับเพื่อน ๆ ในคลับแบบวีไอพีจะทำให้เขามีความสุข หรือหลุดพ้นจากกรงเหล็กแห่งนี้ได้ ความคิดของเขาเริ่มเปลี่ยนไปอย่างน่าใจหาย ตัวตนที่ถูกกลืนกิน ต่อจากนี้อาจกลายเป็หุ่นยนต์ไร้ความรู้สึกอย่างมนุษย์ กลายเป็พวกบ้าอำนาจ คลั่งเงินทองแบบที่เขาเกลียดก็ได้ เขาได้แต่คิดวนเวียนในสมอง ว่าถ้าต้องเห็นตัวเองกลายเป็คนประเภทที่เกลียดมาตลอด เอเดนตายเสียั้แ่ตอนนี้คงดีกว่า
เขาพยายามปฏิเสธการรบเร้าของเพื่อน แต่ดูเหมือนว่าเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนานจะไม่ยอมปล่อยเขาไปง่าย ๆ เอเดนจึงกดตัดสาย โยนโทรศัพท์มือถือไว้ที่เบาะด้านข้างอย่างไม่ใส่ใจมากนัก และเปลี่ยนเกียร์เพื่อออกเดินทางไปที่ใดสักแห่ง ซึ่งตัวเขาเองยังไม่รู้คำตอบ
รถยนต์สีดำแล่นออกจากบริเวณตึกสูงของบริษัทกริฟฟิน เขาไม่รีบร้อนใช้ความเร็วเพราะสมองโล่งว่างเปล่า เหม่อลอยไม่มีจุดหมาย กระทั่งขับมาถึงทางม้าลายที่มีผู้คนกำลังรอข้ามถนนเวลาเลิกงาน เขาจึงชะลอความเร็วและหยุดรถก่อนถึงทางม้าลาย เมื่อสัญญาณไฟข้ามถนนเป็สีเขียวพอดี
เอเดนมองผู้คนในชุดทำงานคลุมทับเสื้อโค้ตสภาพเหนื่อยล้าที่ข้ามถนน บางคนยิ้มแย้มมีความสุขราวดีใจที่ได้กลับบ้านหลังเลิกงาน บางคนเหนื่อยจนไหล่ห่อเข้าหากัน ไม่มีแรงมากพอจะยืดตัวให้ตรง ทุกคนกำลังใช้ชีวิตของตนเอง ไม่ได้สนใจอย่างอื่นนอกจากการข้ามถนนและไปให้ถึงจุดหมาย
ยกเว้นผู้หญิงคนหนึ่ง เธอเดินข้ามทางม้าลายปะปนกับผู้คนและหยุดยืนหน้ารถของเอเดน ผมของเธอยาวถึงเอวเป็สีดำสนิท ชุดที่สวมอยู่แตกต่างจากคนอื่น ๆ ทำให้เธอโดดเด่นท่ามกลางคนวัยทำงาน เธอสวมชุดกระโปรงยาวลากพื้นสีดำ แล้วหันหน้ามาสบตาเอเดนอยู่นาน
ดวงตาสีเฮเซลจ้องมองดวงตาสีดำสนิทของเธอตอบกลับ ลิปสติกสีทับทิมบนริมฝีปาก กับดวงตาเฉี่ยวทำให้เขารู้สึกคุ้นหน้าเธอ แต่คิดเท่าไรก็คิดไม่ออก จนสัญญาณไฟข้ามถนนเปลี่ยนเป็สีแดง เธอจึงเดินต่อ และหายไปในกลุ่มผู้คนสวมชุดทำงาน
เอเดนไม่ได้คิดสงสัยหรือติดใจอะไรมากนัก จึงปัดความคิดเื่ผู้หญิงผมสีดำทิ้งอย่างรวดเร็ว เขาออกเดินทางต่อไปบนถนนที่มีรถอยู่ประปราย เมื่อผ่านสี่แยกข้างหน้าไปเอเดนก็ไม่เห็นรถคันอื่นอยู่บนท้องถนนอีก เพราะเขาเลือกขับไปทางถนนเส้นโปรดเงียบสงบด้วยความเหม่อลอย ราวไม่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังทำอะไร
