ตอนที่ 54 ยกน้ำชา
มู่อวิ๋นจิ่นนึกว่าองค์ชายจะวางนางไว้ที่ห้องโถงรับรอง แต่ฉู่ลี่กลับแบกนางไปที่ห้องด้านหลังของจวน
หลังจากเข้าห้องไปฉู่ลี่ก็วางมู่อวิ๋นจิ่นลงนั่งบนเตียง เสียงบ่าวใช้ที่ยืนอยู่ด้านนอกพลันดังขึ้นด้วยความเปรมปรีดิ์ “เสร็จพิธี”
เมื่อมู่อวิ๋นจิ่นได้ยินก็ดึงผ้าคลุมหน้าสีแดงลงด้วยตัวนางเอง ก่อนจะมองไปที่ฉู่ลี่ “หมายความว่าอย่างไร?”
“เ้ากับข้าไม่ได้แต่งด้วยความสมัครใจ ไม่จำเป็ต้องไหว้ฝ้าดินให้มากความไปหรอกกระมัง?” ฉู่ลี่แสยะยิ้มมุมปาก โดยมีมู่อวิ๋นจิ่นนั่งจ้องเขาตาเป็มันอยู่บนเตียง
มู่อวิ๋นจิ่นชะงักไปชั่วขณะ ก่อนที่แววตาจะเปล่งประกายความประหลาดใจออกมา “นั่นหมายความว่า ข้ากับเ้าไม่เคยไหว้ฟ้าดินตกลงเป็สามีภรรยากันอย่างถูกต้องตามประเพณี ถ้าอย่างนั้นวันใดที่ข้าพบเจอบุรุษที่ถูกใจ ย่อมสามารถแต่งได้ตามปรารถนาใช่หรือไม่?”
ฉู่ลี่คาดคิดไม่ถึงว่ามู่อวิ๋นจิ่นจะกล่าวออกมาอย่างตรงไปตรงมา ประโยคที่ว่านางขอแต่งงานกับบุรุษอื่นได้ตามใจปรารถนา ทำให้ฉู่ลี่เอ่ยตอบด้วยเสียงราบเรียบ “ก็น่าจะเป็เช่นนั้น”
“ดีที่เ้ายังจิตใจดีอยู่บ้าง” มู่อวิ๋นจิ่นเอ่ยออกด้วยความโล่งใจ
หลังจากนั้นมู่อวิ๋นจิ่นได้เอ่ยถามขึ้นต่อ “เอาล่ะ องค์ชาย องค์หญิงของเ้าที่เหลือยังอยู่ด้านนอก หากคนเ่าั้รู้ว่าเ้ายังไม่ได้ร่วมไหว้ฟ้าดินตามประเพณีเช่นนั้น เ้าไม่เกรงกลัวจะถูกนำไปซุบซิบนินทาอย่างนั้นหรือ?”
“องค์ชายอย่างข้าย่อมมีแผนในใจที่วางไว้เรียบร้อยแล้ว” ฉู่ลี่ตอบ
มู่อวิ๋นจิ่นร้อง “อ่อ” ขึ้นมาเป็การรับทราบ จากนั้นก็ไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใดต่อ เอาแต่มองไปรอบ ๆเมื่อเห็นห้องที่ประดับตกแต่งอย่างงดงามเช่นนี้ ก็พลันเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมา
“พวกเราคงจะไม่ได้นอนอยู่ห้องเดียวกันใช่หรือไม่?”
ฉู่ลี่พยักหน้าอย่างเชื่องช้า “เ้ากับข้าอยู่ในเรือนเดียวกัน ห้องนี้เป็ของเ้า ส่วนข้าจะอยู่ห้องข้าง ๆ”
“อืม เช่นนั้นก็ดี คนอื่นจะได้ไม่ต้องสงสัย” มู่อวิ๋นจิ่นกล่าวอย่างโล่งอก คิดไม่ถึงว่าจะได้มาพบเจอเื่ดี ๆ เช่นนี้
ไม่เพียงแต่จะสามารถหลุดพ้นออกจากจวนอัครเสนาบดีได้เท่านั้น แต่ยังสามารถมากินนอนอย่างสบายใจที่จวนองค์ชายหกได้อีก ชีวิตของนางช่างโชคดีอะไรเช่นนี้!
