“ท่านแม่ช่วยพยุงข้าไปที่ห้องคลอดตรงห้องปีกตะวันตก” จางกุ้ยฮัวปวดจนเหงื่อซึมทั่วตัว หลังจากผ่านการคลอดลูกมาสามคนก็รู้ว่าเด็กในครรภ์นี้รีบร้อนจะออกมา
ทั้งครอบครัวต่างยุ่งวุ่นวายกันพาจางกุ้ยฮัวย้ายไปที่ห้องคลอด เฉินซื่อสั่งให้หลิวชิวเซียงไปเอาของที่เตรียมไว้ออกมา แล้วสั่งให้หลิวเต้าเซียงไปต้มน้ำ
หลิวเต้าเซียงกําลังต้มน้ำในขณะที่มองไปยังประตูบ้านอย่างกระวนกระวายใจบิดาของนางออกไประยะหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังไม่พาหมอตำแยกลับมาเสียที จึงเป็กังวล
เฉินซื่อก็รู้สึกแปลกๆ จึงอาศัยจังหวะที่จางกุ้ยฮัวหายปวดรีบวิ่งกลับมาที่ห้องครัว แล้วยกบะหมี่ชามใหญ่ที่ใส่ไข่ดาวสองฟอง
“ท่านยาย แม่ข้ายังกินได้เยอะขนาดนี้เลยหรือ?” หลิวเต้าเซียงมองดูชามที่พูนสูง นางถึงกับมึนงง
เฉินซื่อตอบว่า “ถ้าไม่กินจะเอาแรงที่ไหนมาเบ่งลูก เ้าต้องจำไว้ว่า ต่อไปพวกเ้าออกเรือนไปและคลอดลูก ก็ต้องกินให้อิ่มๆ การคลอดลูกไม่ใช่การนำเกี๊ยวลงหม้อต้ม ประเดี๋ยวเดียวก็เสร็จ ไม่ได้เร็วปานนั้น บางครั้งก็หนึ่งวัน บางครั้งก็สองถึงสามวัน คนที่คลอดสองถึงสามวัน ส่วนใหญ่เป็อันตรายต่อชีวิต”
หลิวเต้าเซียงเข้าใจแล้ว ที่เฉินซื่อพูดถึงคือภาวะคลอดยาก ทั่วไปแล้วมักจะต้องจบชีวิต
เฉินซื่อบ่นอีกสองประโยคแล้วหันมาสนใจที่อาหาร พอคิดดูแล้วก็กลัวว่าอาหารจะไม่มีอรรถรส จึงตักถั่วแขกแห้งผัดหมูเค็มอีกหน่อย จากนั้นสับพริกใส่ลงไป แล้วนำถ้วยใส่ตะกร้าเดินไปส่งห้องคลอด เมื่อนางเข้าไปแล้วก็ให้หลิวชิวเซียงที่ดูแลอยู่ออกมา
ท่ามกลางการรอคอย ในที่สุดหลิวซานกุ้ยก็พาหญิงชราคนหนึ่งที่เชี่ยวชาญการทำคลอดมา หญิงชราดูมีลักษณะทั่วไป แต่หลิวเต้าเซียงสังเกตเห็นว่ามือคู่นั้นของนางดูสะอาดสะอ้านมาก สายตาไม่ได้ตื่นตระหนก เป็คนที่นิ่งสงบพอสมควร
“เร็ว เร็วเข้า เมียข้าจะคลอดแล้ว”
คำว่าเมียเป็ภาษาบ้านๆ ตอนนี้สมองของหลิวซานกุ้ยนั้นโลดแล่น รู้ว่าคุยกับใครต้องใช้ภาษาอย่างไร อย่างเช่นตอนที่พ่อบ้านซุนมาหาพวกเขา หลิวซานกุ้ยก็ใช้สรรพนามเรียกจางกุ้ยฮัวว่าสะใภ้บ้านข้า
“นี่ ข้าว่าเ้าจะร้อนใจไปไย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้เป็พ่อคน หากไม่ใช่ว่าเ้าให้เงินมาก วันสิ้นปีแบบนี้ข้ายังไม่อยากออกจากบ้านด้วยซ้ำ!”
