14
“มึงออกไปเข้าห้องน้ำนาน จนกูลืมไปแล้วนะเนี่ยว่ามึงมาเรียนด้วยกันน่ะ”
“เว่อร์จริง ๆ”
“กูพูดจริง... กูลืมสนิทเลย จนกระทั่งอาจารย์บอกเลิกคลาสแล้วมึงก็เดินกลับเข้ามาเอากระเป๋านี่แหละ กูถึงเพิ่งนึกได้ว่ามึงขอตัวไปเข้าห้องน้ำแล้วไม่กลับเข้ามาอีกเลย”
“มึงคงแอบนั่งกินมะม่วงจนเพลินสินะ เลยไม่ได้ใส่ใจเพื่อน” ระหว่างที่กำลังเดินลงมาจากตึกคณะ เจแปนก็คุยกับอรไปด้วย เมื่อวิชานี้พวกเขาลงเรียนด้วยกันแค่สองคนเท่านั้น ส่วนเพื่อนคนอื่น ๆ รวมไปถึงบัวได้ลงเรียนกับอาจารย์อีกคนหนึ่ง เนื่องจากเซคที่เจแปนลงเรียนนักศึกษาเต็มแล้ว
“แล้วนี่มึงจะนั่งรอเพื่อนปะ หรือว่ามึงจะกลับไปเลย” อรถามต่อ
“เดี๋ยวกูนั่งรอบัวที่ใต้ตึกคณะนี่แหละ เพราะกูต้องไปเอาของที่ห้องมันต่อ พอดีกูลืมหยิบสายชาร์จแบตของตัวเองกลับมาด้วยแล้วกูก็ไม่มีสำรองอีก”
“โอเค ถ้างั้นกูกลับก่อนนะ เดี๋ยวรถติด”
“ได้ ไว้เจอกันพรุ่งนี้” เมื่อโบกมือร่ำลาเพื่อนพอเป็พิธีเสร็จแล้ว ต่อมาเจแปนก็มองหาโต๊ะว่าง ๆ ที่ตั้งเรียงรายอยู่ที่ใต้ตึกคณะต่อ ก่อนที่เขาจะเดินไปนั่งพร้อมส่งข้อความไปหาบัว เพื่อบอกว่าตอนนี้เขากำลังนั่งอยู่ตรงส่วนไหนของคณะ
โดยระหว่างนั้น เจแปนก็ไม่ได้ปล่อยเวลาให้ผ่านไปเฉย ๆ เขาเลือกที่จะใช้่เวลานั้นในการค้นหาข้อมูลดอพเพลแกงเกอร์อีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้เขาก็มีจุดประสงค์หลักคือหาข้อมูลเตรียมจะมาทำงานส่งอาจารย์
“ข้อมูลแบบทั้งภาษาไทย ทั้งแบบภาษาอังกฤษไม่ค่อยมีเลยแฮะ มีแต่ข้อมูลที่ซ้ำ ๆ กันหรือว่าเราต้องสั่งหนังสือมาจริง ๆ วะ” เจแปนพึมพำกับตัวเอง พร้อมพยายามนึกไปด้วยว่าเขาสามารถหาข้อมูลเื่พวกนี้ได้จากที่ไหนบ้าง เพราะอย่างน้อย เขาก็ต้องมีหลักฐานอะไรมาอ้างอิงกับอาจารย์
“หรือจะไปถามพัตเตอร์งั้นเหรอ” เขาว่าต่อ ก่อนจะส่ายหน้าเบา ๆ เนื่องจากต่อให้เจแปนจะไปสัมภาษณ์ร่างดอพเพลแกงเกอร์โดยตรง ยังไงมันก็เอามาอ้างอิงกับอาจารย์ไม่ได้อยู่ดี
“แปน! นี่มึงมานั่งรอนานหรือเปล่า?”
