ติงเหว่ยกำลังตั้งใจวาดแผ่นตัวต่อปริศนาเป็สัตว์เล็กๆ นานาชนิด เมื่อนางวาดเสร็จก็อยากให้แม่ของนางพาไปหาพี่รองในเมือง แต่ก็รู้สึกว่าทำเื่เล็กให้เป็เื่ใหญ่ อีกอย่างตอนนี้ก็เป็่ที่ร้านยุ่งมากเสียด้วย
หลังจากคิดได้เช่นนั้น นางก็เก็บภาพวาดเ่าั้เอาไว้
ในขณะที่กำลังกินข้าวกลางวัน ผู้าุโติง พี่ใหญ่ และแม่นางหลิวต่างก็รีบกลับมา ต้าเป่าที่เห็นท่านอาของเขาก็ดีใจจนะโโลดเต้นไปมา จากนั้นเขาก็ปีนขึ้นไปบนเตียงเตาและคอยเฝ้าน้องชายตัวอ้วนๆ ขาวๆ ไว้ไม่ห่างเลย
ติงเหว่ยหยิบขนมออกมาให้หลานชาย จากนั้นก็ขอให้อวิ๋นอิ่งช่วยดูแลเด็กน้อยทั้งสองคน ส่วนนางก็จะไปคุยกับท่านพ่อ ท่านแม่ พี่ชายและพี่สะใภ้
ร้านอาหารกิจการรุ่งเรืองเป็อย่างมาก พี่ใหญ่สกุลติงกับแม่นางหลิวที่แม้จะเหนื่อยสักหน่อย แต่เมื่อนึกถึงเงินที่เข้ามาแต่ละวันก็รู้สึกขอบคุณน้องสาวมากขึ้น
แม่นางหลิวไม่สนใจความเหนื่อยล้า นางยืนกรานที่จะทำอาหารดีๆ หนึ่งโต๊ะให้ ติงเหว่ยเห็นว่าในเมื่อพี่สะใภ้มอบลูกท้อให้แก่นาง นางก็จะตอบแทนด้วยลูกพลัม [1] และก็สอนวิธีการทำแป้งในรูปแบบต่างๆ อีกนิดหน่อย ทำให้แม่นางหลิวหัวเราะไม่หยุด
หลักจากที่ทั้งครอบครัวกินอาหารอย่างมีความสุข ติงเหว่ยก็อุ้มลูกแล้วกลับไปพร้อมกับอวิ๋นอิ่ง
ถึงแม้แม่นางหลี่ว์และผู้าุโติงจะยังทำใจไม่ได้ แต่พวกเขาก็รู้ว่าลูกสาวมีชีวิตความเป็อยู่ที่ดีและไม่ต้องเป็ห่วงมากเกินไป แต่ในทางกลับกันต้าเป่ากลับดึงมือน้อยๆ ของอันเกอเอ๋อร์ไว้ เขาโกรธและงอแงให้ท่านอาทิ้งน้องชายไว้ที่นี่เพื่อจะได้เล่นเป็เพื่อนกับเขา ทำเอาทุกคนต่างก็หัวเราะไม่หยุด
แม่นางหลิวเตรียมของกินจำนวนหนึ่ง จากนั้นก็ห่อกางเกงตัวใหม่ที่ตั้งใจทำให้อันเกอเอ๋อร์เป็พิเศษ พี่ชายคนโตสกุลติงหยิบขึ้นมาและไปส่งน้องสาวที่หน้าจวนสกุลอวิ๋นอย่างเงียบงัน
……
ในเรือนหลักเงียบสงบเกือบทั้งวันราวกับว่าหากเข็มหล่นก็จะได้ยินเสียงอย่างชัดเจน ท่านลุงอวิ๋นฝนน้ำหมึกไปและคอยชะเง้อคอมองออกไปที่ลานด้านนอกไปด้วย เฟิงจิ่วเองก็นั่งยองๆ นับจำนวนมดที่อยู่ตรงมุมกำแพง ส่วนกงจื้อิเองก็เหม่อลอยอยู่บ่อยๆ ในขณะที่กำลังจะวางพู่กันเพื่อไปฝึกซ้อมเดินจู่ๆ ก็มีเสียงดังขึ้นมาภายในเรือน
“พี่เฉิง พวกเรากลับมาแล้ว ได้อุ่นเตียงเตาหลังใหญ่หรือยัง?” อวิ๋นอิ่งเข้าประตูเรือนมาก็เริ่มเอ่ยทักทายขึ้น เฉิงเหนียงจื่อรีบเปิดประตูออกมาจากห้องข้างๆ และตอบว่า “เตียงเตาหลังใหญ่อุ่นไว้เรียบร้อยตั้งนานแล้ว น้ำร้อนก็เตรียมไว้พร้อมแล้วเ้าค่ะ”
ติงเหว่ยเหลือบไปมองที่ห้องหลักแล้วถามว่า “นายน้อยได้กินข้าวกลางวันหรือยัง? เมื่อเช้าข้ากำชับให้เสี่ยวชิงตุ๋นน้ำแกงกระดูกแกะ นางยกเอาไปให้นายน้อยแล้วใช่ไหม?”
