อันเจิงกำลังนั่งอ่านตำราอยู่ในห้องทันใดนั้น นอกห้องมีเสียงดังขึ้นเล็กน้อย จากนั้นประตูก็ถูกใครบางคนเปิดออกชวีหลิวซีเอามือไขว้หลังแล้วะโโลดเต้นเข้ามา ท่าทางราวกับมีอะไรจะบอกแต่ก็หยุดเอาไว้แค่นั้น
“เป็อะไรไป?” อันเจิงวางตำราในมือแล้วถามขึ้นหนึ่งประโยค
ชวีหลิวซียืนอยู่หน้าโต๊ะของอันเจิงแล้วมองหน้าเขาด้วยแววตามีคำถาม“คือว่า...ข้าอยากขอปรึกษาอะไรสักหน่อยได้หรือไม่? ต่อไปหากเ้าเจอเจินจวงปี้ที่เป็รองอาจารย์ใหญ่อะไรนั่นอีกช่วยอยู่ห่างเขาหน่อยจะได้หรือไม่ ตอนนี้เ้าทำให้เขาโมโหมากข้ากลัวว่าเขาจะทำอะไรที่ไม่ดีกับเ้า”
อันเจิงยิ้มพลางพูดขึ้น “พรุ่งนี้ข้าก็ยังต้องเจอหน้าเขาอีกแต่ไม่ว่าอย่างไรเ้าก็วางใจเถอะ เขาไม่กล้าทำอะไรข้าหรอกส่วนข้าก็จะไม่ทำอะไรเขาในเร็ว ๆ นี้เหมือนกัน ข้าเคยพูดไว้แล้วว่าในอนาคตหากข้าจะชนะและฆ่าเขา ก็ต้องชนะเพราะพลังวัตรที่ข้าบ่มเพาะขึ้นมาเองไม่ใช่เพราะกระดิ่งแก้วที่มี”
“อืม...ข้าแค่กลัวว่าเ้าจะโมโหแล้วมีเื่กันอีก”
ชวีหลิวซีพูดพึมพำออกมาหนึ่งประโยคจากนั้นก็จับมือของอันเจิง “ข้าจะพาเ้าไปดูเตาหลอมโอสถของข้า”
เวลานี้เป็เวลากลางดึกพวกเสี่ยวชีเต้าต่างก็หลับกันหมดแล้ว ชวีหลิวซีลากมืออันเจิงเข้าไปในตราประทับท้าทาย์เพิ่งเข้ามาถึงอันเจิงก็รั้งแขนของชวีหลิวซีเอาไว้ นางชะงักไปชั่วขณะก่อนจะถามขึ้น“มีอะไรหรือ?”
อันเจิงชี้ลงไปที่เท้ามดตัวนั้นได้เดินมาถึงหนึ่งในสามส่วนของถนนแล้ว ตอนที่เจอมันครั้งก่อน มันเพิ่งเดินมาได้หนึ่งในห้าสิบส่วนของถนนเท่านั้น
“มันอยู่ตรงนี้มาตลอด เดินผ่านทางเล็ก ๆเส้นนี้ นี่แหละคือเส้นทางการฝึกพลังวัตรของมัน”
อันเจิงพูดหนึ่งประโยค จากนั้นเขาก็หลบเ้ามดแล้วเดินไปต่อ
ในตราประทับท้าทาย์ไม่มีกลางคืนมีแต่กลางวัน ในนี้ถึงแม้จะมีเพียงแสงแดดอ่อน ๆ แต่ก็ไม่ได้แลดูมืดมิดมองเข้าไปจากที่ไกล ๆ แล้ว ข้างในเต็มไปด้วยทุ่งสมุนไพรสีเขียวมีสมุนไพรจำนวนมากออกดอกส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่ว
“สร้างเตาหลอมโอสถเสร็จแล้วหรือ?” อันเจิงถาม
ชวีหลิวซีวิ่งะโโลดเต้นไปข้างหน้าเห็นได้ชัดว่านางมีความสุขมาก นางวิ่งไปถึงกลางทุ่งสมุนไพร ที่นั่นมีศาลาเล็ก ๆตั้งอยู่ เตาหลอมโอสถใบแรกในชีวิตของนางตั้งอยู่ในนั้น
“เ้าดูสิ!”