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง เขาเหลือบมองหน้าจอและพบว่าเป็เพื่อนคนเดิมที่คงหาข้ออ้างมารบเร้าให้เขาไปงานเลี้ยงอีก เอเดนถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย เอื้อมมือหยิบโทรศัพท์มือถือโดยที่ตามองท้องถนน แต่กะระยะผิดพลาดแม้ใกล้แค่ไม่ถึง่แขน เขาจึงหันมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือของตนเอง
ทันใดนั้นแสงสว่างจ้าก็สาดส่องเข้ามาในรถยนต์ของเอเดน ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ พร้อมกับเสียงเครื่องยนต์ดังสนั่น ทันทีที่ดวงตาสีเฮเซลมองที่มาของแสงไฟ ก็ไม่มีเวลามากพอให้เขาหักพวงมาลัยหลบรถบรรทุกคันใหญ่ได้ทัน แสงสว่างจ้าจากไฟหน้ารถบรรทุกทำให้ทุกอย่างขาวโพลน
และกลายเป็ภาพสุดท้ายที่เอเดนเห็น
เอเดน กริฟฟิน ไม่อาจหลีกหนีความตายพ้น
การได้รับพรต่ออายุขัยจากโจไซอา เทพแห่งการร่วมประเวณี ช่วยเลื่อนวันตายของเอเดนออกไปเพียง 2 วันเท่านั้น เพราะคำสาปรุนแรงจากความเ็ปรวดร้าวของเทพแห่งการร่วมประเวณียากเกินกว่าจะแก้ไข
แต่ดวงจิตที่ดับสิ้นตลอดกาล ยังไม่เท่าเทพที่ยังต้องใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร้ทางเลือก
โจไซอา เทพแห่งการร่วมประเวณียังคงไม่ทราบข่าวการจากไปของชายผู้เป็ที่รัก ร่างกายผ่ายผอมนั่งอยู่บนเตียงนอนสี่เสาที่ห้องนอนของตนเองในเมืองเทพ หมอกแห่งอารมณ์บนเพดานเป็สีเทาเสมอ ลอยต่ำลงจนสามารถเอื้อมมือััมันได้ มือสองข้างกอดเข่าตนเอง ซบใบหน้าลงไป เหม่อมองความว่างเปล่า สลับกับหลับตา ปล่อยเวลาทิ้งไปอย่างไร้ความหมาย พร้อมหัวใจที่บีบรัดอย่างทุกข์ทรมาน
กระทั่งเทพแห่งความผูกพันเคาะประตูห้องนอนของลูกชายหัวแก้วหัวแหวน
“โจซี่ มีแขกมาหาลูก”
ร่างผ่ายผอมพาตัวเองลงจากเตียง กระชับผ้าคลุมไหล่สีขาวให้แน่นขึ้น เพราะเขารู้สึกหนาวเหน็บอยู่ตลอดเวลา ขาสองข้างที่เดินย้ำบนพื้นเ็ปทุกครั้งที่ก้าวเดิน โจไซอาอดทนความเ็ปไว้ใต้ใบหน้าเรียบนิ่ง และแววตาทุกข์ทรมาน
แขกของโจไซอายืนหันหลัง มองสำรวจบ้านหลังใหญ่เพดานสูงจนคาดคะเนไม่ได้ เพียงแค่มองแขกหญิงสาวจากด้านหลังโจไซอาก็รับรู้ทันทีว่าเธอคือใคร ด้วยผมยาวถึงเอวสีดำสนิท ชุดกระโปรงยาวลากพื้นสีดำ เอกลักษณ์ที่ชัดเจนของพอร์ทิเซียร์ เทพแห่งความตาย