“ไม่นาน กูก็เพิ่งมานั่งรอมึง ตอนที่ส่งแชตไปหามึงนั่นแหละ” เจแปนตอบเพื่อน เมื่อในเวลาไล่เลี่ยกันนั้นบัวก็เดินลงมาจากตึกพอดี
“อ๋อ แต่ยังไงกูก็ขอโทษด้วยก็แล้วกัน พอดีวันนี้อาจารย์เล่าเพลินอะ เขาก็เลยปล่อยช้า”
“ไม่เป็ไร เพราะกูก็ไม่ได้มีธุระต่ออยู่แล้ว”
“แล้ววันนี้มึงได้เอารถมาหรือเปล่า” บัวถามต่อ
“เอามา”
“ถ้างั้นเราแวะไปกินข้าวเย็นที่ตลาดกันก่อนไหม แล้วค่อยแวะไปที่ห้องกูครั้งเดียว” เธอเสนอความคิด
“อืม เอาแบบนี้ก็ได้นะ” เจแปนพยักหน้ารับเห็นด้วย จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นเก็บโทรศัพท์ลงใส่กระเป๋าแล้วเดินตามเธอไปยังลานจอดรถหน้าคณะ
พอเจแปนเริ่มจะรับมือกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นระหว่างเขาและคนรักได้แล้ว มันก็เป็เื่ดีมากที่เขาสามารถสลัดเื่ราวของดอพเพลแกงเกอร์ให้หลุดออกจากหัวได้ แม้มันจะได้แค่ชั่วคราวก็ตาม เพราะตัวของดอพเพลแกงเกอร์เองก็ไม่ยอมเช่นกัน
“จะกินอะไรดี วันนี้มึงอยากกินไรอ่ะ?” บัวเอ่ยถาม เมื่อทั้งสองมาถึงตลาดนัดยามเย็นแล้วและกำลังเดินเตร่เลือกดูร้านอาหารอย่างพินิจพิจารณา
“อยากกินเย็นตาโฟ” เขาตอบเพื่อนทันที เนื่องจากคิดเมนูนี้เอาไว้ั้แ่ที่รู้ว่าตัวเองจะต้องมากินข้าวเย็นที่นี่แล้ว
“โอเค ถ้างั้นกูขอลอกเมนูของมึงเลยก็แล้วกัน” บัวว่าต่อ พร้อมเดินไปยังร้านขายก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟเ้าประจำของพวกเขา
เมื่อเดินมาถึงร้านก๋วยเตี๋ยว ทั้งสองก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรทั้งนั้น ทันทีที่ได้ที่นั่งบัวก็เป็คนจดเมนูลงใส่กระดาษเอง ซึ่งเธอก็ทำการจดทุกอย่างแบบเงียบ ๆ ไม่คิดจะเงยหน้าขึ้นมาถามกันด้วยซ้ำว่าเจแปนจะกินก๋วยเตี๋ยวเส้นอะไร เนื่องจากเธอรู้ดีว่าเจแปนชอบกินแบบไหน
ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันทั้งนั้น จนกระทั่งมีเสียงหนึ่งดังขึ้น โดยนั่นก็ทำให้ทั้งเจแปนและบัวต่างเงยหน้าขึ้นมองกันแบบไม่ได้นัดหมาย
“ขอนั่งด้วยคนสิ”
“...”