“เสี่ยวชิงยกมาให้แล้ว นางยังได้รับรางวัลจากนายน้อยและมีความสุขมากจนหน้าบานอีกด้วย” เสี่ยวชิงนานๆ จะได้เข้ามาในลานหลักสักครั้ง จึงมาคุยกับเฉิงเหนียงจื่อเป็เวลานาน และนางก็เริ่มเข้าใจชัดเจน
ติงเหว่ยถึงได้วางใจและก้าวเข้าห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า
……
ในห้องหลัก นายและคนรับใช้ทั้งสามได้ยินเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะในลานบ้านหายไปก็กลับมามีชีวิตชีวาขึ้นทันที ท่านลุงอวิ๋นรีบพับแขนเสื้อขึ้นแล้วใช้เหล็กเขี่ยในเตาถ่าน เขาพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ห้องนี้อากาศหนาวนิดหน่อย เดี๋ยวอีกสักพักคุณชายน้อยมาจะหนาวเอาได้”
เฟิงจิ่วเองก็ะโลุกขึ้นและไปปูฟูกบนเตียงเตา เขาหาเบาะขนสัตว์นุ่มๆ มาวางไว้ ปากก็พึมพำไปด้วยว่า “ปัวหลั่งกู่รูปปลาน้อยตัวเล็กๆ ไปไหนแล้ว คุณชายน้อยชอบกัดแค่อันนั้นเท่านั้นนี่ เหตุใดถึงหาไม่เจอล่ะ?”
ดวงตาของกงจื้อิเต็มไปด้วยรอยยิ้ม และเขาก็หยิบปัวหลั่งกู่ออกมาจากข้างตัวแล้วโยนออกไป “เอาไปวางให้ดี”
“ขอรับ นายน้อย” เฟิงจิ่วรับไปแล้วก็หัวเราะคิกคัก เขาวางมันไว้ข้างหมอนอย่างระมัดระวังและเดินไปที่เก้าอี้นุ่มๆ เพื่อช่วยพยุงให้นายน้อยลุกขึ้น “นายน้อยท่านรีบเดินสักสองรอบเถอะ อีกเดี๋ยวแม่นางติงมาจะว่านายน้อยี้เีเอาได้”
หลังจากได้ยินเช่นนี้ กงจื้อิก็วางปากกาลง และเมื่อเขาขยับไปยืนอยู่ด้านหน้าไม้เท้า เขาก็ตระหนักว่าการทำเช่นนั้นทำให้เสียศักดิ์ศรีอยู่ไม่น้อย เขาจึงรีบพูดขึ้นมาว่า “เดินมากสักหน่อยก็ดี ่นี้แขนทั้งสองข้างของข้าเองก็แข็งแรงขึ้นมาก”
เฟิงจิ่วพยายามกลั้นหัวเราะอย่างถึงที่สุดแล้วตอบว่า “พี่ติงขอให้พี่รองของนางทำไม้ค้ำยันให้ หลังจากปีใหม่นายน้อยก็จะสามารถทิ้งไม้เท้าอันนี้ไปและเดินได้ด้วยตนเองแล้ว”
นายและบ่าวทั้งสองคนกำลังคุยกัน และเป็อย่างที่คาดเอาไว้ติงเหว่ยที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วอุ้มลูกชายของนางเดินเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว เมื่อนางเงยหน้าขึ้นแล้วเห็นกงจื้อิกำลังฝึกเดินก็พูดออกมาว่า “นายน้อย ท่านฝึกเช่นนี้ต่อไปไม่นานก็จะฟื้นตัวแล้ว เดี๋ยวตอนเย็นข้าจะตุ๋นหมูสามชั้นน้ำแดงไว้กินกับข้าวสวยจะได้เติมแรงให้นายน้อยสักหน่อย”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ไม่เพียงแต่กงจื้อิเท่านั้น แต่ดวงตาของท่านลุงอวิ๋นและเฟิงจิ่วก็เป็ประกายขึ้นมาด้วย พวกเขากลืนน้ำลายลงไปดังเอื๊อกโดยไม่รู้ตัว
