“พระธิดา!!! เสด็จเร็วเพคะ ประตูทิศตะวันตกพังแล้ว…!!!”
... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ...
เสียงกลองศึกดังกึกก้องไปทั่วพื้นพสุธา ราวฟ้าะเิกลางวันแสกๆ สายลมตะวันตกพัดแรง กลิ่นคาวเืคละคลุ้งปะปนกับกลิ่นธูปหอมจากวิหารกลางนคร เสียงสวดบวงสรวงของพราหมณ์มิอาจกลบเสียงคำรามของศัตรูที่กำลังไล่บดขยี้เข้าใกล้กำแพงหลวง
พระราชวังสุบรรณนาฏราช แห่งนครทวารกะ ซึ่งตั้งอยู่เหนือเนินศิลาทอง คือ ศูนย์กลางแห่ง ราชอาณาจักรกัมโพชน์ ดินแดนแห่งอารยธรรมชมพูทวีปอันรุ่งโรจน์ สง่างดงามราวภาพวาดแห่งห้วงจินตนาการ ทว่าบัดนี้ ทั้งสายน้ำ ศิลา และวังหลวงกลับต้องสะท้านะเืด้วยรอยเท้าของม้าศึกแห่งกองทัพอารยัน
“ขอประทานอภัยเพคะ พระธิดาอย่าเสด็จไปด้านนอกเลยเพคะ ภายนอกนั่นหาใช่ที่สำหรับพระองค์ไม่…!!!”
เสียงวิงวอนของนางข้าหลวงผู้ชราสั่นเครือขณะหมอบกราบอยู่แทบบาทของ พระธิดา อัมพุชินี พระธิดาองค์สุดท้องใน าาธิบดีสิวราช แห่งกัมโพชน์
พระธิดามิได้ตรัสตอบ ดวงเนตรอ่อนละมุนดำขลับเต็มไปน้ำพระเนตร แต่ดำเนินอย่างสง่างามประหนึ่งนางอัปสรบนชั้นฟ้า เส้นพระเกศาดำยาวดุจใยไหมสะบัดตามแรงลม สาหรีผืนงามขลิบทองพลิ้วไหวท่ามกลางกระแสฝุ่นละอองจากศึกที่ปลิวฟุ้งเข้ามาภายในพระตำหนัก
“พระบิดาเสด็จสู่แนวหน้า ข้าจักทอดทิ้งพระองค์อย่างไรได้” น้ำพระทัยกริ่งเกรงแต่ยังแฝงด้วยพระสติมั่นคง
“แต่ทัพอารยันฝ่าแนวกำแพงชั้นนอกเข้ามาแล้ว ขอได้โปรดเสด็จไปยังคูหาหลบภัยเถิด พระเ้าข้า”
เสียงโห่ร้องของเหล่าทหารดังแทรกขึ้นมาจากกำแพงเมือง เสียงโลหะปะทะเกราะกันสนั่น เสียงม้าศึกอาชาไนยร้องคำราม กัมปนาทดังกึกก้องกระทบพสุธา เหล่าทหารองครักษ์วิ่งกรูกันเข้าสู่ชั้นในของตัวพระราชวังด้วยใบหน้าเปื้อนโลหิต
“พระธิดา!!! เสด็จเร็วเพคะ ประตูทิศตะวันตกพังแล้ว…!!!”
อัมพุชินีหันหน้าขึ้นสู่เบื้องฟ้าอันเต็มไปด้วยหมอกควัน รำพึงแ่เบา...
“มหามณฑลทองของพระมิ่งแก้วของลูก...บัดนี้มัวหม่นคล้ายร่วงหล่น ดั่งบุญญากำลังจะดับสิ้น”
นิ้วเรียวงามของพระธิดากำลังกำแผ่นผ้าไหมซึ่งเป็สิ่งสุดท้ายจากฝีพระหัตถ์พระมารดาผู้ล่วงลับ แผงขนตางอนงามกะพริบถี่ๆ ด้วยหทัยวิตกยิ่ง ก่อนจะดำเนินกลับเข้าภายในมหาวิหารกลางพระราชวัง เพื่อเข้าเฝ้าพระบิดา
แต่แล้ว...เสียงบานทวารหลวงถูกกระแทกเปิดออกอย่างรุนแรง พร้อมแสงเพลิงจากคบไฟของข้าศึกสาดส่องเข้ามาภายในวิหาร ทหารอารยันนับสิบบุกทะลวงพร้อมหอกและดาบ ทหารกัมโพชน์ผู้ภักดีต่อราชวงศ์พลีชีพอย่างหาญกล้า หนึ่งต่อสิบ สองต่อยี่สิบสามสิบ ศัตรูมากยิ่ง...เกินต้านไปเสียแล้ว
ท่ามกลางเสียงคำรามโห่ก้องดารดาษไปด้วยโลหิตนองทั่ว ผู้หนึ่งถูกพยุงมายังเบื้องหน้าพระธิดา
“ฮะ...พระบิดา !!!”
าาสิวราช พระวรกายเต็มไปด้วยาแ พระโลหิตหยดลงจากพระอุระ นองท่วมเครื่องทรงงามสง่า พระองค์แลดูเศร้าโศกสุดพรรณนา พระธิดาทรุดลงหมอบแนบพื้นด้วยหทัยระทม
“พระบิดา... อย่าเสด็จออกไปอีกเลยเพคะ” น้ำเสียงสั่นเครือขณะขอร้อง
“ลูก... เ้าต้องหนี... เอาชีวิตให้รอด... อัมพุชินีของพ่อ” พระาาตรัสอย่างกล้ำกลืนแหบแห้ง
ดวงเนตรของพระธิดาแดงก่ำ น้ำพระเนตรไหลนองมิขาดสาย เสียงสะอื้นดังระงม“ลูกจะไม่ไปไหนทั้งสิ้น หากมิได้ไปพร้อมพระองค์!!!”