“ไม่ได้เหรอ”
“ได้สิ แฟนเพื่อนทั้งคนทำไมจะไม่ได้ล่ะ” บัวที่ได้สติก่อนเป็คนตอบ ในขณะที่เจแปนก็ได้นิ่งค้างไปพักใหญ่ เพราะคนที่เดินเข้ามาหานั้นไม่ใช่พอร์ต แต่เป็พัตเตอร์ร่างดอพเพลแกงเกอร์ของแฟนเขาต่างหาก
นี่อีกฝ่าย้าอะไรกันแน่? เจแปนได้แต่ตั้งคำถามนั้นกับตัวเองในใจ หลังเวลานี้เขาไม่สามารถคาดเดาพัตเตอร์ได้เลยว่าอีกฝ่าย้าอะไรจากเขา ถึงได้มาปรากฎตัวกับคนอื่นในชีวิตเขาเช่นนี้
“มึงเป็อะไรหรือเปล่า ทำไมถึงมองหน้าแฟนตัวเองแบบนั้นล่ะ” บัวที่หันมาเห็นสายตาของเจแปนเข้าพอดีถามขึ้น
“เปล่า ไม่มีอะไร” เจแปนส่ายหน้าปฏิเสธกลับไป จากนั้นเขาก็เลื่อนสายตาไปมองพัตเตอร์ที่กำลังสวมบทบาทเป็พอร์ตคนรักของเขาแล้วพูดบางอย่างกับอีกฝ่าย “มานั่งด้วยกันสิ”
“นึกว่าจะไม่ชวนกันซะแล้ว” พัตเตอร์พูดทั้งรอยยิ้ม จากนั้นอีกฝ่ายก็เดินอ้อมโต๊ะแล้วมาทิ้งตัวนั่งข้าง ๆ เจแปน โดยมีบัวเป็คนนั่งฝั่งตรงข้ามเพียงลำพัง
“เดี๋ยวเราจะเดินไปส่งเมนูแล้วอ่ะ พอร์ตจะกินอะไร?” บัวถาม
“เอาแบบเจแปน”
“โอเค” เพื่อนเจแปนพยักหน้ารับ จากนั้นเธอก็ก้มลงเขียนบางอย่างอีกนิดหน่อยแล้วค่อยลุกขึ้นไปหาแม่ค้า ซึ่งในระหว่างที่เจแปนกำลังนั่งกับพัตเตอร์เพียงลำพัง เขาก็รีบหันไปถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงไม่พอใจทันที
“ทำไมถึงมาวุ่นวายกับเราขนาดนี้ เราบอกไปแล้วไงว่าเราขอเวลาตัดสินใจก่อน”
“อะไรกัน นี่แปนคิดว่าเราตามเจแปนมาที่นี่เหรอ?”
“แล้วมันไม่ใช่อย่างนั้นหรือไง”
“เจแปนรู้จักคำว่าความบังเอิญไหม เราไม่ได้ตามแปนมาที่นี่หรอกนะ” อีกฝ่ายเถียงกลับมา ทว่าเจแปนกลับส่ายหน้า เนื่องจากเขาไม่เชื่อจริง ๆ ว่ามันจะเป็อย่างนั้น
“อย่ามาโกหกไปหน่อยเลย อะไรมันจะบังเอิญขนาดนั้น อีกอย่างนะ... ต่อให้เราบังเอิญเจอกันจริง ๆ นายก็แสร้งทำเป็ไม่เห็นก็ได้นี่ ไม่เห็นต้องเดินเข้ามาขอร่วมโต๊ะแบบนี้เลย”
“ฉลาดจัง” พัตเตอร์ไม่พูดเปล่า แต่อีกฝ่ายยังกวนประสาทกันด้วยการยื่นมือมาลูบหัวเจแปนด้วย และในจังหวะนั้นบัวก็เดินกลับมาที่โต๊ะพอดี
“คู่นี้ดูหวานฉ่ำเนอะ” หญิงสาวเอ่ยคล้ายประชด
จริงอยู่ที่บัวเคยมีโอกาสได้เจอหน้าแฟนหนุ่มของเจแปนอยู่บ้าง และทั้งคู่ก็เคยสนทนากันนิดหน่อย ทว่าพอครั้งนี้ทั้งสองต้องมานั่งร่วมโต๊ะกัน ต่อให้นี่จะไม่ใช่พอร์ตตัวจริงเสียงจริง แต่มันก็ยังสามารถสร้างความอึดอัดให้ทั้งสามได้อยู่ดี แม้ว่าเจแปนที่เป็คนกลางระหว่างทั้งคู่จะพยายามแก้ไขสถานการณ์ที่น่าอึดอัดนี้แล้วก็ตาม
