เมื่อเห็นลูกชายได้ยินว่าจะได้ออกไปเที่ยวเล่น ก็ดีใจจนตีลังกา ม้วนตัวเป็ลิงลม หมี่จิ้งเฉิงก็ยิ่งตัดสินใจเด็ดขาด
"ตกลงตามนี้เลย! คืนนี้เราเตรียมของกัน พรุ่งนี้ทั้งครอบครัวออกเดินทางไปเที่ยวกัน ทดสอบรถคันนี้หน่อย ถ้ามันทนทานพอ พรุ่งนี้เราจะไปเที่ยวให้ไกลกว่านี้หน่อย อืม... ไปสวนสาธารณะกันดีไหม"
เมืองนี้เป็เมืองเล็กๆ ไม่ใหญ่โตนัก แต่สวนสาธารณะกลับสร้างใหญ่โต มีทั้งูเา แม่น้ำ และป่าไม้ ถ้าพูดตามภาษาคนยุคหลัง ก็คงต้องบอกว่าเป็เขตอนุรักษ์ธรรมชาติเลยทีเดียว เพราะขนาดของมัน ทำให้มันตั้งอยู่ชานเมือง แต่ตำแหน่งที่ตั้งของมันกลับอยู่ตรงข้ามกับบ้านของพวกเขาพอดี การไปสวนสาธารณะครั้งหนึ่ง ก็เหมือนกับการเดินทางผ่านทั้งเมือง
ข้อเสนอของหมี่จิ้งเฉิง ทำให้หวังหย่วนฉิงรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา นี่เป็ครั้งแรกที่ครอบครัวห้าคนได้ออกเดินทางด้วยกัน นับั้แ่มีลูกสามคน เธอก็เหมือนถูกล่ามโซ่ตรวนไว้แ่า ลืมไปเสียสนิทว่ายังมีวันหยุดอยู่ เพราะถึงจะเป็วันหยุด เธอก็ต้องวุ่นวายกับการดูแลลูกๆ ดูแลบ้าน ไม่มีเวลาพักผ่อนเลย
"ก็ได้ พรุ่งนี้เราเตรียมอาหารและเครื่องดื่มไปเยอะๆ ถ้าไปไกล เราก็กินอาหารกลางวันข้างนอก ถ้าไปไม่ไกล เราก็รีบกลับมากินที่บ้าน ยังไงก็คือไปเที่ยว จะใกล้จะไกลก็ไม่สำคัญ ขอแค่คนในครอบครัวมีความสุขก็พอ"
เื่ทุกอย่างก็ตัดสินใจกันอย่างง่ายดาย เพียงแต่หมี่หลันเยว่ไม่ได้อยู่รอดูจนกว่าแม่จะตกแต่งรถเสร็จ เธออยากเห็นกับตาว่าแม่ตกแต่งรถลากเข็นน้อยคันนี้ยังไง แต่เธอก็ความง่วงไม่ไหว รีบเข้านอนไปั้แ่หัวค่ำ แต่เมื่อเธอตื่นขึ้นในวันรุ่งขึ้น รถเข็นเด็กที่ได้รับการตกแต่งแล้ว ก็ทำให้เธอตกตะลึง
แม่ของเธอเกือบจะทำให้มันกลายเป็งานศิลปะไปแล้ว เมื่อคิดถึงรถเข็นเด็กในความทรงจำของชาติที่แล้วของเธอ มันก็ยังมีความแตกต่างจากคันนี้อยู่บ้าง ความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือ มันไม่ได้ใหม่เหมือนตอนนี้ เพราะหมี่หลันเยว่ในตอนนี้อายุแค่สามขวบ แต่ในชาติที่แล้ว เธอจำความได้ตอนอายุห้าขวบแล้ว ดังนั้นเธอจึงจำรูปร่างใหม่ของรถเข็นเด็กไม่ได้
ยังไงก็ตาม นี่ก็ไม่ใช่เื่น่าเสียใจอะไร ไม่ว่ารถคันนี้จะใหม่หรือเก่า มันก็ได้กลายเป็ความทรงจำของหมี่หลันเยว่ไปแล้ว ชาติที่แล้ว ชาตินี้ และชาติหน้า เธอจะจดจำมันไว้อย่างแน่วแน่ ให้มันกลายเป็อดีตที่ส่องประกายที่สุดในความทรงจำ