นางมองไปที่เตาหลอมโอสถแล้วยิ้มอย่างมีความสุขนางดูงดงามยิ่งกว่าดอกสมุนไพรที่บานสะพรั่งในทุ่งนั้นเสียอีก
อันเจิงเห็นว่าเตาหลอมโอสถมีขนาดที่เล็กมากความสูงของมันแค่สิบกว่าเิเเท่านั้น จากเหล็กกิเลนทั้งหมดยี่สิบห้ากิโลกรัมโดยปกติหากนำไปทำเป็เตาหลอมโอสถแล้ว อย่างน้อยต้องมีขนาดครึ่งเมตรถึงจะถูก
“ผู้เฒ่าฮั่วเก่งจริง ๆ”
ชวีหลิวซียิ้มพลางพูดขึ้น “เขานำเหล็กกิเลนมาหลอมรวมกันเดิมทีมีน้ำหนักยี่สิบห้ากิโลกรัม จากนั้นก็นำสิ่งปฏิกูลและเหล็กส่วนที่ไม่ดีออกไปจนสุดท้ายก็เหลือเพียงยี่สิบกิโลกรัมเท่านั้น จากนั้นเขาก็หลอมรวมอีกครั้งโดยใช้วิธีที่แปลกมากขนาดจึงลดลงไปอีกไม่น้อย ถึงอย่างนั้นก็ยังมีน้ำหนักที่มากอยู่ดีเสียดายแค่...ตอนนี้ข้ายังไม่สามารถฝึกหลอมโอสถิญญาได้ ผู้เฒ่าฮั่วบอกว่าต้องรอให้ข้ามีพลังอยู่ในขอบเขตจุติ์ขั้นห้าขึ้นไปเสียก่อนตอนนี้พลังของข้ายังอ่อนแอเกินไป ไม่สามารถควบคุมเตาหลอมโอสถได้”
“หากเตาหลอมโอสถะเิออกละก็มันจะอันตรายเกินไป อีกอย่างตอนนี้พลังวัตรในตัวข้ายังน้อยนักจึงไม่สามารถนำไฟอัคคีออกมาได้”
อันเจิงพูดอย่างมั่นใจ “ด้วยความสามารถของเ้าบวกกับในตราประทับท้าทาย์นี้ก็มีเวลาที่เดินช้ากว่าปกติการที่เ้าจะมีพลังอยู่ในขอบเขตจุติ์ขั้นห้าก็ไม่ได้ยากอะไร เ้ารออีกหน่อยก็แล้วกัน”
“อืม”
ชวีหลิวซีพยักหน้าแรง ๆ “ข้าดีใจจริง ๆในที่สุดก็มีเตาหลอมโอสถเป็ของตัวเองแล้ว แต่ผู้เฒ่าฮั่วไม่ยอมรับข้าเป็ศิษย์เขาบอกว่าข้ามีพร์ด้านการแพทย์สูงเกินไป หากเขาสอนอะไรผิดก็จะทำให้คนรุ่นหลังมีความรู้ที่ผิดไปด้วยทั้งยังบอกให้ข้ารอโอกาสและโชคชะตา คงดีกว่าถ้าข้าได้คารวะอาจารย์ที่ชำนาญด้านนี้จริงๆ”
“แต่เ้าลองคิดดูสิ ปรมาจารย์ท่านแรกที่สามารถหลอมโอสถิญญาได้ก็คงไม่มีใครสอนหรอกเนอะ”
อันเจิงหัวเราะแล้วพูด “ฉะนั้นจึงอย่าได้รีรอต้องคิดค้นและทดลองด้วยตัวเอง อย่ากลัวการผิดพลาด ยิ่งผิดมากเท่าไหร่ก็ยิ่งใกล้ความสำเร็จมากขึ้นเท่านั้นนอกเสียจากเ้าจะจงใจเดินไปในทางที่ผิดเอง”
ชวีหลิวซีพยักหน้า “ข้ารู้ ข้าชอบศึกษาด้านการแพทย์นี่เป็สิ่งที่ข้าชอบจากใจจริง”
นางแบมือขวาที่เคยกำแน่นมาโดยตลอด ในนั้นมีของเล็กๆ สีแดงอยู่ชิ้นหนึ่ง “อันนี้ข้าให้เ้า”
อันเจิงถาม “นี่คืออะไร?”