“แล้วพอกินข้าวเสร็จ แปนจะไปไหนต่อเหรอ” พัตเตอร์ถามขึ้น เมื่อทั้งสามคนใกล้จะกินก๋วยเตี๋ยวเสร็จแล้ว
“ไปหอบัว” เจแปนตอบกลับไปเสียงห้วน “พอดีเราลืมของไว้ที่นั่นน่ะ ก็เลยต้องกลับไปเอา”
“อ๋อ แบบนี้นี่เอง”
“นายเองก็รีบกลับห้องด้วยล่ะ เพราะ่นี้เราไม่ค่อยเห็นนายอ่านหนังสือเลยนะ” เขาพูดต่อ โดยมีจุดประสงค์หลักคือ้าจะไล่พัตเตอร์ แต่เจแปนก็ไม่แน่ใจนักว่าอีกฝ่ายจะรับรู้หรือเปล่าว่าเขา้าไล่
“ครับ เดี๋ยวเราจะรีบกลับไปอ่านหนังสือเลย พออ่านเสร็จ... เราจะได้มีเวลาให้เจแปนเยอะ ๆ”
“อืม แบบนั้นก็ดี” พูดจบ เจแปนก็รวบตะเกียบเก็บให้เข้าที่ เมื่อตอนนี้เขารู้สึกอิ่มแล้ว ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็เพราะ่นี้เขากินน้อยหรือเพราะมีพัตเตอร์มานั่งอยู่ข้าง ๆ กันแน่ เจแปนถึงกินก๋วยเตี๋ยวไม่หมดถ้วย
“พอแปนพูดเื่อ่านหนังสือ เราก็เพิ่งนึกได้เลยว่าเย็นนี้เรามีนัดไปอ่านหนังสือกับเพื่อนที่ห้องสมุด ถ้าอย่างนั้น...เราไปก่อนนะ เดี๋ยวเราเป็คนจ่ายค่าก๋วยเตี๋ยวมื้อนี้เอง ทั้งของแปนและของเพื่อนแปนเลย”
“ครับ ขอบคุณนะ” เจแปนตอบกลับไปตามมารยาท โดยหลังจากที่พัตเตอร์ลุกและเดินออกไปจากโต๊ะแล้ว ทั้งเจแปนและบัวก็ต่างถอนหายใจออกมาพร้อมกัน
“ทำไมมันถึงอึดอัดแบบนี้วะ ขนาดตอนนี้มึงกับพอร์ตดีกันแล้วนะเนี่ย”
“...”
“นี่ดีกันแล้วใช่ไหม เพราะกูเห็นมันลูบหัวมึงนี่” เธอรีบถามต่อ เมื่อเห็นว่าเจแปนมีท่าทีชะงักไปเล็กน้อย
“อ๋อ.. อือพวกกูดีกันแล้วแหละ” เจแปนตอบกลับเพื่อนเสียงแ่ เนื่องจากเมื่อครู่นี้เขาเองก็เกิดความสับสนอยู่เหมือนกันว่าตกลงแล้ว เขาได้คืนดีกับพอร์ตตัวจริงไปแล้วหรือยัง ทว่าพอเจแปนให้คำตอบเพื่อนไปอย่างนั้น เขาถึงเพิ่งมานึกได้ว่าตัวเองยังไม่ได้คืนดีกับแฟนหนุ่มตัวจริงเสียหน่อย
หากเจแปนยังปล่อยให้มันเป็อย่างนี้ต่อไป ในอนาคต...มันต้องเกิดปัญหามากกว่านี้แน่
หลังแวะไปเอาสายชาร์จที่ห้องบัวเรียบร้อยแล้ว ระหว่างที่กำลังขับรถกลับคอนโดของตัวเอง เจแปนก็ใช้เวลาขณะที่รถกำลังติดได้ที่ ขบคิดเื่ที่กำลังรบกวนจิตใจเขาไปด้วย เพราะตอนนี้เขาค้นพบปัญหาใหม่ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตแล้ว โดยปัญหาที่ว่านั้นมันก็คงหนีไม่พ้นเื่ความสับสน
“ทำไมมันต้องเกิดเื่บ้า ๆ แบบนี้ขึ้นด้วย” เขาพูดกับตัวเองด้วยความหงุดหงิดใจ ก่อนจะเร่งเครื่องยนต์ทะยานไปข้างหน้า เมื่อไฟจราจรได้ถูกเปลี่ยนเป็สีเขียวแล้ว