เทพแห่งการร่วมประเวณีกำลังเอ่ยเรียกเธอด้วยความสงสัยว่ามีเหตุใดที่ทำให้พอร์ทิเซียร์เดินทางมาหาถึงที่นี่ แต่เทพแห่งความตายหันหลังตามเสียงฝีเท้าของโจไซอาโดยไม่ต้องพึ่งเสียงเรียก ใบหน้าที่มีรอยจุดเล็กสีดำกระจายอยู่ทั่วของเธอแทบไม่สื่ออารมณ์ใด ๆ
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจ้องมองเธอ ยังคงเต็มไปด้วยความสงสัย กระทั่งมองลึกเข้าไปในแววตาสีดำที่มีความเศร้าโศกอันพบได้ยากจากเทพแห่งความตาย
“เอเดน กริฟฟิน…” เสียงเล็กแหลมเอ่ยชื่อคนรักของโจไซอา และไม่กล่าวคำใดต่อ ดวงตาเธอหลุบต่ำ มือขวาที่สั่นเล็กน้อยยกขึ้นวางทาบอกช้า ๆ มันเป็ทั้งการทักทายของเทพ การแสดงความเคารพ การแสดงความเห็นอกเห็นใจ และการไว้อาลัย
เทพแห่งการร่วมประเวณีรับรู้เหตุผลที่เธอมาถึงที่นี่ในทันที โดยที่เธอไม่ต้องปริปากเอ่ยคำอธิบายอื่น
“ไม่… ไม่จริงใช่ไหม”
แม้โจไซอารู้ดีที่สุดว่าชายผู้เป็ที่รักต้องตายจากเพราะคำสาปกลืนกินอายุขัย แต่เมื่อได้รับรู้ข่าวร้ายเป็การยืนยันเขาก็ยังคงไม่อยากยอมรับมัน ร่างผ่ายผอมเริ่มสั่นจากก้อนสะอื้นอย่างน่าสงสาร ขาสองข้างที่เ็ปทุกครั้งยามก้าวเดินไม่สามารถค้ำยันร่างกายไว้ได้อีก โจไซอาทรุดตัวลงนั่งที่พื้นพร้อมน้ำตามากมายไหลพรั่งพรูจากขอบตา
ผ้าคลุมไหลสีขาวกลายเป็ที่เช็ดน้ำตาให้เขา และถูกแผดเผาด้วยเปลวเพลิงจากน้ำตาอำนาจทำลายล้างที่ทรงพลัง ความเศร้าโศกของเทพแห่งการร่วมประเวณีตรึงห้วงเวลาในบ้านหลังใหญ่ที่เมืองเทพให้หยุดนิ่ง ไม่ว่าจะเป็เทพแห่งความผูกพันพ่อของโจไซอา เทพแห่งความรักผู้เป็แม่ แม้แต่เทพแห่งความตาย ต่างยกมือขวาแนบอก ก้มหน้าไว้อาลัยแด่เอเดน กริฟฟิน พร้อมกับมองโจไซอาที่กำลังร้องไห้แทบขาดใจด้วยความสงสาร
ผิวกายผ่ายผอมของโจไซอาแห้งเป็ขุยสีขาว มือหยาบกร้านไร้ความชุ่มชื่นเพราะขับออกมาเป็น้ำตาจำนวนมหาศาล ริมฝีปากก็แห้งแตกเป็สีซีด กระทั่งน้ำตาเหือดแห้งหมดสิ้น ของเหลวที่ไหลออกจากขอบตาของโจไซอาจึงกลายเป็เืสีแดงสด เสียงสะอื้นไห้ไม่แ่เบาลงเลย
โจไซอาเงยหน้ามองเทพแห่งความตาย วางมือลงบนพื้น พยายามคลานเข้าไปหาเธอด้วยความสิ้นหวัง ร่างกายผ่ายผอมคุกเข่าขอร้องเธอราวกับผู้แพ้ที่จนตรอก
“พอร์ทิเซีย… เอาชีวิตของฉันไป” คำขอร้องเคล้าเสียงสะอื้นของโจไซอาช่างหดหู่ “ฆ่าฉันเถอะ ได้โปรด”