…
หลังจากนั้นตลอดทั้งวัน มู่อวิ๋นจิ่นได้นั่งอยู่ในห้องคนเดียว ฟังเสียงของบ่าวใช้ด้านนอกกระซุบกระซิบกันอย่างสนุกสนาน
ด้วยความรู้สึกดีใจที่ตกลงกับฉู่ลี่ได้แล้วนั้น มู่อวิ๋นจิ่นจึงนั่งหยิบของว่างบนโต๊ะกับร่ำสุราอย่างสบายอกสบายใจ
จนกระทั่งแม่นมคนหนึ่งผลักประตูเดินเข้ามาในห้อง “คุณหนูทำไมถึงทานขนมก่อนล่ะเ้าคะ?”
“อีกตั้งนานกว่าจะมืด ข้านั่งอยู่ในห้องคนเดียวตั้งนานสองนาน จะทานอะไรนิดหน่อยคงไม่เป็ไรกระมัง” มู่อวิ๋นจิ่นเอ่ยขึ้น
แม่นมที่ได้ยินถึงกับหัวเราะออกมา “พอผ่านค่ำคืนนี้ได้ คุณหนูก็จะกลายเป็ชายาองค์ชายหกแล้ว นับจากนี้อยากทานอะไรย่อมได้ทั้งนั้น ไม่มีวันอดอยากหิวโซแน่เ้าค่ะ”
พอแม่นมกล่าวจบ ก็ได้นำผ้าไหมสีขาวผืนหนึ่งวางลงเตียงของมู่อวิ๋นจิ่น
ทันทีที่มู่อวิ๋นจิ่นเห็นผ้าขาวจึงถามด้วยความฉงน “นี่มันคืออะไรกัน?”
ฉินไท่เฟยกำชับกำชาบ่าวให้นำมา เพื่อจะได้ตรวจสอบในวันพรุ่งนี้เ้าค่ะ” แม่นมกล่าวไปพลางยกมือขึ้นปิดปากที่อมยิ้มอย่างมีนัยยะ
ทันใดนั้น มู่อวิ๋นจิ่นก็เข้าใจในทันที หน้าของนางแดงขึ้นอย่างฉับพลันด้วยความเก้อเขิน
ก่อนที่แม่นมจะเดินจากไปนั้น ได้หันมากำชับมู่อวิ๋นจิ่นอีกรอบว่า “สุราที่วางอยู่บนโต๊ะนี้อย่าดื่มมากเกินไปนะเ้าคะ”
“ข้าทราบแล้วแม่นม” มู่อวิ๋นจิ่นเอ่ยอย่างเหนื่อยหน่าย
เมื่อแม่นมเดินออกไปแล้ว มู่อวิ๋นจิ่นลุกขึ้นมานั่งบนเตียง คว้าผ้าไหมสีขาวขึ้นมาพินิจด้วยแววตาที่แสดงออกถึงความขยะแขยง
สภาพท้องฟ้าค่อย ๆ มืดมิดลงอย่างเชื่องช้า เสียงของบรรดาแเื่นค่อย ๆ เงียบลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งประตูถูกเปิดออกอีกครั้ง
ฉู่ลี่ก้าวเท้าเข้ามาในห้องเห็นมู่อวิ๋นจิ่นหน้าแดงอยู่บนเตียง ผมเพ้าที่เกล้าไว้ถูกปล่อยลงมา ให้ความรู้สึกงดงามไปอีกแบบหนึ่ง
พอเห็นของว่างและสุราที่วางอยู่บนโต๊ะถูกทานจนหมด ฉู่ลี่ถึงหลุดหัวเราะออกมา “ช่างอ่อนหัดเสียจริง”
…
ในวันถัดมา มู่อวิ๋นจิ่นถูกจื่อเซียงปลุกให้ตื่น
“คุณหนูรีบตื่นเถอะเ้าค่ะ วันนี้ต้องเข้าไปยกน้ำชาให้ฉินไท่เฟยในวังหลวง จากนั้นต้องกลับไปเยี่ยมท่านพ่อท่านแม่ที่จวนอัครเสนาบดีเ้าค่ะ”
มู่อวิ๋นจิ่นที่อยู่ในภวังค์แห่งความฝันค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างช้า ๆ โดยกวาดสายตามองไปรอบห้อง ยกมือขึ้นเกาศีรษะไปมา ก่อนนึกถึงเื่ที่นางเข้ามาในจวนองค์ชายหกเมื่อวานนี้