“หินยืนยาว”
ชวีหลิวซีพูดอย่างจริงจัง “มีแค่คนที่โชคดีมากเท่านั้นถึงจะเจอหินยืนยาวนี้จะว่าไปแล้วมันก็เป็เพียงก้อนหินธรรมดาที่มีรูปร่างแตกต่างไปจากหินก้อนอื่นเท่านั้นข้ารู้ว่ามันฟังดูงมงาย ก็เหมือนที่คนอื่น ๆ คิดว่าหากหาใบไม้สี่แฉกเจอก็จะโชคดีอย่างไรเล่าต่อไปเ้าก็พกหินยืนยาวติดตัวไปด้วย แล้วเ้าจะได้ไม่เจอเื่อันตรายอีก”
“ขอบคุณมาก”
อันเจิงรับหินก้อนนั้นไว้มันเป็เพียงก้อนหินธรรมดาจริง ๆ แต่ถึงอย่างนั้น มันก็มีรูปทรงเป็หัวใจดวงเล็ก ๆทั้งยังเป็สีแดงอีกด้วย จึงเป็หินที่หาได้ยากมาก
“ไม่ต้องขอบคุณพวกเราคือครอบครัวเดียวกัน”
ชวีหลิวซีนั่งบนเก้าอี้ในศาลาแล้วแกว่งขาเล่น“ผู้เฒ่าฮั่วบอกว่า หากพวกเราไม่เจอเ้า ชีวิตของพวกเราคงแตกต่างจากตอนนี้มากเขาบอกว่าเ้าคือคนที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกนี้ได้ ฉะนั้นการได้เจอเ้าคือความโชคดีของพวกเราโลกนี้เต็มไปด้วยการเสแสร้งแกล้งทำเป็ดีแต่ความจริงมีแต่สิ่งชั่วร้าย ส่วนเ้าคือคนดีที่ไม่ได้แกล้งทำดังนั้นชีวิตของเ้าจึงต้องพบเจออันตรายนับไม่ถ้วน ข้ารู้ว่าตัวเองอ่อนแอเกินไปไม่สามารถช่วยอะไรเ้าได้จึงหวังว่าหินยืนยาวนี้จะนำพาความโชคดีมาสู่เ้า”
อันเจิงลูบหัวชวีหลิวซีเบา ๆ “งมงายนักแต่อย่างไรข้าก็จะพกก้อนหินนี้ติดตัวตลอด”
ทั้งสองคุยเล่นกันอยู่ครู่หนึ่ง ชวีหลิวซีเล่าเื่วัยเด็กของตัวเองหลายเื่นางเล่าเื่ราวต่าง ๆ พลางหัวเราะอย่างร่าเริง อันเจิงต้องกล่อมอยู่นานนางถึงยอมกลับไปนอนดวงตากลมโตคู่นั้นเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ราวกับว่าการได้คุยกับอันเจิงทำให้นางมีความสุขมาก
วันต่อมา หลังจากฟ้าสว่างอันเจิงก็ออกจากนิกายเบิก์ไปพร้อมตู้โซ่วโซ่วอีกครั้งและครั้งนี้ก็เป็เหมือนครั้งก่อนอันเจิงให้ทุกคนเข้าไปอยู่ในตราประทับท้าทาย์ทั้งหมด
“หากวันนี้เราเจอกับเจินจวงปี้อีก ไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไรกับเ้าบ้าง”ตู้โซ่วโซ่วพูดขึ้น
“ข้าได้ยินมาว่าหลี่หูคือศิษย์ที่เขารักมากเพราะเป็ศิษย์ที่เขาสอนมาเองกับมือ”
อันเจิงพูดด้วยน้ำเสียงราวไม่ใส่ใจ “หากแค่เจินจวงปี้คนเดียวก็ไม่มีอะไรน่าเป็ห่วงหรอกเพราะแม้หอสมุดมายาจะมีสมบัติวิเศษที่ทรงพลังอยู่มากแต่ตราบใดที่เชียวจ่างเฉินยังเป็อาจารย์ใหญ่ของหอสมุดมายาอยู่ เจินจวงปี้ก็คงนำสมบัติวิเศษเ่าั้ออกมาไม่ได้ง่ายๆ ฉะนั้นการที่เ้าจะมากังวลเื่นี้ สู้เ้ากังวลเื่วันนี้ไม่ดีกว่าหรือยังไม่รู้เลยว่าที่โรงจวี้ฉ่างวันนี้เราจะแพ้หรือไม่”
“จริงด้วย”
ตู้โซ่วโซ่วเปลี่ยนเื่ทันที “ตกลงว่าผ้าสีฟ้าผืนนั้นคืออะไรกัน?”