มือเรียวของเทพแห่งความตายปาดน้ำตาของตนเองออกอย่างรวดเร็วก่อนที่ใครจะสังเกตเห็น แม้เทพแห่งการร่วมประเวณีที่ไม่ลงรอยกับเธอมาหลายปีคุกเข่าขอร้องอ้อนวอนเธออยู่แทบเท้า แต่พอร์ทิเซียร์กลับไม่รู้สึกถึงชัยชนะใด ๆ เพราะเธอเองก็เป็ผู้แพ้ให้กับกลไกอายุขัยของมนุษย์ผู้เป็ที่รัก เธอเองก็เคยทำทุกวิถีทางเพื่อละทิ้งชีวิตของเธอเองตามคนรักไป
“ฉันเคยลองมาทุกวิธีแล้ว… แต่ไม่มีวิธีไหนที่เทพจะฆ่ากันได้ หรือแม้แต่การฆ่าตัวเอง”
ยิ่งเทพรักมนุษย์มากเท่าใด โรครักระทมจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น ยิ่งโจไซอาเ็ปและเศร้าโศก คำสาปของเทพแห่งการร่วมประเวณี บทลงโทษจากการปฏิเสธรักก็จะยิ่งรุนแรงขึ้นเช่นกัน แม้ว่าเอเดน กริฟฟินได้ตายจากไปแล้ว แต่คำสาปนี้จะยังคงอยู่กับตระกูลกริฟฟินต่อไป
ธุรกิจของตระกูลกริฟฟินเริ่มล้มละลายทีละอย่าง เชื้อสายของตระกูลกริฟฟิน รวมถึงคณะกรรมการผู้บริหารต่างโทษว่าเป็เพราะการทำงานที่ไม่ได้เื่ของเอเดน กริฟฟินก่อนตาย แม้มีเงินทุนมากมายมหาศาล แต่ไม่ว่าตระกูลกริฟฟินจะลงทุนที่ไหน เงินก้อนนั้นย่อมสูญเปล่าซ้ำทุกครั้งไป จนเริ่มร่อยหรอ พร้อมกับกองหนี้ที่ทับถมสูงขึ้น สูงขึ้น
คนขับรถบรรทุกที่พุ่งชนเอเดนในอุบัติเหตุครั้งนั้นถูกตระกูลกริฟฟินตราหน้า ด้วยอำนาจที่ครอบคลุมถึงนักข่าว พวกคนไร้จรรยาบรรณจึงโหมกระพือข่าวการตายของเอเดน กริฟฟินจนสังคมประณามชายแก่ยากจนไร้ทางเลือก
ต่อมาเมื่อชายแก่คนขับรถบรรทุกคันนั้นดับชีวิตตัวเองพร้อมทิ้งจดหมายเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและคำขอโทษ กระแสจึงตีกลับมาทางตระกูลกริฟฟิน สังคมเปลี่ยนมาประณามความเลวของกริฟฟินแทน วิธีการสกปรกถูกเปิดโปงทีละเื่ จนไม่มีใครพูดถึงความดีจอมปลอมของกริฟฟินอีกต่อไป
ทั้งธุรกิจสร้างเงินมหาศาล ทั้งชื่อเสียงล้วนตกต่ำด้วยคำสาปของเทพ ตระกูลกริฟฟินที่มั่งคั่งกลายเป็ตระกูลตกอับ
โจไซอาขังตัวเองในห้องนอนที่มืดสนิท เทพบันดาลห้องให้ไม่มีแสงใดเล็ดลอดเข้ามา เพราะเขาไม่อยากมองเห็นสิ่งใด และไม่อยากออกไปไหน เทพแห่งการร่วมประเวณีใช้ชีวิตวนเวียนอยู่กับการเหม่อลอยในความมืด สลับกับการนอนหลับยาวนานตลอดทั้งวัน แม้รู้สึกตัวตื่นแต่โจไซอาก็ยังคงนอนหลับตานิ่งอยู่บนเตียงไม่ขยับเขยื้อน