หมูสามชั้นน้ำแดงของติงเหว่ยมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว หมูที่สุกนุ่มเหนียวมันกำลังดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตักสักสองช้อนราดไปบนข้าวสวย ถือว่าเป็อาหารเลิศรสที่หาได้ยากยิ่งบนโลกใบนี้
แต่น่าเสียดายที่ท่านลุงอวิ๋นอายุมากแล้วคงไม่เหมาะเท่าไรถ้าจะกินอาหารที่มันมากๆ กงจื้อิเองก็ไม่สบายอยู่ต้องกินอาหารรสเบาเป็หลัก ส่วนเฟิงจิ่วนั้นเดิมทีก็ไม่มีสิทธิ์ออกเสียงอะไรอยู่แล้ว
ดังนั้นใน่ไม่กี่เดือนที่ผ่านมาติงเหว่ยจึงได้ทำเพียงสองหรือสามครั้งเท่านั้น ซึ่งทำให้นายบ่าวทั้งสามที่ชอบกินเนื้อเป็อาหารถึงกับต้องนึกถึงทั้งกลางวันและกลางคืน จนกระทั่งวันนี้ได้ยินว่าเย็นนี้จะได้กินก็ถึงกับน้ำลายสอขึ้นมา ท่านลุงอวิ๋นเป็คนแรกที่ดีใจมากที่สุด เฟิงจิ่วเองก็ะโขึ้นมาทันทีว่า “ข้าจะบอกพี่หลินลิ่วให้ไปเลือกหมูสามชั้นที่ดีที่สุดส่งมาให้ที่นี่”
กงจื้อิไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่มุมตาและคิ้วของเขาก็โค้งลงเล็กน้อย อันเกอเอ๋อร์ที่นอนอยู่บนฟูกบนเตียงอาจรู้สึกว่าตนเองถูกละเลย มือของเขาจึงถือปัวหลั่งกู่ไว้แน่นแล้วเขย่ามันอย่างสุดแรง
ท่านลุงอวิ๋นมองอย่างดีใจ เขาโน้มตัวไปด้านหน้าของเตียงเตาและกล่อมด้วยเสียงเล็กๆ ว่า “วันนี้อันเกอเอ๋อร์ออกไปเล่นข้างนอกหนาวหรือเปล่า? ต่อไปพวกเราอยู่ที่บ้านกันเถอะอย่าออกไปข้างนอกอีกเลย เดี๋ยวเวลาที่ดอกไม้ผลิบานในฤดูใบไม้ผลิข้าจะให้เฟิงจิ่วจับนกตัวเล็กๆ ใส่กรงมาไว้ที่ใต้ชายคาบ้าน แล้วบ่าวจะอุ้มท่านไปให้อาหารนก”
ติงเหว่ยกำลังกังวลเื่หาคนมาทำของเล่นให้ลูกชาย แต่ไม่ทันได้ยินข้อพิรุธในคำพูดของท่านลุงอวิ๋น นางหยิบผ้าที่ชุบน้ำอุ่นหมาดๆ ส่งให้กงจื้อิเช็ดเหงื่อแล้วก็ถามว่า “นายน้อย ในเรือนของเรามีใครทำงานไม้เป็หรือไม่? ไม่จำเป็ต้องฝีมือเก่งกาจ ข้าแค่อยากทำของเล่นเล็กๆ ไม่กี่แบบให้อันเกอเอ๋อร์เล่นก็เท่านั้น”
กงจื้อิปาดเหงื่อจากหน้าผากแล้วหันไปมองลูกชายที่กำลังเตะเท้าอ้วนๆ และเล่นกับท่านลุงอวิ๋นไปด้วย ดวงตาของเขาก็ฉายแววอบอุ่นยิ่งขึ้นและเขาก็ตอบว่า “เฟิงจิ่วเดิมทีก็เกิดในครอบครัวช่าง เ้าสั่งให้เขาทำให้ได้”
“อา ช่างบังเอิญจริงๆ” ติงเหว่ยรู้สึกยินดีเมื่อได้ยินเช่นนั้น นางพูดด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ ตอนเย็นข้าจะแบ่งหมูตุ๋นน้ำแดงให้เขาไว้ชามหนึ่ง ถือเสียว่าเป็ค่าจ้างล่วงหน้าของเขา”