ต่อมา หลังเจแปนขับรถเลี้ยวเข้ามาจอดในที่ประจำของตัวเองแล้ว เขาก็เดินทอดน่องไปยังลิฟต์ตามปกติ ซึ่ง่ที่เจแปนกำลังเดินไปยังลิฟต์อย่างไม่รีบร้อนอยู่นั้น เสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นพอดี และคนที่โทรมาหาเขานั้นก็เป็พอร์ตแฟนหนุ่มของเขาเอง
“ว่าไง” พอกดรับสายได้ เจแปนก็เป็คนถามปลายสายก่อน
[ตอนนี้อยู่ไหน?] อีกฝ่ายถามกลับมา
“เราเพิ่งกลับมาถึงคอนโดอ่ะ มีอะไรหรือเปล่า”
[โอเค งั้นเดี๋ยวเราไปหานะ พวกเรามาคุยกันให้รู้เื่เถอะว่าจะเอายังไงกันแน่] ว่าจบ อีกฝ่ายก็เป็คนตัดสายกันก่อน
“เอาแต่ใจตัวเองเป็ที่หนึ่งเลย” เจแปนพึมพำเสียงแ่พลางเก็บโทรศัพท์ลงใส่กระเป๋า โดยครั้งนี้เขาก็ไม่ได้รู้สึกหนักอกหนักใจเลยแม้แต่นิด อาจเป็เพราะคนที่้าจะมาหากันเป็พอร์ต ผู้เป็แฟนหนุ่มตัวจริงของเขาแหละมั้ง เจแปนถึงได้เกิดความรู้สึกแบบนี้ขึ้น
เนื่องจากพอร์ตโทรมาหากันในตอนที่เจแปนกำลังจะขึ้นลิฟต์พอดี พอเขาเห็นว่าแฟนหนุ่มจะมาหา เจแปนจึงเลือกที่จะมานั่งรออีกฝ่ายที่ล็อบบี้ของคอนโดก่อน แล้วค่อยขึ้นไปบนห้องพร้อมกัน
“ตอนนี้ใจเย็นแล้วใช่ไหม” นั่นเป็ประโยคแรกที่เจแปนเอ่ยถามแฟนหนุ่ม เพราะการพูดคุยกันครั้งล่าสุดระหว่างทั้งสองมันไม่ค่อยจะดีนัก เผลอ ๆ อาจจะแย่กว่าทุกครั้งที่เคยทะเลาะกันมา
“อือ ตอนนี้ใจเย็นแล้ว” พอร์ตพยักหน้าตอบกลับมา จากนั้นเจแปนก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาทำเพียงแค่พยักหน้ารับแล้วเดินนำแฟนหนุ่มไปยังลิฟต์ เพื่อขึ้นไปยังห้องด้วยกันเท่านั้น
หลังขึ้นมาบนห้อง ทั้งสองก็เอาแต่เงียบใส่กันอย่างนั้นอยู่นานพักใหญ่ เจแปนก็ทำเป็เก็บของนั่นนี่ให้เข้าที่แล้วรอให้แฟนหนุ่มเป็คนเริ่มพูดทุกอย่างก่อน เพราะเขาถือว่าคนที่เป็ฝ่ายอยากจะเคลียร์ใจ จะต้องเป็คนเริ่มบทสนทนานี้เอง
“พวกเราจะคุยกันเลยไหม แปนพร้อมหรือเปล่า?” พอร์ตที่ดูเหมือนจะรู้ว่าเจแปน้าอะไรเป็ฝ่ายถามขึ้นก่อน
“อือ เราจะคุยกันเลยก็ได้นะ” เจแปนตอบกลับทั้งเสียงปกติ
“ขอโทษ” นั่นเป็คำแรกที่พอร์ตบอกกัน “ขอโทษที่วันนั้นเราใจร้อนเกินไป”
“แล้วทำไมถึงใจร้อนขนาดนั้นล่ะ เพราะปกติเราก็ไม่เคยเห็นพอร์ตเป็แบบนั้นนี่” เจแปนถามหาเหตุผล เนื่องจากเขาเองก็ไม่เคยเห็นพอร์ตเป็แบบนั้นจริง ๆ และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น มันก็ทำให้เจแปนทั้งกลัวและไม่เข้าใจคนรักในเวลาเดียวกัน
“ก็มีคนมาพูดเข้าหูเราบอกว่าเจแปนมีคนอื่น”
“...”