่ขณะหนึ่งที่เขานอนหลับอย่างยาวนานกว่าห้าวัน โจไซอาคิดว่าตนเองกำลังฝันอย่างมนุษย์ ความฝันในยามหลับเกิดจากระบบความคิดอันซับซ้อนของมนุษย์ที่เทพไม่สามารถเข้าถึงได้ และไม่มีวันเกิดกับเทพ เว้นแต่จูลิโอ เทพแห่งความฝันเพียงผู้เดียวเท่านั้น แต่การตั้งจิตคิดถึงชายผู้เป็ที่รักอย่างแน่วแน่ของโจไซอา ทำให้เขาเห็นภาพของเอเดนที่ใกล้เคียงกับความจริงมากจนแทบแยกไม่ออก
“วันนี้ทำอะไรกินเหรอ” เสียงหวานเอ่ยถามชายหนุ่มที่ตั้งใจทำมื้อเช้าอยู่ในครัว โจไซอากอดรอบเอวเอเดนแน่น โอบรับความอบอุ่นจากผิวกายที่เขาชื่นชอบ
“ไข่เบเนดิกต์ครับ”
“ขอจูบเป็มื้อเช้าด้วยได้หรือเปล่า” เอเดนหันหน้ามาหาโจไซอา โน้มตัวลงมอบจุมพิตยามเช้าให้ตามคำขอ โจไซอาหลับตารับััที่เต็มไปด้วยความรัก
แต่เมื่อเขาลืมตา ภาพทุกอย่างกลับแตกต่างไปจากเดิม ไม่มีอีกแล้วเอเดนที่ตื่นเช้ามาทำอาหาร และจูบเขา มีเพียงเอเดนที่กำลังเมา ดวงตาล่องลอยแล้วจูบผู้หญิงคนอื่นอย่างดูดดื่มและเร่าร้อน สองมือใหญ่โอบรอบเอวคอดบางแน่น จับไว้ให้กายแนบชิด ผละจูบมาซุกไซ้ซอกคอและเนินอกโผล่พ้นเสื้อของเธอ
โจไซอาเบิกตาโพลง ลุกขึ้นนั่งบนเตียงพร้อมความเ็ปรุนแรงที่อก แม้ว่าเขาลืมตาแต่ทุก ๆ อย่างยังคงเป็สีดำมืดด้วยพลังอำนาจของเขา เขาไม่สามารถสลัดภาพติดตาที่สร้างความเ็ปนั้นออกไปจากหัวได้ น้ำตาไหลออกจากขอบตาอีกครั้งโดยที่มือสองข้างไม่สนใจจะเช็ดมันออก
ความพะอืดพะอมมวนท้องเข้าถาโถมโจไซอา หมอกแห่งอารมณ์สีเทาลอยตัวพัดไปมารอบกายผ่ายผอมจนเขาหนาวไปถึงกระดูก มันยิ่งพัดรุนแรงราวกลั่นแกล้งจนร่างผอมตัวโงนเงน และอาเจียนออกมาเป็เืสีแดงสดปริมาณมาก สีแดงอาบทั่วฝ่ามือเรียว ไหลเลอะขอบปากเปรอะเปื้อนถึงคางและเสื้อผ้า
เืแทบหมดร่างกายของเขา แต่เพียงไม่นานหลังจากนั้น เทพผู้เป็โรครักระทมก็ไอโขลกจนตัวโยน และรู้สึกเ็ปซี่โครงทุกครั้งที่ไอ เืกระเซ็นออกมายามที่เขาไอเช่นกัน
แม้ต้องเ็ปถึงเพียงนี้ แต่โจไซอากลับพยายามนอนหลับเพื่อให้ฝันอีกครั้ง เขาเชื่ออย่างสุดหัวใจว่าตนเองเป็เทพที่สามารถฝันได้ ถึงจะไม่ใช่เทพแห่งความฝันก็ตาม แต่เขาคิดผิด มันเป็เพียงเศษเสี้ยวความทรงจำที่เทพผู้สิ้นหวังจินตนาการขึ้นมาในหัวขณะหลับตาเท่านั้น และมันจะวนกลับมาที่ภาพต้นเหตุแห่งความเ็ป เพื่อปลุกให้โจไซอาตื่นจากการเพ้อฝัน
“ฉันฝันได้จริง ๆ จูลี่ ถ้าฉันตั้งใจนอนหลับให้สนิท ฉันจะเห็นเอเดน”
จูลิโอ เทพแห่งความฝันเดินทางมาเยี่ยมโจไซอาที่ห้องนอนมืดเต็มไปด้วยกองเื มือขาวจึงแตะผนังบันดาลให้ห้องกลับมาสะอาดน่าอยู่และสว่างไสวอีกครั้ง จากนั้นก็นั่งฟังคำบอกเล่าพร้อมรอยยิ้มราวกำลังละเมอของโจไซอากับเื่ที่เป็ไปไม่ได้