ขณะที่นางกำลังพูด เฟิงจิ่วก็วิ่งเข้ามาจากด้านนอกโดยในมือก็ถือชิ้นหมูสามชั้นที่มันเยิ้มมาด้วย เขาหัวเราะคิกคักและเดินมาข้างหน้าเพื่อแย่งเอาความดีความชอบ “พี่ติง พี่ว่าเนื้อชิ้นนี้เป็ยังไงบ้าง? ท่านป้าหลี่กำลังจะเอาไปทำหมูตากแห้ง แต่ข้ายืนกรานที่จะแย่งมา”
ติงเหว่ยพูดชมเชยว่า “หมูสามชั้นชิ้นนี้ดูไม่เลวเลยจริงๆ เอาไปทำหมูสามชั้นน้ำแดงน่าจะอร่อยที่สุดเลย”
“จริงหรือ?” เฟิงจิ่วมีความสุขและขอร้องด้วยเสียงแ่เบา “พี่ติง ตอนเย็นขอหมูสามชั้นน้ำแดงเพิ่มให้ข้าสักจานด้วยได้หรือไม่ ครั้งก่อนข้าถูกพี่ซานอีแย่งกินไปมากกว่าครึ่ง ข้ายังกินไม่อิ่มเลยด้วยซ้ำ”
ไม่คิดเลยว่าทันทีที่เขาพูดจบติงเหว่ยก็หัวเราะออกมา กงจื้อิก็หัวเราะและดุว่า “เ้านี่มันไม่ได้เื่เลยจริงๆ!”
เฟิงจิ่วเห็นแล้วก็ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เขาจึงทำได้เพียงยิ้มแหยๆ ตามไปด้วย
……
พรุ่งนี้เป็วันส่งท้ายปีเก่าและคืนนี้เกือบทุกครอบครัวก็ทำเนื้อตุ๋น แต่กลิ่นหอมของเนื้อตุ๋นในจวนสกุลอวิ๋นนั้นหอมเข้มข้นกว่าเป็ธรรมดา ท่านป้าหลี่ไม่เพียงแต่เติมเนื้อติดมันเข้าไป ทั้งยังทำต้มพะโล้เครื่องในหมูอีกครึ่งหม้อใหญ่โดยทำตามวิธีที่ติงเหว่ยเคยบอก ยังไม่ทันที่จะถึงเวลากินข้าวผู้คนที่หิวโหยต่างก็พากันมารวมตัวคุยเล่นกันที่หน้าห้องครัว
แต่สำหรับในเรือนหลักที่ปกติก็สนิทกันอยู่ไม่กี่คน ทุกคนจึงมารวมตัวหัวเราะคิกคักกันอยู่ในห้องหลัก โดยไม่อยากจะออกไปข้างนอก
คงไม่ต้องบอกว่าซานอีกำลังแสร้งทำเป็ตรวจชีพจรให้นายท่าน ส่วนหลินลิ่วก็ลากท่านลุงอวิ๋นไปคุยเื่ซื้อของปีใหม่ ส่วนเฟิงจิ่วก็ยืนเฝ้าอยู่ที่ประตูเพราะเกรงว่าซานอีจะแย่งหมูสามชั้นน้ำแดงส่วนของเขาไปกินก่อนอีก
ติงเหว่ยทำอาหารเย็นเสร็จแล้ว ในขณะที่นางกำลังจะหยิบกล่องอาหารเข้ามาก็เห็นว่ามีคนอยู่เต็มห้องไปหมด ในทีแรกก็แปลกใจแต่ต่อมาก็รู้สึกว่าน่าขบขันดี จากนั้นนางก็ขออนุญาตกงจื้อิเอาโต๊ะไปวาง หมูสามชั้นน้ำแดงเจ็ดแปดชามเต็มๆ ก็ถูกยกออกมาจากห้องครัว ต่อให้กับข้าวอย่างอื่นจะมีไม่เยอะและข้าวก็ดูจะไม่พอสักเล็กน้อย ทว่าทุกคนก็ยังคงเพลิดเพลินไปกับอาหารมื้อนี้เป็อย่างมาก
ติงเหว่ยก็กินไปพร้อมกันด้วยไม่กี่คำและมองไปที่ท้องฟ้ายามค่ำคืนด้านนอกที่มีเกล็ดหิมะตกลงมาเต็มไปหมด นางลากเฟิงจิ่วที่กินอิ่มแล้วออกมาด้วยและถามว่า “เสี่ยวจิ่ว ในเรือนของพวกเรายังมีองครักษ์เงาที่เหมือนกับเ้าอยู่อีกหรือไม่?”