“มันไม่ใช่อย่างที่เขาพูดกันใช่ไหม?” พอร์ตไม่ถามเปล่า แต่อีกฝ่ายยังมีการจ้องลึกเข้ามาในดวงตาของเจแปนด้วย ทำเอาคนที่ถูกถามถึงกับนิ่งไปเล็กน้อย
นี่ถ้าหากเป็เมื่อก่อนเจแปนคงจะตอบคนรักกลับไปในทันทีแล้วว่าเขามีแค่อีกฝ่ายเท่านั้น แต่พอมาวันนี้... วันที่เกิดเื่บ้า ๆ ขึ้นระหว่างทั้งคู่ เจแปนก็เริ่มไม่ค่อยแน่ใจแล้วว่าความผิดพลาดของเขาที่มันไม่ได้เกิดมาจากความตั้งใจ มันจะสามารถเรียกว่าการนอกใจได้หรือเปล่า
“ทำไมถึงเงียบล่ะ ปกติแปนก็ตอบกลับมาทันทีไม่ใช่เหรอ” เพราะมันผิดธรรมชาติของเจแปนจริง ๆ คราวนี้พอร์ตจึงถามด้วยน้ำเสียงเป็กังวล
“อือ เรามีแค่พอร์ตนั่นแหละ เหมือนที่เคยมีมาตลอดหลายปีไง” เจแปนโกหกกลับไปทั้งหน้าตาย ซึ่งในวินาทีที่เขาต้องพูดแบบนั้นออกไป เจแปนก็ไม่เคยรู้สึกผิดต่อตัวของคนรักเท่านี้มาก่อน
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ มันได้ตอกย้ำแล้วว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขามันกำลังมีการเปลี่ยนแปลงไปแล้วจริง ๆ
“พอได้ยินแปนพูดแบบนี้เราก็โล่งใจแล้วล่ะ ส่วนเสียงของคนอื่นเราไม่สนใจแล้ว”
“...”
“เราดีใจนะที่แปนยังเหมือนเดิมกับเราอยู่” พอร์ตพูดพร้อมเดินเข้ามาสวมกอดเจแปนเอาไว้อย่างหลวม ๆ โดยนั่นก็ยิ่งทำให้เจแปนรู้สึกผิดต่อตัวของคนรักมากขึ้นไปอีก
“แล้วนี่นึกยังไง วันนี้ถึงได้อยากจะมาเคลียร์กัน” เจแปนถาม เมื่อการที่พอร์ตคิดจะเข้ามาเคลียร์กันครั้งนี้ มันไม่มีสัญญาณเตือนมาก่อนเลย
“ไม่รู้ดิ คิดถึงแหละมั้งก็เลยอยากเคลียร์กันให้จบ ๆ ไป” พอร์ตให้คำตอบกลับมาและพูดต่อ “วันนี้เราขอนอนค้างด้วยนะ เราอยากใช้เวลากับแปนว่ะ”
“อ—อ๋อ ได้สิ” เจแปนพยักหน้ารับ พยายามจะสลัดภาพเหตุการณ์ตอนที่ร่างดอพเพลแกงเกอร์สวมรอยเป็คนรักของเขา แล้วมาขอนอนค้างด้วยกัน
พอถึงคราวที่ทั้งสองได้มาเคลียร์ใจกันจริง ๆ บทจะง่ายมันก็ง่ายจนน่าใจหาย...