จื่อเซียงเบือนปากด้วยความร้อนใจมองมู่อวิ๋นจิ่นที่เพิ่งตื่นขึ้นมา
“เ้าเป็อะไรไป? ใครมารังแกเ้า?” มู่อวิ๋นจิ่นเอ่ยถามขึ้นด้วยความห่วงใย
จื่อเซียงส่ายหน้าปฏิเสธ พร้อมกับเอ่ยปากด้วยความรู้สึกไม่เป็ธรรม “นึกไม่ถึงเมื่อคืนที่ผ่านมาองค์ชายหกไม่ได้ร่วมหอกับคุณหนู ไม่รู้ว่าองค์ชายหกหมายความว่าอย่างไง ตั้งใจจะดูถูกเหยียดหยามคุณหนูของบ่าวใช่หรือไม่เ้าคะ?”
“เ้านี่ พูดเพ้อเจ้ออะไรแบบนี้” มู่อวิ๋นจิ่นรีบลุกขึ้นนั่งและถามขึ้น “หรือว่าต้องร่วมหอกันแล้วถึงนับว่าไม่ใช่การดูถูกเหยียดหยาม?”
“บ่าว…” จื่อเซียงถูกถามจนพูดอะไรไม่ออก
มู่อวิ๋นจิ่นบิดี้เีและยืดเส้นยืดสาย จากกนั้นก็บอกกับจื่อเซียงว่า “ข้าอยากอาบน้ำแล้ว”
หลังจากอาบน้ำเสร็จไม่นาน มู่อวิ๋นจิ่นเดินไปยืนเลือกเสื้อผ้าอาภรณ์อย่างพินิจพิเคราะห์
เมื่อเห็นมู่อวิ๋นจิ่นเลือกเสื้อผ้าดังนั้น จื่อเซียงจึงเดินเข้าไปเลือกชุดกระโปรงสีม่วงอ่อนให้แก่นาง และเอ่ยปากบอกกับนางว่า “เมื่อครู่บ่าวเห็นองค์ชายหกใส่อาภรณ์สีม่วงเ้าค่ะ”
มู่อวิ๋นจิ่นมองดูชุดสีม่วงอ่อนอย่างพิจารณา แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ก่อนจะค่อยๆ เปลี่ยนชุดอย่างเชื่องช้า
จากนั้นมู่อวิ๋นจิ่นเดินเข้ามานั่งเก้าอี้โดยมีจื่อเซียงเป็คนช่วย เกล้าผมขึ้นก่อนจะบรรจงเสียบปิ่นไข่มุกที่มีความงดงามประณีตลงไป
“ข้าไม่ชอบการเกล้าผมแบบนี้” มู่อวิ๋นจิ่นรู้สึกว่าทรงนี้ทำให้นางดูแก่ขึ้นไปถนัดตา
“คุณหนูได้แต่งงานออกเรือน นับเป็ผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว วันนี้ต้องไปเข้าเฝ้าฝ่าา และฮองเฮาอีกนะเ้าคะ” จื่อเซียงอธิบายเป็ฉาก ๆ
มู่อวิ๋นจิ่นแอบขมวดคิ้วขึ้นที่ได้ยินจื่อเซียงบอกว่านางเป็ผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว
นางอายุเพียงสิบหกปีเท่านั้น หากเป็ปัจจุบันนี้อย่างมากนางก็แค่นักเรียนชั้นมัธยมปลาย แต่พอเป็ยุคโบราณกลับเป็ผู้ใหญ่ที่แต่งงานออกเรือนไปเสียแล้ว
จนกระทั่งมู่อวิ๋นจิ่นเกล้าผมเป็ที่เรียบร้อยแล้วพร้อมจะเข้าวังหลวง จื่อเซียงกลับเอ่ยขึ้นอย่างไม่คาดคิด “คุณหนู เมื่อครู่แม่นมเสิ่นพูดกับบ่าวว่าให้นำผ้าไหมขาวออกไปด้วย สรุปแล้วเป็ผ้าไหมแบบไหนเ้าคะ?