เฟิงจิ่วยืดหลังขึ้นตรงโดยไม่รู้ตัว แม้ว่าใบหน้าของเขาจะยังคงยิ้มอยู่ แต่สีหน้าของเขาก็เพิ่มความระมัดระวังขึ้นอีกหลายส่วน
“พี่ติง ทำไมถึงถามเื่นี้ขึ้นมา?”
“อากาศหนาวขนาดนี้ และอีกอย่างก็ใกล้จะถึงวันตรุษจีนแล้ว ถ้าหากว่ายังมีพี่น้ององครักษ์เงาอีก อย่างไรก็ต้องแบ่งให้พวกเขาได้กินข้าวอุ่นๆ ด้วยสิ” ติงเหว่ยชี้ไปที่ห้องครัวแล้วบอกว่า “ข้ายังมีหมูสามชั้นน้ำแดงอีกสองสามถ้วย เ้าเอาไปแบ่งให้พี่น้องสักหน่อยสิ”
เฟิงจิ่วถึงได้เข้าใจว่าเมื่อครู่เขาเข้าใจผิดไปเอง ใบหน้าของเขาขึ้นสีแดงเล็กน้อย แต่ก็ไม่สามารถอธิบายอะไรได้มากไปกว่านี้ เขาเปิดประตูออกไปเนิ่นนานกว่าจะกลับมา
ติงเหว่ยเองก็ไม่ถามอะไรให้มากความ นางไปหยิบกระดาษที่เตรียมไว้ล่วงหน้าออกมาเพื่อจะขอให้เฟิงจิ่วช่วยทำให้สักหน่อย
เฟิงจิ่วในใจก็ยังรู้สึกผิด เมื่อเขาได้ยินว่าจะทำของเล่นให้คุณชายน้อยก็สนใจขึ้นมาในทันที
ไม่รู้ว่าเมื่อคืนเฟิงจิ่วทำจนถึงกี่ยาม วันรุ่งขึ้นหลังจากที่กินข้าวกลางวันแล้ว ติงเหว่ยก็อุ้มอันเกอเอ๋อร์มาดูแลกงจื้อิตอนที่กำลังฝึกเดิน และของเล่นชิ้นใหม่ของอันเกอเอ๋อร์ก็ทำเสร็จแล้ว
ของเล่นชิ้นนี้มีลักษณะเป็ชั้นวางเล็กๆ คล้ายกับที่ดักแมลง สูงประมาณสองฉือ และมีเชือกแขวนสัตว์ตัวเล็กๆ กุ้ง ปลา ผักและผลไม้ต่างๆ ที่ทำจากไม้แกะสลักขนาดเท่าฝ่ามือ แล้วถูกนำมาทาสีสันสดใส ดูแล้วสวยงามไม่เบา
เดิมทีอันเกอเอ๋อร์ก็กำลังอยู่ในวัยที่อยากรู้อยากเห็นอยู่แล้ว เพิ่งจะวางชั้นวางของเล่นนี้ลงตรงหน้าเขาได้ไม่นาน เขาก็ยกขาอ้วนๆ ของเขาขึ้นและเตะไปมาไม่หยุด ในปากก็ส่งเสียงอ้อแอ้ไปด้วยเพื่อให้กำลังใจตนเอง ท่าทางของเขาน่ารักน่าเอ็นดูจนทุกคนที่เห็นต่างก็พากันใจอ่อนยวบไปหมด
ท่านลุงอวิ๋นรีบสั่งให้หลินลิ่วไปหาไม้ดีๆ และน้ำมันตั้งอิ๊วแบบที่ไม่มีกลิ่น เพื่อนำมาทำของเล่นให้กับอันเกอเอ๋อร์โดยเฉพาะ
เดิมทีซานอีเคยจะเกลี้ยกล่อมให้นายน้อยฝึกวินัยอย่างเข้มงวดให้กับคุณชายน้อย แต่ตอนนี้จู่ๆ เขาก็เปลี่ยนใจ เขาพูดไม่หยุดว่าฝีมือการใช้มีดของเขาดีขนาดไหน และยังสามารถทำของเล่นให้คุณชายน้อยได้อีกด้วย