หญิงชราบ่นกับเขาสองสามคํา แล้วหันไปเจอหลิวเต้าเซียงที่ยื่นศีรษะออกมาจากในครัว จึงยิ้มแล้วเอ่ย “แม่สาวน้อยบ้านเ้าหน้าตาดูดีนะเนี่ย เอ แม่สาวน้อย ทำบะหมี่ให้ข้าสักถ้วยได้หรือไม่ ข้ายังไม่ได้ทานข้าวเช้าก็ถูกพ่อเ้าลากมาจากในครัวแล้ว”
หลิวซานกุ้ยยิ้มและถูมือ จากนั้นเอ่ยว่า “ลูกรอง นี่คือหมอตำแยที่มีชื่อในตำบลเรา หมอตำแยในหมู่บ้านเรามีธุระด่วนออกจากบ้านไปแต่เช้า”
มิน่าถึงไม่คุ้นหน้า!
หลิวเต้าเซียงยิ้มหวาน “ท่านพ่อ ข้าจะต้มบะหมี่ให้ท่านกับท่านย่าท่านนี้ ท่านย่าชอบกินไข่ดาวหรือไม่”
เมื่อหญิงชราได้ยินดังนั้นก็คิดว่าครอบครัวนี้ใช้ได้ทีเดียว จึงรีบตอบรับ
หลังจากที่หมอตำแยกินบะหมี่เสร็จ ท่ามกลางสายตาเร่งเร้าของครอบครัวตระกูลหลิว จึงวางชามลงแล้วเอ่ยอย่างเชื่องช้า “เมียเ้ายังไม่ถึงเวลาคลอด แต่ว่า เตรียมของไว้ให้เรียบร้อย ข้าเห็นว่านางเคยคลอดมาสามครั้ง เกรงว่าครรภ์นี้คงจะราบรื่นกว่า ของที่ควรต้มก็ต้ม แล้วก็เตรียมน้ำร้อนสะอาดไว้หนึ่งหม้อใหญ่”
“ท่านย่าท่านนี้ คือว่าท้องของท่านแม่ข้าโตไปสักหน่อย” เื่นี้หลิวเต้าเซียงแอบเป็กังวลเล็กน้อย
หมอตำแยได้ยินจึงยิ้มแล้วเอ่ย “คงเป็ลูกแฝด ดีที่นางไม่ได้คลอดเป็ครั้งแรก มิฉะนั้นด่านนี้คงผ่านยาก ข้าว่านางดูมีพลังไม่เลว กินได้นอนได้ แบบนี้สิดี นางคงไม่รู้ตัว”
หลิวเต้าเซียงพอจะเข้าใจในทำนองเดียวกัน “ท่านยายของข้ากลัวว่าท่านแม่จะกังวล จึงไม่ให้พวกข้าเอ่ยเื่นี้กับท่านแม่”
หมอตำแยอึ้งไปก่อน จากนั้นจึงเอ่ย “ลูกแท้ๆ จึงได้ใส่ใจเพียงนี้ ลูกสาวที่คลอดออกมาก็คือเืเนื้อของแม่ เช่นนี้ก็มีข้อดีคือนางจะได้ไม่กังวลว่าตนเองจะผ่านด่านนี้ได้หรือไม่”
หลิวเต้าเซียงเองก็เห็นดีเห็นงามกับเฉินซื่อ เพราะตั้งครรภ์แล้วบอกไปก็ไม่ได้เกิดประโยชน์ สู้ไม่บอกแล้วให้มารดาของนางไม่วิตกจริตจนเกินไปจะดีกว่า
่กลางยามเว่ย หรือประมาณบ่ายโมงถึงบ่ายสอง จางกุ้ยฮัวเริ่มมีอาการเจ็บท้องอีกครั้ง
หลิวซานกุ้ยพาบุตรสาวสามคนเขย่งเท้าอยู่ตรงบันไดเรือนหลัก พร้อมกับชะเง้อมองไปทางห้องปีกตะวันตกอย่างรอคอย
ป้าหลี่และท่านย่าหวงที่ทราบข่าวก็รีบมาช่วย จึงรับงานต่อจากสองพี่น้องไป
“ท่านพ่อ ท่านแม่เราเจ็บท้องมานานแล้ว นางยังต้องเจ็บอีกนานแค่ไหน?” หลิวเต้าเซียงได้ยินเสียงจางกุ้ยฮัวครวญคราง ฟังแล้วใจหวาดหวั่นตาม
หลิวซานกุ้ยคิดและตอบว่า “ตอนที่คลอดพี่สาวเ้า แม่เ้าใช้เวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน ตอนคลอดเ้าหนึ่งวันเศษ ตอนที่คลอดชุนเซียงก็หนึ่งคืน คราวนี้ข้าเดาว่าคงถึงคืนนี้”
เพิ่งจะสิ้นเสียงของเขา ก็ได้ยินเสียงปีติของเฉินซื่อดังออกมาจากห้องปีกตะวันตก “คลอดแล้ว คลอดแล้ว”
ไม่นานนักก็มีเสียงเด็กทารกร้องดังก้อง หลิวซานกุ้ยดีใจจนทิ้งบุตรสาวทั้งสามไว้แล้วตรงดิ่งไปยังบันไดหน้าห้องปีกตะวันตก เขาะโเข้าไปโดยมีหน้าต่างกั้นไว้ “กุ้ยฮัว เ้าเป็อย่างไรบ้าง”
“ไม่ตายง่ายๆ หรอก!” เสียงของจางกุ้ยฮัวยังคงฟังดูมีเรี่ยวแรงเต็มที่
ดูเหมือนว่าคราวนี้นางคลอดลูกแทบไม่ได้ออกแรงอะไร แต่ฉับพลันนั้นหน้าของนางก็ถอดสี แล้วะโ “ท่านแม่ เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าในท้องยังมีอะไรกำลังจะออกมาอีก?”