อันเจิงส่ายหัว “ผู้เฒ่าฮั่วก็ดูไม่ออกเหมือนกันเขาบอกว่าวันนี้จะดูอย่างละเอียดอีกครั้ง แต่จากเมื่อวานที่ดูไปผ้าผืนนั้นไม่มีอะไรที่พิเศษเลย เขายังดูไม่ออกว่าผ้าผืนนั้นทอขึ้นอย่างไร รู้เพียงว่าทำมาจากผ้าไหมเท่านั้นฉะนั้นจึงไม่เข้าใจว่าทำไมเสี่ยวช่านถึงได้ถูกใจผ้าผืนนั้นมากขนาดนี้”
‘เหมียว’ เ้าแมวน้อยเสี่ยวช่านที่อยู่ในอ้อมแขนของตู้โซ่วโซ่วส่งเสียงร้องออกมาเหมือนอยากอธิบายบางอย่าง แต่น่าเสียดายที่อันเจิงกับตู้โซ่วโซ่วฟังไม่ออกเลยสักคน
ทั้งสองเพิ่งเดินมาได้ไม่ไกลรถม้าที่โรงจวี้ฉ่างส่งมารับก็มาถึง หากมีรถม้าแล้วไม่นั่งก็คงโง่นักทั้งสองนั่งรถม้ามาถึงโรงจวี้ฉ่างอย่างรวดเร็วคนเฝ้าประตูเมื่อได้เห็นอันเจิงกับตู้โซ่วโซ่วอีกครั้ง ก็มีท่าทีเคารพนบนอบมากขึ้นกว่าเดิม
อันเจิงเพิ่งเดินผ่านประตูก็รู้สึกได้ว่าการตกแต่งภายในของโรงจวี้ฉ่างเปลี่ยนไปจากเดิมมีการตั้งเวทีกว้างประมาณสี่เมตร สูงประมาณครึ่งคนเอาไว้ที่กลางห้องโถงทั้งยังมีการปูพรมอย่างสวยงาม คาดว่าของล้ำค่าที่จะนำมาในวันนี้คงมีขนาดใหญ่พอสมควรดังนั้นจึงย้ายมาจัดที่ห้องโถงแทน เกาซานตัวมาช้ากว่าอันเจิงเล็กน้อยวันนี้เขาขี่ม้าตัวสูงใหญ่และพาลูกน้องมาด้วยหลายคน ช่างดูมีอำนาจและบารมีจริง ๆ
เพียงไม่นานผู้คนก็เริ่มทยอยกันเข้ามาจนครบเจินจวงปี้ตั้งใจเดินไปนั่งเก้าอี้ที่ห่างจากอันเจิงมากที่สุด แล้วหันหน้าไปทางอื่น
กลางดึกเมื่อคืนนี้เจินจวงปี้ไปหาเชียวจ่างเฉินเพื่อบอกว่าอันเจิงฆ่าลูกศิษย์ของหอสมุดมายา แค้นนี้อย่างไรก็ต้องชำระ ไม่เช่นนั้นจะทำให้หอสมุดมายาเสียหน้าและเสียชื่อเสียงเชียวจ่างเฉินปฏิเสธในทันที โดยบอกว่าก่อนอาจารย์ใหญ่มู่จะจากไปได้กำชับเอาไว้ว่า หากไม่จำเป็จริงๆ ห้ามนำสมบัติวิเศษในหอสมุดมายาออกมาใช้เด็ดขาดเจินจวงปี้จึงเสนอให้เชียวจ่างเฉินไปชำระแค้นนี้ด้วยตัวเอง เขาเป็ถึงรองแม่ทัพของกลุ่มอัศวินเพลิงเหล็กย่อมต้องมีพลังที่แข็งแกร่งอย่างแน่นอนแต่เชียวจ่างเฉินก็ปฏิเสธอีกครั้งและไล่ให้เขาไปนอนโดยอ้างว่าเขาเหนื่อยแล้ว