“ลูกขอออกไปแทน พระองค์เสด็จเถิด เพคะ!!!” พระธิดาตัดสินพระทัยอย่างเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ
แต่ก่อนที่พระบิดาจะเปล่งวาจาใดใดอีก เสียงย่างเท้าลงเป็จังหวะของชายผู้หนึ่งก็มาหยุดลงตรงหน้าทั้งสองพระองค์
“พระธิดาน้อยแห่งกัมโพชน์... ข้าเกรงว่าเ้าไม่มีสิทธิ์เลือกแล้ว...”
ผู้เอ่ยคำเยาะหยันนั้น คือ คีระ แม่ทัพใหญ่ของกองทัพอารยัน ผู้มีดวงตาเ็า ใบหน้าเฉยเมย เรียวปากเรียบสนิทแฝงด้วยการหยามเหยียด
“เ้าหญิงผู้งามสง่า...เช่นเ้า หาได้ควรแก่ความตายไม่ หากแต่ควรแก่การเป็ของกำนัล”
อัมพุชินีจ้องสายตาประสานกลับไปอย่างเยือกเย็น แม้ดวงหน้าจะหม่นหมองยิ่ง แต่อิริยาบถยังสง่างามราวดอกบัวต้องแสงตะวันยามรุ่งอรุณ
“ของกำนัลแด่พันธมิตรบนดินแดนไกลโพ้น ไอยคุปต์!!!” แม่ทัพคีระประกาศเสียงดังก้อง
และนับจากวันนั้น…พระธิดาแห่งราชอาณาจักรกัมโพชน์ มิได้เป็เ้าหญิงอีกต่อไป
… … … …
ท่ามกลางแสงแดดแผดเผาบนทะเลทรายแห่งตะวันตก ผืนทรายระอุด้วยไอร้อนดั่งเปลวเพลิง ล้อเกวียนไม้ดังกุกกัก ขบวนทาสเดินเรียงรายทอดเป็สายยาวในความเงียบ
ภายในเกวียนตอนท้าย หญิงสาวผู้มีผิวดุจงาช้าง และดวงตาดำขลับกำลังจ้องมองเส้นขอบฟ้าอย่างแน่วแน่
หลายวันแล้ว อัมพุชินีสงบนิ่งมิได้เอ่ยอันใดออกมา ดวงตาคมนั้นเคยอบอุ่นยามได้เหลียวแลประชาชน มาบัดนี้กลายเป็ดวงจันทร์อันหนาวเหน็บท่ามกลางคืนแสนเปลี่ยวเดียวดาย
นิ้วเรียวงามยังกำแผ่นผ้าไหมไว้แน่น เป็ของชิ้นเดียวจากวังหลวง ซึ่งเปื้อนโลหิตของพระบิดา
“ข้าจะอยู่ ข้าจะมีลมหายใจ... เพื่อความทรงจำของพระองค์” น้ำเสียงสะอื้นไห้อยู่ในหทัยอันเด็ดเดี่ยว
เมื่อขบวนทาสผ่านพ้นทะเลทรายสู่ดินแดนแห่งอียิปต์ นคร “วาเซต” ต้อนรับขบวนด้วยประตูศิลาสลักเทพเ้าแห่งแม่น้ำไนล์ ทั้งสองฟากทางเดิน คือเสาโอเบลิสก์ และวิหารหินสูงเสียดฟ้า
แต่ละก้าวที่ดำเนินผ่านพ้นไป หัวใจของพระธิดาแห่งแคว้นล่มสลายยิ่งเต้นระทึก
“ข้าจักเผชิญทุกสิ่งด้วยใจมั่น!!!” เธอรำพึงเบาๆ อยู่ภายใน
เมื่อขบวนเคลื่อนสู่ลานพระราชวังของไอยคุปต์ เสียงร้องประกาศดังกึกก้อง
“ฟาโรห์เมเรนคาเร เสด็จออกทอดพระเนตร…!!!”
ทาสหญิงทุกคนหมอบกราบแนบพื้น พวกนางล้วนหวาดกลัวนามของราชันผู้ทรงสิริโฉมและยิ่งใหญ่ ทว่าเยือกเย็นประดุจกำแพงน้ำแข็ง ราชันซึ่งหทัยมิเคยหวั่นไหว แม้นมีสนมนับร้อยก็ยังมิได้เลือกผู้ใดเป็ราชินีเคียงคู่บนบัลลังก์
“หญิงผู้นั้น... คนสุดท้ายในแถว... จงเงยหน้าขึ้น!!!”
น้ำเสียงเยือกเย็นเอ่ยขึ้นจากบัลลังก์ทองคำสูงชัน เสียงนั้นแฝงไว้ด้วยอำนาจและความว่างเปล่า อัมพุชินีคลุมหน้าไว้ ครั้นได้ยินถ้อยคำนั้นแล้ว หัวใจสั่นไหวกระตุกเต้นเสียงดังตูมตามในบัดดล
เธอเงยหน้าขึ้นช้าๆ ดวงตาดำขลับของเธอสบประสานกับดวงเนตรสีอำพันของฟาโรห์ผู้ยิ่งใหญ่ และแล้วในชั่วพริบตานั้นเอง... กลิ่นบัวหลวงแห่งลุ่มน้ำไนล์พลันอบอวล
เมื่อเ้าหญิงผู้แพ้พ่าย... ได้สบดวงเนตรกับราชันผู้ไม่เคยพ่าย
บริบทใหม่ของสองแผ่นดินจึงเริ่มต้น ณ ที่แห่งนี้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้