"วันนี้อากาศดี แสงแดดก็ดี แต่ก็ต้องป้องกันไว้เผื่อว่าอากาศจะเปลี่ยน ฉันเอาเสื้อคลุมไปให้เด็กๆ เพิ่มคนละตัว แล้วก็เอาผ้าห่มผืนเล็กไปด้วย ถ้าอากาศเปลี่ยนจริงๆ ก็จะเอาเด็กๆ เข้าไปในรถ แล้วห่มผ้าให้ พวกเขาจะได้ไม่หนาว"
ใน่ต้นปี 1970 ก็มีการพยากรณ์อากาศแล้ว แต่ก็ไม่ได้แม่นยำอะไรนัก ยิ่งไปกว่านั้น ต้องเป็บ้านที่มีวิทยุถึงจะได้ฟัง บ้านของเราจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีอุปกรณ์นี้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงสังเกตสภาพอากาศด้วยสายตาของตนเอง ความแม่นยำก็เป็ที่รู้กันอยู่
"ได้ เอาอะไรไปได้ก็เอาไปให้หมด ยังไงก็มีรถนี่ แล้วรถคันนี้รับน้ำหนักได้แน่นอน ตอนทำล้อ ฉันจงใจให้คนใช้ลูกปืนเหล็ก ส่วนตลับลูกปืนก็เป็เหล็ก รับรองว่าแข็งแรงทนทาน ตอนออกแบบชั้นสอง ฉันลังเลนิดหน่อย ไม่กล้ายกตัวรถให้สูงเกินไป กลัวเข็นแล้วจะไม่สบาย"
หมี่จิ้งเฉิงก้มตัวลงมองชั้นสองที่เขาทำขึ้น ห่างจากพื้นรถเพียงประมาณสิบเิเเท่านั้น พื้นที่ใช้สอยจึงไม่มากนัก
"แค่นี้ก็พอแล้ว แค่เอาไว้ใส่อาหารและของใช้ ฉันจะจัดการของให้เป็ระเบียบเอง"
แม่ของเธอจัดของเก่งมาก ในเื่นี้ หมี่หลันเยว่ไม่ได้รับการถ่ายทอดมาเลย แม่มักจะบีบอัดของที่กระจัดกระจายจำนวนมากเข้าไปในพื้นที่เล็กๆ ทำให้พวกมันเป็ระเบียบได้ แต่หมี่หลันเยว่กลับทำได้เพียงทำให้พวกมันกลายเป็กองที่ใหญ่ขึ้น และกระจัดกระจายมากยิ่งขึ้นแทน
เธอกำลังดูแม่จัดของ เธอไม่ได้ยื่นมือเข้าไปช่วย คอยสังเกตการกระทำของแม่อย่างละเอียด เธอหวังว่าในชีวิตใหม่ของเธอ เธอจะเก่งเหมือนแม่ จัดการชีวิตของเธอให้เป็ระเบียบมากขึ้นได้
"เรียบร้อย! ดูสิ พอดีเป๊ะเลย ของทุกอย่างถูกจัดวางไว้แล้ว ผ้าห่มผืนเล็กเอาไว้ข้างในสุด ข้างนอกเป็อาหารและเครื่องดื่ม จะได้หยิบง่ายหน่อย ส่วนเสื้อผ้าของเด็กๆ ก็พับเก็บไว้ในรถเข็น จะหนาวหรือร้อนก็หยิบออกมาได้เลย"
เมื่อเห็นว่าแม่ของเธอทำสำเร็จแล้ว หมี่หลันเยว่ก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้า ของที่แม่จัดวางไว้ช่างน่ามอง สิ่งของที่ยุ่งเหยิงและมีรูปร่างไม่สม่ำเสมอจำนวนมาก กลับถูกจัดวางไว้ในพื้นที่สี่เหลี่ยมผืนผ้าได้อย่างเป็ระเบียบเรียบร้อย แม่ของเธอมีฝีมือที่น่าทึ่งจริงๆ
เด็กเล็กออกไปข้างนอกก็เป็เื่ยุ่งยาก สองสามีภรรยาจัดการปัญหาส่วนตัวของเด็กแต่ละคนไปเสียหมด กินก็กิน ดื่มก็ดื่ม อยากเข้าห้องน้ำก็เข้าให้เรียบร้อย จึงถือว่าเตรียมการทั้งหมดเสร็จสิ้นแล้ว
"ลูกรักทั้งหลาย พวกเราออกเดินทางกันเลย!"