่ดึกของวัน ขณะที่เจแปนกำลังนอนอยู่บนเตียงพร้อมกับแฟนหนุ่ม มันก็เป็อีกครั้งที่ทั้งสองได้นอนดูหนังด้วยกัน ทว่าครั้งนี้มันกลับไม่เหมือนอย่างทุกครั้ง เพราะบรรยากาศระหว่างทั้งสองมันดีขึ้นมาก แถมเจแปนก็ไม่ได้รู้สึกว่าเขาจะต้องเป็ฝ่ายพยายามเหมือนอย่างที่เคยเป็มาด้วย
มันดูแปลกไปแต่ในเวลาเดียวกันนั้น มันก็ดีมากเช่นกัน...
“่นี้เป็ยังไงบ้าง เื่เรียนน่ะ” พอร์ตถามขึ้น ระหว่างที่เจแปนกำลังนอนกอดก่ายคนรักเอาไว้อยู่
“งานเยอะมากเลย มีแต่ชิ้นใหญ่ ๆ ทั้งนั้น แต่เราก็คงต้องทยอยจัดการไปทีละชิ้นแหละ เพราะทำพร้อมกันไม่ไหวแน่” เจแปนตอบกลับไป พร้อมจ้องหน้าจอโทรทัศน์ตาไม่กะพริบ
“แล้วพอร์ตล่ะ เื่เรียนเป็ยังไงบ้าง?” เขาถามกลับ
“หนักเหมือนกัน ยิ่งตอนนี้ใกล้จะเข้าสู่ฤดูสอบแล้วด้วย เราก็คงต้องเริ่มอ่านั้แ่เนิ่น ๆ แหละ”
“เดี๋ยวก็ผ่านไป... อดทนเอานะ” เจแปนให้กำลังใจคนรัก เนื่องจากเขารู้ดีว่าพอร์ตมักจะเกิดความเครียดเสมอ ยามที่ใกล้จะเข้าสู่่ฤดูสอบแล้ว
“แปนก็เหมือนกัน” พอร์ตตอบกลับมาพลางจูบเข้าที่หน้าผากของเจแปนหนึ่งหน ทำเอาคนที่ได้รับััถึงกับนิ่งไปเล็กน้อย เหตุเพราะเจแปนนึกไม่ถึงว่าเขาจะได้รับมันจากพอร์ต
หากเป็คู่อื่นการแสดงออกถึงความรักด้วยการััร่างกาย มันก็คงเป็เื่ปกติ แต่สำหรับพวกเขามันไม่ใช่อย่างนั้น พอพอร์ตมีการแสดงออกถึงความรักแบบคู่รักทั่ว ๆ ไป มันเลยกลายเป็เื่แปลกระหว่างทั้งคู่ไปเสียเลย
“นิ่งไปเลยแฮะ ใเหรอ” พอร์ตที่จับสังเกตได้เอ่ยถามกัน
“อือ เราไม่คิดว่าพอร์ตจะทำแบบนี้น่ะ มันเหนือความคาดหมายของเรามากเลย” เจแปนตอบคนรักไปตามตรง
“แล้วชอบไหม?”
“...”