ผ้าไหมสีขาว…
มู่อวิ๋นจิ่นจนปัญญาเดิน ก่อนจะเดินไปที่เตียงนอนอ่อนนุ่ม หยิบผ้าไหมสีขาวขึ้นมา จากนั้นกัดปลายนิ้วให้เืออก หยดลงไปบนผ้า
พอเห็นเืของนางเลอะจนทั่วผ้าไหมขาวแล้ว มู่อวิ๋นจิ่นรู้สึกฉงนกับสิ่งที่ตนเองต้องกระทำอยู่เหมือนกัน
หลังเสร็จสิ้น มู่อวิ๋นจิ่นได้เดินออกมาสูดอากาศ เมื่อมองไปรอบ ๆ เห็นแสงตะวันกำลังสาดส่องไปที่ด้านข้าง และพบกับห้อง ๆ หนึ่ง ดูท่าห้องนั้นน่าจะเป็ห้องของฉู่ลี่
พอมองอย่างพินิจห้องของฉู่ลี่นั้นก็อยู่มิไกลเลย
จื่อเซียงได้สำรวจทิศทางและสถานที่ต่าง ๆ ในจวนองค์ชายหกเป็อย่างดีแล้ว พอมู่อวิ๋นจิ่นก้าวออกจากห้อง นางก็แนะนำสถานที่ต่าง ๆ ภายในจวนให้ผู้เป็นายฟัง “คุณหนูกับองค์ชายอยู่กันที่เรือนลี่เฉวียน ซึ่งชื่อนี้เป็ชื่อเดียวกับตำหนักสายธาราขององค์ชายที่อยู่ในวังหลวง”
“หากเดินออกจากเรือนลี่เฉวียนออกมาด้านขวาจะเป็สวนดอกไม้ ส่วนทิศตะวันตกยังมีเรือนที่ว่างอยู่หลายหลังคงจะให้…” จื่อเซียงรู้สึกขึ้นมาได้ว่าตัวนางพูดเยอะเกินไปแล้วจึงเงียบเสียดีกว่า
มู่อวิ๋นจิ่นได้ยินเช่นนั้นคิ้วบนใบหน้ากับเลิกขึ้นด้วยความฉงนใจ “ให้กับพวกชายาเล็กชายาน้อยล่ะสิ”
“คุณหนู…”
จื่อเซียงเดินนำมู่อวิ๋นจิ่นมาจนถึงหน้าเรือนองค์ชายหก ขณะนั้นฉู่ลี่ได้นั่งอยู่เป็ที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีติงเสี่ยนยืนอยู่ข้างกายคอยมองมู่อวิ๋นจิ่นเดินผ่านสวนดอกไม้ด้วยความรู้สึกฉงน
จากนั้นติงเสี่ยนยิ้มแห้ง ๆ ให้กับมู่อวิ๋นจิ่น ก่อนจะกล่าวทักทาย “ข้าน้อยคารวะชายาหกพ่ะย่ะค่ะ”
มู่อวิ๋นจิ่นได้ฟังที่ติงเสี่ยนเรียกก็ทำท่าทำทางพยักหน้ารับ ทว่าไม่ได้เอ่ยสิ่งใดต่อ จากนั้นเดินผ่านเข้าไปถามฉู่ลี่ “จะเข้าไปวังหลวงเมื่อไหร่?”