หมี่จิ้งเฉิงอุ้มหมี่หลันซิงน้องคนเล็กไปไว้ในรถเข็น เข็นรถออกไปที่ลานบ้าน ลงกลอนประตูบ้านให้เรียบร้อย แล้วสองสามีภรรยาก็ยกตัวรถเข็น พร้อมกับหมี่หลันซิงที่อยู่ในรถ ลงบันไดหินในลานบ้าน หมี่หลันเยว่กับพี่ชาย หมี่หลันหยางก็พากันเดินตามหลังออกจากลานบ้าน หมี่หลันเยว่เงยหน้าขึ้น ดวงอาทิตย์ขึ้นไปอยู่กลางท้องฟ้า ส่องแสงจ้าจนแสบตา แต่ก็อบอุ่นหัวใจ
หลังจากลงกลอนประตูใหญ่เรียบร้อยแล้ว หมี่จิ้งเฉิงก็อุ้มหมี่หลันเยว่ขึ้นมา หวังหย่วนฉิงช่วยลูกสาวถอดรองเท้า หมี่จิ้งเฉิงก็วางเด็กหญิงตัวน้อยลงในรถเข็นเด็ก หมี่หลันเยว่ที่สวมเสื้อผ้าลายดอกไม้ ก็ดูมีท่าทางเหมือนเ้าหญิงน้อยอยู่บ้าง
"ดูสิ ลูกสาวของฉันสวยแค่ไหน!"
หมี่จิ้งเฉิงก้มลงเอาหน้าผากชนกับหน้าผากของลูกสาว ด้วยความรักใคร่อย่างเต็มเปี่ยม ในใจของพ่อแม่ ลูกของตนเองสวยที่สุดเสมอ ไม่มีลูกของใครมาเทียบได้
เพราะหมี่จิ้งเฉิงและหวังหย่วนฉิงต่างก็หน้าตาดี คนหนึ่งหล่อคนหนึ่งสวย พี่ชายหมี่หลันหยางถึงได้หล่อสะดุดตา แต่หมี่หลันเยว่กลับมีแค่ผิวที่ดีเท่านั้น หน้าตาไม่ได้สวยอะไรมากมาย แค่ปานกลาง หน้าเป็แบบอวบอิ่ม ดวงตาบวมๆ เล็กน้อย ไม่รู้ว่าเป็เพราะอ้วนหรืออะไรกันแน่ แถมยังเป็ตาชั้นเดียวอีกด้วย
หมี่หลันเยว่รู้ดีที่สุดว่าตาสองชั้นของเธอจะเปลี่ยนมาตอนเธออายุสิบเจ็ด แต่เธอจะเริ่มลงมือทำั้แ่ตอนนี้เลย โดยการใช้นิ้วมือกรีดรอยตาสองชั้นทุกวัน ตาสองชั้นของเธอในชาตินี้ น่าจะมาเร็วกว่าเดิม
นอกจากนี้ จมูกก็ไม่โด่งแหลม หน้าผากก็แคบไปหน่อย โหนกแก้มสูงไปนิด คางกว้างไปหน่อย ถึงแม้ว่าจะเล็กน้อย แต่เมื่อมารวมกันอยู่บนใบหน้านี้ ใบหน้าก็ไม่ถึงกับสวยงามอะไรนัก แค่พอใช้ได้ ถึงจะไม่ถึงขั้นขี้เหร่ แต่ก็ดูไม่เข้ากับหน้าตาของพ่อแม่อย่างสิ้นเชิง