ติงเหว่ยเองก็ได้รับกำลังใจอย่างมากเช่นกัน ใน่ฤดูหนาวที่ไม่มีอะไรให้ทำ นางก็ทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่ไปกับการคิดของเล่นแบบต่างๆ ตัวต่อไม้ที่ช่วยเสริมพัฒนาการ แล้วยังมีของเล่นที่ทำจากไม้ก๊อกเอาไว้ใช้เล่นตอนอาบน้ำ ถึงขั้นที่ว่าแผ่นคำศัพท์หลากสีสำหรับเรียนรู้ตัวอักษรก็ถูกทำออกมาแล้ว
เมื่ออันเกอเอ๋อร์เตะจนเหนื่อยแล้ว เขาก็นอนลงบนเตียงเตากอดของเล่นเอาไว้และกัดไปด้วย บางทีอาจเป็เพราะว่าอาหารบำรุงที่ท่านลุงอวิ๋นบังคับให้นางกินั้แ่ตอนนั้นจะได้ผลขึ้นมา อันเกอเอ๋อร์อายุไม่ถึงห้าเดือนก็สูงเท่ากับเอ้อร์หวาของเฉิงเหนียงจื่อเสียแล้ว
เด็กน้อยคนนี้ลุกขึ้นมานั่งพิงผ้าห่มเป็ครั้งคราว ร่างกายเล็กแต่อวบอ้วนของเขาสวมใส่เสื้อตัวใน บนศีรษะก็สวมหมวกลายเสือ ไม่ว่าใครได้พบเห็นต่างก็หัวเราะจนน้ำลายกระเด็นออกมา ช่างเป็เด็กที่ทำให้คนรักคนเอ็นดูเสียจริง
ในวันนี้เฉิงเหนียงจื่อพาเอ้อร์หวามาเล่นกับอันเกอเอ๋อร์ ส่วนต้าหวาอาจเป็เพราะเล่นอยู่ในห้องจนเบื่อแล้ว เขาจึงวิ่งไปที่เรือนหลักโดยไม่ฟังคำสั่งของแม่
เฉิงเหนียงจื่อใจึงรีบเข้าไปดึงลูกชายของนางกลับออกไป ติงเหว่ยเห็นว่าต้าหวาหนาวจนหน้าเป็สีแดง เห็นได้ชัดว่าอยู่ข้างนอกมาเป็เวลานานแล้ว ดังนั้นนางจึงะโเรียกเฉิงเหนียงจื่อให้อุ้มเขาเข้าไปเล่นในห้องด้วยกัน
เอ้อร์หวาและอันเกอเอ๋อร์ต่างก็นอนอยู่บนเตียงเตา อวิ๋นอิ่งถอดรองเท้าของต้าหวาออกและวางเขาลง ตอนแรกต้าหวาก็ยังมีท่าทีระมัดระวังตัวอยู่เล็กน้อย แต่ต่อมาเมื่อเห็นติงเหว่ยยิ้มอย่างใจดี และยังหยิบขนมมาให้เขากินด้วย ดังนั้นเขาจึงค่อยๆ เปิดใจ และเขาก็ยังชอบแผ่นตัวต่อไม้ที่อยู่ในตะกร้าเป็อย่างมาก เขาหยิบขึ้นมาเล่นอย่างระมัดระวัง
-----------------------------------------
[1] ท่านมอบลูกท้อให้แก่เรา เราตอบแทนท่านด้วยลูกพลัม 投桃报李 หมายถึง ตอบแทนน้ำใจซึ่งกันและกัน ตรงกับสำนวนไทยว่า หมูไปไก่มา ซึ่งแปลความเหมือนกันคือ ลักษณะของการถ้อยทีถ้อยอาศัยกันด้วยการให้สิ่งของแลกเปลี่ยนหรือตอบแทนซึ่งกันและกัน