ทางด้านแม่นมเสิ่นที่ยืนอยู่ในห้องรีบเอ่ยปากขัดขึ้นทันที “ชายาหก หากอยู่เบื้องหน้าองค์ชายหกเช่นนี้ ต้องเพิ่มคำว่าองค์ชายลงไปก่อนหน้าด้วย นี่เป็กฎพื้นฐานเ้าค่ะ”
“อ่อ” มู่อวิ๋นจิ่นแอบตอบอย่างไม่ค่อยพอใจ ขมวดคิ้วมองไปทางฉู่ลี่ก่อนจะถามขึ้นอีกครั้งว่า “พวกเราจะเข้าไปวังหลวงเมื่อไหร่กัน?”
สีหน้าของแม่นมเสิ่น เปลี่ยนเป็หน้าบูดหน้าบึ้งขึ้นมาทันใด
ฉู่ลี่เห็นว่านางไม่สนใจสิ่งที่แม่นมเสิ่นเอ่ยไปเมื่อครู่ ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อย กลับแสยะยิ้มมุมปากแทน “ทานอาหารเช้าก่อนแล้วกัน”
“ได้สิ” มู่อวิ๋นจิ่นพยักหน้ารับ
…
บนโต๊ะอาหาร มู่อวิ๋นจิ่นค่อย ๆ ตักโจ๊กถั่วแดงขึ้นทานอย่างเชื่องช้า โดยมีแม่นมเสิ่นยืนยิ้มอยู่ ก่อนจะเอ่ยปากถามมู่อวิ๋นจิ่นว่า “พระชายาหกได้นำผ้าไหมติดมาด้วยหรือไม่เ้าคะ?”
เมื่อได้ยินคำว่าผ้าไหมสีขาว ฉู่ลี่หันมองไปทางมู่อวิ๋นจิ่นด้วยสีหน้างงงวยเล็กน้อย
มู่อวิ๋นจิ่นััได้ถึงสายตาของฉู่ลี่ที่จับจ้องมา แต่นางก็มองค้อนกลับไปในทันที จากนั้นควักผ้าไหมสีขาวยื่นออกไปให้แม่นมเสิ่น
แม่นมเสิ่นรับผ้าไหมขาวไปแล้วมองเห็นคราบเืแดงที่เลอะเปรอะอยู่ ถึงกับกลั้นหัวเราะไม่ไหว “บ่าวยินดีกับองค์ชาย ยินดีกับพระชายาด้วยเ้าค่ะ”
มู่อวิ๋นจิ่นรีบก้มหน้าหลบตา ราวกับไม่ได้ยินเสียงที่แม่นมเสิ่นเอ่ยขึ้นเมื่อครู่
ฉู่ลี่ที่เห็นผ้าไหมขาวพลันทราบได้ทันที ว่าเหตุใดมู่อวิ๋นจิ่นต้องพันแผลที่นิ้วด้วย จึงเอาแต่จ้องไปที่นางที่กำลังก้มหน้าก้มตา
หลังจากที่ทานอาหารเช้าเป็ที่เรียบร้อย มู่อวิ๋นจิ่นกับฉู่ลี่จึงเดินทางออกจากจวน ขึ้นรถม้ามุ่งหน้าไปยังวังหลวง
พอขึ้นรถม้าเท่านั้น มู่อวิ๋นจิ่นไม่ได้สนใจการรักษาท่าทาง จึงยื่นขาออกไปพาดกับที่นั่งฝั่งตรงข้าม หาวออกมาปากกว้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยความอ่อนเพลีย
ฉู่ลี่เห็นกิริยาท่าทางเช่นนั้นถึงกับเม้มปากแน่น “เอาขาลงเดี๋ยวนี้”