“ชอบให้เราทำแบบนี้กับแปนหรือเปล่า”
“ถามทำไมเหรอ” เจแปนไม่ยอมตอบคำถามนั้น แต่เขาเลือกที่จะถามกลับไปแทน ก่อนที่ต่อมาเจแปนจะตัดสินใจเอามือไปแนบกับหน้าผากของคนรัก เพื่อวัดความร้อน
“ทำอะไร”
“ก็เราคิดว่าพอร์ตกำลังไม่สบาย พอร์ตก็เลยแสดงพฤติกรรมแปลก ๆ ออกมา” เจแปนพูดเสียงแ่ เพราะการกระทำของพอร์ตมันดูผิดปกติจนเจแปนเห็นแล้วก็เกิดความเป็ห่วงขึ้นมา คิดว่าคนรักน่าจะป่วย
“เราไม่ได้ป่วยสักหน่อย เราก็แค่อยากอ่อนโยนกับแปนให้มากกว่านี้”
“ทำไมล่ะ” เจแปนถามหาเหตุผล เหตุเพราะเขาเชื่อว่ามันต้องมีเหตุผลที่ทำให้พอร์ตคิดได้เช่นนี้ แม้ว่าอันที่จริงอีกฝ่ายควรจะคิดได้ตั้งนานแล้วก็ตามว่าเ้าตัวควรใส่ใจเขาบ้างในฐานะคนรัก
“ก็เพราะเราเพิ่งรู้ตัวไงว่าเรากลัวการเสียเจแปนไปมาก ๆ และเราก็ไม่พร้อมที่จะเสียแปนไปให้ใครด้วย” พูดจบ พอร์ตก็จ้องลึกเข้ามาในดวงตาของเจแปนอีกครั้ง
จู่ ๆ ความเงียบก็เข้าปกคลุมทั้งสองกะทันหัน เมื่อต่างฝ่ายต่างไม่มีใครคิดจะพูดอะไรออกมาอีก และในเวลาเดียวกันนั้นระยะห่างระหว่างใบหน้าของทั้งคู่ก็ค่อย ๆ ลดลงเรื่อย ๆ โดยมันก็เป็ความตั้งใจของพอร์ตทั้งนั้น
“เราขอจูบได้ไหม?” ก่อนที่อีกฝ่ายจะเริ่มต้นัั พอร์ตก็มีการเอ่ยขออนุญาตกันก่อน
“อือ” เจแปนพยักหน้ารับและหลับตาลงอย่างช้า ๆ เพื่อรับััที่ริมฝีปากของตัวเอง ซึ่งในตอนแรกััของทั้งคู่ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน ไม่มีการรุกล้ำมากไปกว่านั้น มันก็เหมือนจูบในทุก ๆ ครั้ง ทว่าพอผ่านไปสักพัก เจแปนก็เกิดอาการสะดุ้งเล็กน้อย หลังพอร์ตพยายามจะสอดลิ้นเข้ามารุกล้ำโพรงปากของเขา
โดยเื่ตลกมันก็มีอยู่ว่าเจแปนเกิดอาการไม่สะดวกใจขึ้นมาเสียอย่างนั้น...
“ไม่ได้ มันมากกว่านี้ไม่ได้จริง ๆ” เจแปนเอ่ยเสียงแ่และเป็ฝ่ายเบือนหน้าหนีไปทางอื่น ท่ามกลางความงุนงงของคนรัก
“ทำไมล่ะ” พอร์ตถามด้วยน้ำเสียงไม่เข้าใจและพูดต่อ “มันก็เป็สิ่งที่แปน้ามาตลอดไม่ใช่เหรอ หรือว่าไม่้าอีกแล้ว?”
“ไม่รู้สิ จู่ ๆ เราก็ไม่พร้อมขึ้นมาเฉยเลย” เจแปนว่า ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่ ทำไมเจแปนถึงเกิดการต่อต้านเช่นนี้
“โอเค เราจะพยายามเข้าใจก็แล้วกัน” พอร์ตตอบกลับมาทั้งคิ้วขมวด แต่ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายก็ยังไม่ละความพยายามแล้วลองถามเจแปนใหม่อีกหน “แล้วอยากลองใหม่ไหม?”
“ไม่อ่ะ เราว่าตอนนี้เรานอนกันดีกว่านะ” พูดจบ เจแปนก็ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างของตัวเองเอาไว้พร้อมนอนหันหลังให้พอร์ตด้วยใบหน้าสับสน
เห็นทีเขาคงต้องรีบจัดการเื่นี้จริง ๆ แหละ ก่อนที่พอร์ตจะรู้เื่อะไรที่ไม่ควรรู้และตัวของเจแปนเองก็จะได้ไม่ต้องเกิดอาการแบบนี้