เฉินซื่อห่อทารกน้อยอย่างตั้งใจ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ยังมีอีกคนกำลังจะออกมาน่ะ”
จะไม่ราบเรียบได้อย่างไร ครึ่งปีมานี้นางนับว่าเสียแรงที่เป็กังวล เคยเห็นการคลอดลูกที่ง่าย แต่ไม่เคยเห็นการคลอดลูกแฝดที่ง่ายราวกับดื่มน้ำ บทจะคลอดก็คลอดออกมาง่ายดาย
“อา ยังมีอีกคนหนึ่ง? ท่านแม่ แล้วคนนี้...”
จางกุ้ยฮัวกําลังดิ้นรนเพื่อให้เบ่งลูกคนที่สอง แต่ก็ยังมีกะจิตกะใจถามคนที่อยู่ในอ้อมอกของเฉินซื่อ
“เป็ลูกชาย” รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินซื่อคราวนี้ไม่อาจลบเลือนได้
หญิงสาวที่ไม่อาจคลอดบุตรชายได้ยากที่จะมีจุดยืนในบ้านสามี จางกุ้ยฮัวเหงื่อซึมเต็มหน้าและยิ้มเบิกบาน ราวกับถูกปลดปล่อยจากภาระอันหนักอึ้ง
เฉินซื่อเห็นแล้วเจ็บแปลบในใจ ก่อนหน้านี้บุตรสาวของนางต้องทนทุกข์ไม่น้อย หลิวฉีซื่อใช้เื่นี้มาทรมานบุตรสาวของตนเอง แต่นางที่เป็มารดากลับช่วยอะไรไม่ได้
คราวนี้เฉินซื่อโล่งใจอย่างแท้จริง
“นี่ ออกมาแล้วๆ กุ้ยฮัว ออกแรงอีกหน่อย” เสียงของท่านย่าหวงดังขึ้นในห้อง
หลิวซานกุ้ยงุนงงอยู่ข้างนอก มีอีกคนจริงหรือ?
เขาหันไปมองบุตรสาวที่ยืนเรียงกันอยู่ตรงบันไดหน้าเรือนหลัก หากว่ามีบุตรสาวห้าคนก็ไม่เลว ครอบครัวเขาจะได้มีบุปผาล้ำค่าทั้งห้า
บุตรสาวเยอะๆ ก็ดีเหมือนกัน!
แต่ที่ไม่ดีหน่อยคือเขาต้องพยายามหาเงินให้มากกว่านี้!
เหตุใดหลิวซานกุ้ยถึงคิดเช่นนั้น?
เพราะแม่ยายดีใจจนเกินเหตุและลืมบอกกับเขาผู้น่าสงสารว่าจางกุ้ยฮัวคลอดได้ลูกชาย
ไม่นานนักในห้องก็มีเสียงร้องไห้ใสแจ๋วของเด็กทารกดังขึ้นอีก
หลิวชิวเซียงยืนอยู่ใต้ชายคา พร้อมกับกำผ้าเช็ดหน้าอย่างประหม่าและกล่าวว่า “น้องรอง เ้าคิดว่าท่านแม่ของเราจะให้กำเนิดน้องสาวสองคนอีกหรือไม่?”