“แน่ใจเหรอโจ” จูลิโอขมวดคิ้ว กุมมือผ่ายผอมของเพื่อนสนิทด้วยความเป็ห่วง
“ใช่ ฉันสาบาน เธอดูฝันของคนอื่นได้นี่จูลี่ เธอรอดูนะ ฉันจะทำให้เธอดู”
ด้วยท่าทางกระตือรือร้นพร้อมแววตาสีน้ำตาลอ่อนเป็ประกาย จูลิโอจึงปล่อยเลยตามเลย เพราะอย่างน้อยมันก็ทำให้โจไซอาผ่านพ้นความทุกข์ระทมสัก่ระยะหนึ่ง เมื่อร่างผ่ายผอมทิ้งตัวลงนอนบนหมอน พยายามข่มตาให้หลับสนิท แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือโจไซอาเพียงแค่หลับตาและนอนนิ่ง ๆ เท่านั้น ไม่ใช่การนอนหลับแบบมนุษย์
มือขาวของเทพแห่งความฝันชูขึ้นเหนือศีรษะของเพื่อนสนิท นิ้วยาวกางออกจากกันเล็กน้อยเพื่อรอดูภาพความฝันตามที่โจไซอาบอกเขา แต่กลับไม่เห็นภาพใด ๆ เลยนอกจากความดำมืดว่างเปล่า โจไซอาไม่ได้ฝันแบบมนุษย์ เพียงแค่เฝ้าคิดถึงเอเดน กริฟฟินซ้ำ ๆ เท่านั้น
ผ่านไปสามวัน จูลิโอยังคงนั่งเฝ้าเพื่อนรักไม่ห่าง โจไซอาที่นอนอมยิ้มมุมปากเมื่อครู่ก่อน สะดุ้งตื่นพร้อมอ้วกเป็เืสีแดงสด ไอโขลกจนตัวโยน แล้วร้องไห้หนักจนน้ำตาเหือดแห้ง กลายเป็สายเือย่างน่าสงสาร จูลิโอโอบกอดเพื่อนแนบอก
“โจ เธอไม่ได้ฝัน เธอแค่คิดภาพเขาเท่านั้น แล้วมันทำให้เธอแย่ลง”
“ไม่ใช่นะ” กายผอมอ่อนแรงสะบัดตัวออกจากอ้อมกอดเพื่อนรัก “ฉันฝันเห็นเขาจริง ๆ เพียงแต่ว่าก่อนตื่นจะเป็ภาพเขากับคนอื่น หรือไม่ก็ภาพตอนเขาพูดว่าไม่รักฉันแล้วทุกที…”
“แบบนั้นยิ่งทำร้ายเธอนะโจ เธออาการแย่ลงหลังจากตื่นขึ้นมา ดูเืพวกนี้สิ”
โจไซอายังคงส่ายหน้าด้วยความดื้อดึง เขาไม่ฟังความคิดเห็นของจูลิโอแตกต่างจากยามปกติ เพราะตอนนี้โรครักระทมอันแสนเ็ปกำลังหลอกหลอนให้เขาเชื่อมั่นแต่ความคิดเพ้อฝันของตนเอง
“มันทำให้ฉันมีความสุข ฉันเห็นเขาจูบฉัน แล้วเขาก็กอดฉัน ฉันรู้สึกถึงความอุ่นจากกอดด้วยซ้ำ”
“แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรถ้าเธอเอาแต่คิดถึงเขาอย่างนี้ล่ะโจ เธอจะไม่มีวันหาย”
โจไซอาเบือนหน้าหนีไปทางอื่น ยกแขนเสื้อสีขาวขึ้นเช็ดริมฝีปากจนมันละเลงไปด้วยเืสีแดงสด เขากล่าวเสียงแข็งกับเพื่อนรักอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
“ออกไปซะ ฉันไม่อยากเจอเธอ จูลิโอ”
“โจ ถ้าเธอเอาแต่คิดถึงเขาตลอดเวลาไปเรื่อย ๆ อย่างนี้ เธอจะ—”
“ออกไป!”