คนที่เคยเห็นเธอ ต่างก็คิดว่าการรวมตัวกันของหมี่จิ้งเฉิงและภรรยาที่หล่อและสวยขนาดนี้ ไม่น่าจะให้กำเนิดลูกที่มีหน้าตาแบบนี้ได้ ดังนั้นเธอจึงมีชื่อเล่นว่า 'ยัยหนูขี้เหร่' จริงๆ แล้วไม่ใช่ว่าหมี่หลันเยว่ขี้เหร่ขนาดนั้น แต่ในบ้านหลังนี้ เธอมีรูปร่างหน้าตาเป็ลำดับสุดท้าย แม้แต่น้องชายตาชั้นเดียวคนเล็กก็ยังหน้าตาดีกว่าเธอ
หวังหย่วนฉิงไม่ชอบชื่อเล่นของลูกสาว ในใจของเธอ ลูกสาวของเธอสวยที่สุด จะให้เทียบกันก็ได้ ลองดูสิว่ามีเด็กผู้หญิงบ้านไหน ที่มีผิวขาวเนียนละเอียดเหมือนลูกสาวของเธอบ้าง ผิวขาวช่วยให้สวยขึ้นได้ทุกอย่าง ไม่มีอะไรมาต้านทานได้
ลองดูรูปร่างสูงโปร่งของลูกสาว ที่สูงกว่าเด็กในวัยเดียวกันอย่างน้อยสิบเิเ ยืนอยู่ตรงนั้นก็โดดเด่น ลองดูนิ้วมือที่เรียวยาวและอ่อนนุ่มของลูกสาวสิ มีใครเทียบได้ พวกเขาทำได้แค่อิจฉาเท่านั้น คนพวกนี้ตั้งชื่อเล่นให้ลูกสาวของเธอ ก็เพราะอิจฉาเท่านั้นเอง
"เราเดินไปตามถนนใหญ่กันเถอะ เดินไปตามถนนเรื่อยๆ ถ้ามีที่ไหนน่าสนุก เราก็จะแวะพักสักหน่อย ถ้าไม่มีอะไรน่าสนุก เราก็จะไปที่สวนสาธารณะเลย"
พ่อเข็นรถเข็นเด็ก แม่จูงหมี่หลันหยาง ทั้งครอบครัวเริ่มต้นการเดินทางท่องเที่ยว
เนื่องจากบ้านของพวกเขาอยู่ในพื้นที่เชิงเขา ดังนั้นเมื่อออกจากบ้าน ก็จะเป็ทางลงเขาตลอดทาง เดินได้สะดวกสบายมาก เพียงแต่เมื่อเห็นลูกชายคนโตเอาแต่จ้องรถเข็นเด็ก หวังหย่วนฉิงก็รู้สึกสงสารลูกชายขึ้นมา
"หลันหยาง อยากนั่งรถเข็นเด็กด้วยไหมลูก?"
หมี่หลันหยางมองน้องชายและน้องสาวที่นั่งอยู่ในรถเข็น แล้วส่ายหน้าอย่างหนักแน่น เขาคิดว่าถ้าเขานั่งเข้าไป น้องชายและน้องสาวจะต้องออกมาคนใดคนหนึ่งแน่ๆ ซึ่งมันไม่ถูกต้อง เขาเป็พี่ชาย ต้องให้น้องชายและน้องสาวก่อน รอไปถึงสวนสาธารณะ น้องๆ ออกจากรถแล้ว เขาค่อยนั่งก็ได้
"ผมไม่อยากนั่งรถครับแม่ ผมเดินได้"
ถึงยังไงก็ยังเป็เด็ก ถึงแม้จะพูดว่าไม่อยากนั่งรถ แต่สายตาก็ยังเหลือบมองรถเข็นอยู่ตลอดเวลา
"ไม่เป็ไร รถของบ้านเราใหญ่ นั่งได้สามคนเลยนะ ถ้าไม่เชื่อ ลองเข้าไปนั่งดูไหม?"