เมื่อคิดถึงเื่นี้เจินจวงปี้ก็โมโหจนตัวสั่นในตอนที่มู่ฉางเยียนเป็อาจารย์ใหญ่ เขาไม่ค่อยอยู่ในหอสมุดมายาแต่กลับออกไปเที่ยวเล่นที่ไหนก็ไม่รู้ดังนั้นเื่ภายในหอสมุดมายาจึงมีเจินจวงปี้เป็ผู้ควบคุมทั้งหมด มิเช่นนั้นหอสมุดมายาคงไม่วุ่นวายจนกลายเป็แบบนี้เมื่อเชียวจ่างเฉินขึ้นเป็อาจารย์ใหญ่ ถึงแม้เขาจะออกไปเที่ยวเล่นบ่อยครั้งแต่ก็ถือว่าอยู่ในหอสมุดมายามากกว่ามู่ฉางเยียนไม่น้อยเพราะฉะนั้นอำนาจของเจินจวงปี้ในตอนนี้จึงถูกเชียวจ่างเฉินยึดกลับไปจนเกือบหมดแล้ว
จวงเฟยเฟยเปลี่ยนชุดใหม่แล้วถึงแม้ยังเป็สีม่วงแต่ชุดของนางในวันนี้ทำให้ดูน่ารักขึ้นไม่น้อย เรียวขางามใต้กระโปรงสั้นตัวนั้นช่างน่าหลงใหลเหลือเกิน
นางเดินขึ้นเวทีด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแล้วพูดขึ้น“การประเมินราคาของล้ำค่าเมื่อวานนี้ช่างน่าตื่นตาตื่นใจเหลือเกินของในวันนี้เป็ของชิ้นใหญ่ดังนั้นจึงเปลี่ยนมาจัดที่ห้องโถงแทน เราทุกคนต่างก็รู้ดีว่ากฎของการตรวจสอบสมบัติวิเศษคือต่อให้จะเชิญผู้เชี่ยวชาญมากี่คนก็ตาม แต่หากหาสมบัติวิเศษไม่ได้ก็จะไม่ได้รับค่าตอบแทนเมื่อวานโรงจวี้ฉ่างของเราได้ส่งค่าตอบแทนไปให้ผู้นำนิกายอันที่นิกายเบิก์แล้วแต่ไม่ว่าอย่างไร โรงจวี้ฉ่างก็จะไม่ทำให้พวกท่านเสียเวลาเปล่าเช่นกันเราได้จัดเตรียมสิ่งของเล็ก ๆ น้อย ๆ ไว้ให้ เพื่อถือเป็สินน้ำใจแก่ทุกท่าน”
นางมองไปที่อันเจิง “รางวัลตอบแทนในวันนี้ล้ำค่ากว่าเมื่อวานมากเ้ายังจะมอบให้ข้าอีกหรือไม่?”
อันเจิงสังเกตเห็นว่านางยังปักปิ่นดอกกุหลาบของเมื่อวานมาด้วยฉะนั้นจึงยิ้มเล็กน้อย “นายตัวใหญ่ช่างคิดคำนวณเก่งจริง ๆ หากมอบรางวัลตอบแทนให้เ้าอีกครั้งโรงจวี้ฉ่างก็คงจะมีแต่ได้กับได้”
จวงเฟยเฟยอมยิ้มแต่ไม่พูดอะไรจากนั้นก็หมุนตัวกลับไป “เพราะของในวันนี้มีขนาดใหญ่พอสมควรฉะนั้นเราจะนำขึ้นมาทีละอย่าง ดูแค่แวบเดียวทุกท่านก็น่าจะรู้แล้วว่าเป็อะไรเมื่อวานเราเน้นไปที่ทักษะการฟัง ส่วนวันนี้เราจะเน้นทักษะการดูของที่จะนำขึ้นมาในอีกสักครู่ ทุกท่านสามารถสำรวจได้ตามที่้าใครตอบถูกและเร็วที่สุดก็ชนะไป ส่วนตอนนี้...ข้าจะนำของรางวัลใหญ่ในวันนี้ขึ้นมาก่อน”
นางชี้ไปด้านหลังจากนั้นหญิงสาวสามคนก็ถือถาดออกมาในถาดมีก้อนหินที่ดูไม่มีความพิเศษอะไรเลยวางอยู่ถาดละก้อน
“โอ้โห วันนี้แม่นางจวงมือเติบไม่น้อยเลยนี่”