จูลิโอถอนหายใจเสียงดัง เขาไม่โกรธโจไซอาเลยแม้แต่น้อย เพราะเข้าใจอารมณ์ที่ไม่ปกติของการเป็โรครักระทม จูลิโอลุกขึ้นจากเตียง และออกจากห้องนอนอย่างที่เพื่อนรัก้า พ่อของโจไซอารออยู่ด้านนอกด้วยสีหน้าร้อนใจ
“โจคิดว่าเขาฝันได้เหมือนมนุษย์ แต่เขาแค่คิดภาพเอเดน และมันยิ่งทำให้อาการของเขาแย่ลง” เทพแห่งความผูกพันยกมือลูบใบหน้าของตนเอง
“ขอบคุณมากจูลิโอ ฉันจัดการต่อเอง”
เทพแห่งความฝันยกมือขวาแนบแผ่นอก ก้มหน้าทำความเคารพและเดินทางกลับ
พ่อของโจไซอาเคาะประตูสามครั้ง ก่อนจะเปิดประตูห้องนอนลูกชาย ร่างกายผ่ายผอมจนเหมือนหนังหุ้มกระดูกที่นั่งกอดเข่าบนเตียง มีรอยเืเลอะตามเสื้อผ้ายิ่งมองเท่าไรก็รู้สึกหดหู่ตาม มือหนาแตะผนังห้อง บันดาลให้ร่องรอยเ่าั้หายไป แล้วเดินไปหาลูกชายช้า ๆ
“ท่านพ่อ ลูกไม่พร้อมจะคุยกับใครตอนนี้”
“ลูกอยู่ลำพังในห้องนี้มานานเกินไปแล้วโจซี่” มือหนาหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวออกจากเข็มขัดรัดเอว คว้ามือของลูกมาเช็ดรอยเืออกจนสะอาด
“ลูกควรออกไปเที่ยวบ้างดีไหม กับจูลิโอและสามีของจูลิโอในโลกมนุษย์”
“ลูกไม่ชอบจูลี่อีกแล้ว” ความโกรธจากการรับรู้ความจริงที่จูลิโอพูดออกมายังหลงเหลืออยู่ โจไซอาตอนนี้เหมือนกับเด็กน้อยไม่มีผิด
“ไม่มีอะไรที่ลูกอยากทำที่โลกมนุษย์บ้างเหรอ” โจไซอาพยายามนึกอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถอนหายใจยาว
“ลูกมีเื่คาใจมากมายไปหมด แต่ลูก… คงเดินทางไปไม่ไหว” เทพแห่งความผูกพันมองใบหน้าซีดเซียวของลูกชายหัวแก้วหัวแหวน แล้วตัดสินใจแม้ยังมีความไม่มั่นใจในตนเอง
“พ่อจะไปกับลูกเอง” เทพแห่งความผูกพันไม่สันทัดเื่การใช้ชีวิตปะปนกับมนุษย์เท่าลูกชาย แต่เพราะหวังว่าอาการของโรครักระทมจะบรรเทาลงไปบ้าง เขาจึงยอมทำทุกอย่าง
“จริงเหรอท่านพ่อ”
“จริงสิ แล้วลูกอยากไปที่ไหน”
“ลูกอยากไปบ้านพักคนชราคามีเลีย… ลูกเคยตามเอเดนไปที่นั่น เหมือนว่าคุณยายคุณตาจะทำให้เอเดนอุ่นใจได้ ลูกอยากรู้ว่าพวกเขาเป็อย่างไรบ้าง”
ผู้เป็พ่อทุกข์ใจเมื่อธุระที่โจไซอา้าเดินทางไปจัดการถึงโลกมนุษย์ยังคงเป็เื่ของเอเดน กริฟฟิน และไม่มีหนทางใดที่จะทำให้โจไซอาหยุดคิดเื่มนุษย์คนนี้ได้เลย
พอร์ทิเซียร์เดินทางจากหอคอยกลางป่าลึกมาที่บ้านของโจไซอา หลังจากได้รับจดหมายอักขระเทพเขียนด้วยลายมืออ่อนแรงจนแทบอ่านไม่ออก ด้วยข้อความสั้น ๆ ให้เธอรีบมาที่นี่ ขายาวก้าวเดินไปที่ห้องนอนของโจไซอาทันที และใจนนิ่งค้างเมื่อเห็นผู้ที่เขียนจดหมายเรียกเธอมา
โจไซอากำลังเต้นรำกับอะไรบางอย่าง รอยยิ้มราวดอกไม้ผลิบานแต่งแต้มบนใบหน้าซีดเซียว และมีเืสีแดงแต่งแต้มที่มุมปากเช่นกัน เพราะโจไซอาไม่ได้เช็ดมันออกให้เรียบร้อย ส่วนอะไรบางอย่างที่กำลังจับมือโจไซอาเต้นรำไปรอบห้องนั้นคือร่างที่พอร์ทิเซียร์มองไม่เห็น เสียงหัวเราะแหบต่ำอ่อนแรงของโจไซอาก็ฟังดูน่ากลัวมากกว่ามีความสุข
“นั่นอะไร”
“มาแล้วเหรอ! พอร์ทิเซียร์ ดูสินี่ ฉันสร้างร่างไร้จิตได้!”