มู่อวิ๋นจิ่นที่หลับตาอย่างสบายใจ จำใจต้องเหล่ตาขึ้นมองฉู่ลี่ด้วยความไม่พอใจ นางยอมเอาขาทั้งสองข้างลงมาอย่างโดยดี แต่ภายในใจกลับต่อว่าต่อขานยกใหญ่
หลังจากมาถึงวังหลวง เมื่อลงจากรถม้าแล้วนั้น มู่อวิ๋นจิ่นก็เดินไปพร้อมกับฉู่ลี่มุ่งหน้าเข้าประตูวังหลวง พร้อมกับคิดในใจว่าโชคดีเหลือหลายที่วันนี้แค่ยกน้ำชาให้ฉินไท่เฟยเท่านั้น หากแม้ต้องยกน้ำชาให้เจิ้งไทเฮาหรือคนอื่น ๆ ก็ไม่รู้ว่าจะโดนเล่นงานอะไรบ้าง
เมื่อผ่านสวนดอกไม้อวี่ฮวา มีนางกำนัลและขันทีไม่น้อยที่เมื่อเห็นฉู่ลี่และมู่อวิ๋นจิ่นเดินผ่านมา ก็ทำให้รู้สึกว่าท่าทางของทั้งคู่นั้นเหมาะสมกันยิ่งนัก
ฉู่ลี่พามู่อวิ๋นจิ่นไปที่สวนดอกเหมยเหมือนครั้งก่อน ครั้นเมื่อจะเข้าไปในสวน แม่นมชวีได้ออกมายืนต้อนรับ แล้วทำความเคารพคนทั้งสอง
“ไท่เฟยกำลังรอทั้งสองท่านอยู่ที่สวนดอกเหมยเพคะ”
หลังจากที่มาถึงสวนดอกเหมยแล้ว มู่อวิ๋นจิ่นเห็นฉินไท่เฟยนั่งรออยู่ที่ศาลาเหลียง จึงรีบก้าวเดินไปหาด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม
“คารวะท่านย่า” ฉู่ลี่เพียงทำความเคารพฉินไท่เฟยเท่านั้น
ฉินไท่เฟยมองดูฉู่ลี่และมู่อวิ๋นจิ่นด้วยความพออกพอใจ พลางเหลือบมองผ้าไหมขาวที่อยู่ในมือของแม่นมเสิ่น ก่อนหันหน้าไปส่งสายตาให้แม่นมชวี
แม่นมชวีเข้าใจที่ฉินไท่เฟย้าสื่อจึงเอ่ยขึ้นว่า “เชิญองค์ชายหกยกน้ำชาได้”
เมื่อกล่าวจบลงนางกำนัลคนหนึ่งก็เดินยกถาดน้ำชาเข้ามา
มู่อวิ๋นจิ่นก้าวเดินไปข้างหน้าพร้อมกับยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาหนึ่งแก้ว หันไปคุกเข่าทำความเคารพฉินไท่เฟยตรงเบื้องหน้า “หลาน… หลานชื่ออวิ๋นจิ่น เชิญท่าน… ท่านย่าดื่มชาเ้าค่ะ”
เมื่อเห็นมู่อวิ๋นจิ่นกล่าวตะกุกตะกัก ฉู่ลี่แอบยิ้มมุมปากขึ้นมาเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าสุนัขจิ้งจอกเ้าเล่ห์นี้จะตื่นเต้นเป็ด้วย
ฉินไท่เฟยเห็นมู่อวิ๋นจิ่นยกน้ำชาถวาย ถึงกับอดยิ้มเสียมิได้ “ดี ดี!”
จากนั้นก็รับถ้วยน้ำชาขึ้นมาดื่ม