เกาซานตัวหัวเราะพลางพูด “หินสามก้อนนี้ดูแล้วเหมือนไม่มีความพิเศษอะไรเลยแต่ไม่แน่ว่าในนั้นอาจมีหยกแห่งิญญาอยู่...ระดับสีเขียวถือเป็หยกแห่งิญญาชั้นล่างระดับสีขาวและสีแดงถือเป็หยกแห่งิญญาชั้นกลาง ระดับสีทองถือเป็หยกแห่งิญญาชั้นดีและระดับสีม่วงคือหยกแห่งิญญาชั้นเลิศที่หาได้ยากยิ่ง เล่ากันว่าหยกแห่งิญญาระดับสีม่วงสามารถสร้างิญญาและความรู้สึกนึกคิดได้ด้วยตัวเองมันจะคอยดูดซับพลังจากฟ้าดินเข้ามาสะสมเอาไว้ในตัว ไม่แน่ว่าหยกแห่งิญญาระดับสีม่วงบางก้อนอาจทรงพลังเทียบเท่ากับผู้ฝึกพลังวัตรชั้นสูงเลยก็ได้”
จวงเฟยเฟยแกล้งกัดฟันพูด “ต่อให้ผ่าออกมาเป็หยกแห่งิญญาระดับสีม่วงข้าก็ยินดีจะมอบให้ทุกท่านอยู่ดี!”
เกาซานตัวหัวเราะเสียงดัง “เ้าพูดเล่นด้วยท่าทางจริงจังแบบนี้น่ารักจริง ๆ”
จวงเฟยเฟยพูด “นี่คือธรรมเนียมที่มีมาตั้งนานแล้วอีกประเดี๋ยวหากใครสามารถตอบถูกทั้งหมด ก็สามารถเลือกก้อนหินหนึ่งในสามก้อนนี้ไปได้เลยในหินสามก้อนนี้อาจเป็ของดีทั้งหมดหรืออาจไม่ดีทั้งหมดเลยก็ได้”
ชายร่างใหญ่สิบกว่าคนแบกของที่มีความยาวประมาณสองเมตรออกมาจากด้านหลังหลังจากเห็นของชิ้นนี้ เสี่ยวช่านก็คลานเข้าไปหามันทันที ตู้โซ่วโซ่วจึงหัวเราะขึ้น“เยี่ยมจริง ๆ...ของชิ้นนี้ยังมาไม่ถึง ก็ถูกเสี่ยวช่านจองเสียแล้ว”
เขาพูดขึ้นเบา ๆแต่เกาซานตัวที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ ก็ยังได้ยินอยู่ดี “เสี่ยวช่านคือใครกัน?”
ผู้าุโหลิวที่นั่งข้างเกาซานตัวก็หันมามองด้วยความสงสัยเช่นกัน
อันเจิงรีบพูดขึ้นทันที “เป็ข้า เพราะข้ามีจิตใจที่เมตตาปรานีฉะนั้นพวกเขาถึงเรียกว่าเสี่ยวช่าน”
‘เหอะ’ เกาซานตัวแค่นเสียงออกมาในลำคอ “คนที่ฆ่าฟันจนเืไหลเป็ลำธารกลับบอกว่าตัวเองมีเมตตา...ช่างไม่อายปาก”
อันเจิงหัวเราะแล้วพูด “หากข้าไม่เมตตาจริงๆ ละก็ วันนี้ในที่นี้คงขาดผู้เชี่ยวชาญไปหนึ่งคนแล้วล่ะ”
เจินจวงปี้ลุกขึ้นทันที เขาหันไปทำตาขวางใส่อันเจิงแต่สุดท้ายก็นั่งลงไปเช่นเดิม
ตูม! และในเวลานี้เองก็มีเสียงกระแทกดังขึ้นที่ประตูก่อนใครบางคนจะก้าวยาว ๆ เข้ามา “สนุกกันขนาดนี้ ขาดพวกข้าไปได้อย่างไร?”
อันเจิงรู้สึกได้ถึงความเย็นะเืที่แผ่มาจากทางด้านหลังเพราะรังสีสังหารในตัวผู้มาใหม่ช่างมากมายเหลือเกิน ราวกับหมึกเข้มที่ล้างไม่ออก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้