หมี่หลันหยางเบิกตากว้าง ไม่ค่อยเชื่อคำพูดของแม่
"นั่งได้สามคนจริงๆ เหรอครับ?"
"แน่นอน พ่อของลูกสร้างรถคันใหญ่ให้ลูกทั้งสามคนเลยนะ"
"ว้าว ผมจะนั่ง ผมจะนั่ง"
ต้องบอกว่ารถเข็นเด็กคันนี้ถูกสร้างขึ้นมาอย่างพิถีพิถันจริงๆ เมื่อหมี่หลันหยางนั่งเข้าไปด้วย เด็กทั้งสามคนถึงแม้จะไม่สบายนัก แต่ก็นั่งได้ จัดมุมให้ดีๆ ก็ยังมีที่เหลืออยู่บ้าง หมี่หลันเยว่ก็พยายามเบียดไปด้านข้าง ให้น้องและพี่ชายมีพื้นที่กว้างขวางมากขึ้น
ครอบครัวห้าคนก็ไปสวนสาธารณะ ท่ามกลางสายตาอิจฉาของคนทั่วไป ถึงแม้ระหว่างทางจะมีแวะพักบ้าง แต่ก็เป็่เวลาสั้นๆ เพราะไม่เหมาะกับการท่องเที่ยวของครอบครัวห้าคน ดังนั้นก่อนอาหารเที่ยง ครอบครัวก็มาถึงจุดหมายปลายทางของวันนี้อย่างราบรื่น นั่นก็คือ สวนสาธารณะ
เมื่อเข้าไปในสวนสาธารณะ หมี่หลันเยว่ก็รู้สึกว่ามันใหญ่กว่าที่เธอจำได้เสียอีก แต่ก็อาจเป็เพราะว่าตัวเธอเล็กลง หวังหย่วนฉิงเลือกพื้นที่หญ้าเขียวชอุ่มแห่งหนึ่ง แล้วนำผ้าผืนใหญ่ที่เตรียมไว้สำหรับบังฝนคลุมรถ มาปูลงบนพื้นหญ้า
เมื่อเห็นว่าแม่เริ่มวางผลไม้ ขนม และเครื่องดื่มที่ทำเองต่างๆ หมี่หลันเยว่ก็เข้าไปช่วย ผลไม้ทั้งหมดถูกล้างและหั่นไว้ที่บ้านแล้ว ส่วนขนมก็คือขนมไข่นุ่มๆ หวานๆ หอมๆ ที่แม่ตั้งใจทำ และขนมงาหอมกรอบ
ส่วนเครื่องดื่มก็คือ น้ำส้มสายชูที่พ่อผสมกับน้ำตาลเล็กน้อย ชงด้วยความสุขใจ ตั้งชื่อให้มันว่า 'น้ำส้มสายชูหวาน' ไม่ใช่ว่าหมี่หลันเยว่โอ้อวด แต่รสชาติเปรี้ยวๆ หวานๆ ของมันอร่อยมากจริงๆ นี่ก็เป็ความทรงจำที่ค่อนข้างลึกซึ้งของหมี่หลันเยว่เช่นกัน ทุกๆ ปีในงานกีฬาสีและวันเด็ก หมี่หลันเยว่จะนำเครื่องดื่มพิเศษนี้ไปเข้าร่วมกิจกรรมที่โรงเรียนจัดขึ้นด้วย
ในขณะที่แม่กำลังวางของ พ่อก็พาลูกชายทั้งสองไปจัดการธุระส่วนตัว เมื่อพวกเขากลับมา แม่ก็พาหมี่หลันเยว่ไปเข้าห้องน้ำบ้าง แล้วกลับมาเห็นหลันหยางและหลันซิงเริ่มลงมือแล้ว ถึงแม้ว่าของจะไม่มากนัก แต่นี่ก็คือทั้งหมดที่บ้านสามารถนำออกมาได้แล้ว คนในครอบครัวนั่งล้อมวงกันบนผ้าผืนใหญ่ แบ่งปันความรักของพ่อแม่ ปิกนิกบนพื้นหญ้าช่างอบอุ่นและโรแมนติก