โจไซอาเอ่ยอย่างร่าเริงตื่นเต้น ผายมือไปทางความว่างเปล่าด้านข้าง ซึ่งพอร์ทิเซียร์พยายามเพ่งมองพิจารณาแต่ก็มองไม่เห็นอะไรอยู่ดี และแน่นอนว่าไม่มีเทพองค์ใดสร้างร่างไร้จิตได้นอกจากเทพแห่งความตาย
“ร่างไร้จิตเหรอ”
“ใช่ เขาตัวอุ่นด้วยนะ”
มันคือภาพหลอนที่โจไซอามองเห็นแต่เพียงผู้เดียว
ความคาดหวังมหาศาลที่อยากสร้างร่างไร้จิตของเอเดน กริฟฟินที่โอบกอดแล้วไม่หนาวเหน็บเ็ป ทำให้โจไซอาลองฝึกอยู่นานในห้องนอนของตนเองจนคิดว่าสำเร็จ และส่งจดหมายหาเทพแห่งความตายในทันที พอร์ทิเซียร์ทำอะไรไม่ถูก เมื่อเห็นว่าโจไซอากำลังยิ้มแย้มให้ความว่างเปล่า ขายาวสองข้างจึงเดินถอยออกจากห้องของโจไซอาช้า ๆ ไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว
“เกิดอะไรขึ้นกับโจเหรอ ท่านเทพแห่งความตาย” เทพแห่งความรัก แม่ของโจไซอารีบเข้ามาถามเมื่อเห็นดวงตาเบิกโพลงราวใ
“เขาเห็นภาพหลอน” พอร์ทิเซียร์ตอบสั้น ๆ เธอส่ายหน้าอย่างจนหนทาง และกลับหอคอยกลางป่าลึกของตนเอง
โรครักระทมที่เกิดขึ้นกับโจไซอา เทพแห่งการร่วมประเวณีนั้นแตกต่างจากเทพองค์อื่น ๆ การดิ้นทุรนทุรายให้หลุดพ้นจากความเ็ปของเหล่าเทพทะนงตน คือการบุกมาหาโจไซอาให้ช่วยรักษาอย่างไร้มารยาท บ้างก็ตระเวนตามหาน้ำตาเทพยามมีความสุขด้วยร่างกายอ่อนแรง เพื่อบรรเทาความเ็ป บ้างก็ทำทุกวิถีทางให้เลิกคิดถึงมนุษย์ผู้ไม่รับรัก
แต่กับโจไซอานั้น เขาไม่เกรงกลัวต่อความเ็ปใด ๆ และอยู่ร่วมกับมันด้วยความเคยชิน เขารู้สึกทรมานก็จริง แต่หัวใจที่บีบรัดแน่นยังคงเฝ้านึกถึงเอเดน กริฟฟินเสมอ ถูกที่โจไซอากำลังพยายามดิ้นรน แต่กลับเป็การดิ้นรนหาวิธีให้ภาพความทรงจำที่เคยมีร่วมกับเอเดนไม่จางหายไป ดิ้นรนหาวิธีให้มีเอเดนอยู่ข้างกายอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็ในฝัน หรือเป็ร่างไร้จิต ซึ่งท้ายที่สุดแล้วทั้งสองสิ่งเป็เพียงแค่การหลอกตัวเอง
โจไซอามีชีวิตอยู่ด้วยการเฝ้ารอ ไม่ใช่รอให้ตนเองหมดรัก และหายจากโรครักระทม
แต่เป็การคิดถึงเอเดนทุกวินาที เฝ้ารอจนเวลาผ่านไปครบ 100 ปี
เมื่อนั้นร่างของโจไซอาจะได้สลายไปตลอดกาล
tbc.
#เฮเซลอาย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้