ไม่น่าแปลกใจที่นางประหม่า เพราะมารดาให้กำเนิดบุตรสาวติดต่อกันถึงสามคน
หลิวเต้าเซียงเอียงศีรษะฟังอย่างระมัดระวัง อืม เสียงร้องไห้ของเด็กทารกช่างไพเราะนัก นางพยายามแยกแยะอยู่ชั่วครู่แต่ฟังไม่ออกว่าเป็หญิงหรือชาย จึงเอ่ยอย่างเก้อเขิน “เสียงดังทีเดียว”
ดูเหมือนว่าหลิวชิวเซียงจะคิดอะไรบางอย่างได้ “ถึงจะเป็น้องสาวสองคนก็ไม่สำคัญ เ้าบอกว่าคุณชายซูรับปากว่าจะให้เราช่วยทำงานเย็บปักไม่ใช่หรือ เื่นี้ข้ารับไว้เอง”
หลิวเต้าเซียงมองนางอย่างแปลกประหลาด เื่นี้คุยกันดิบดีแต่แรกแล้วไม่ใช่หรือ?
“น้องรอง บ้านเรามีน้องสาวเพิ่มสองคน ข้าอยากหาเงินสินเ้าสาวให้พวกนางมากๆ” หลิวชิวเซียงไม่้าให้น้องสาวทั้งหลายต้องลำบากเดินซ้ำรอยกับมารดา
หลิวเต้าเซียงยิ้มเหมือนบุปผาและตอบว่า “ท่านพี่ วางใจได้ ยังมีข้าทั้งคน ต่อไปเราจะปูทางที่ดีไว้ให้น้องสาว ถึงเวลาทุกคนจะกลายเป็นักหาเงินตัวน้อย”
หลิวชิวเซียงรู้สึกขบขัน พร้อมกับมองไปทางประตูบ้านแล้วตอบ “ท่านพ่อเราคงต้องทำขอบประตูด้วยแผ่นหิน มิฉะนั้นคงมีคนมาเหยียบจนพังได้”
“ท่านแม่ กุ้ยฮัวเป็อย่างไรบ้าง? เหตุใดไม่ได้ยินเสียงของนางแล้ว?” หลิวซานกุ้ยร้อนใจจนเหงื่อซึมท่วมศีรษะ
ในห้องมีเพียงเสียงหัวเราะของเฉินซื่อเท่านั้น ถัดจากนั้นก็ไม่มีเสียงอะไรอีก
หลิวซานกุ้ยยืนชะเง้อมองอยู่ตรงหน้าต่าง อยากจะมองเข้าไปด้านใน แต่กระดาษตรงหน้าต่างก็หนาจนพร่ามัว เขามองไม่เห็นแม้เพียงเงา
หลิวเต้าเซียงที่ยืนอยู่บนบันไดตาแหลมและเห็นประตูห้องปีกตะวันตกขยับ ถัดจากนั้นมือข้างหนึ่งก็เลิกม่านประตูขึ้น เผยให้เห็นใบหน้ายิ้มแย้มของป้าหลี่ ในมือของนางยังอุ้มห่อผ้าไหมจิ่นสีแดงไว้ แม้มองไม่เห็น แต่ก็คาดเดาได้ว่าต้องเป็เด็กทารกที่เพิ่งคลอดแน่นอน
“ไปเถิด เราไปดูกัน”
ป้าหลี่อุ้มเด็กทารกน้อยออกมา หลิวซานกุ้ยก็พุ่งเขาไป “ให้ข้าดูหน่อย ชายหรือหญิง?”
ป้าหลี่ตัดสินใจหยอกล้อเขา “ขอแสดงความยินดี เป็ลูกสาว!”
หลิวซานกุ้ยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองเ้าของเสียงแต่อย่างใด เพียงแต่มองไปที่ทารกตัวน้อยในอ้อมแขนของนางด้วยความยินดี เขาเอื้อมมือออกไปอุ้มแล้วตอบ “ลูกสาวก็ลูกสาว บ้านเรามีเสี่ยวเหมียนอ๋าวที่น่าทะนุถนอมเพิ่มอีกสองคนแล้ว”
“คงเป็ไปไม่ได้หรอก” ป้าหลี่ยิ้มตาพริ้ม
หลิวซานกุ้ยเริ่มมีอารมณ์ “เป็ไปไม่ได้อะไรกัน เ้าดูสิ บ้านข้าตอนนี้มีเสี่ยวเหมียนอ๋าวเด็กดีตั้งสามคน ต่อไปเติบโตมาต้องเชื่อฟังแน่นอน”
ในขณะนี้ท่านย่าหวงก็อุ้มอีกหนึ่งคนออกมา ยิ้มแล้วตำหนิ “สะใภ้นายช่างเหล็ก เ้าแกล้งเขาอีกแล้วนะ”
หลิวซานกุ้ยสับสน!
ท่านย่าหวงมองดูท่าทางซื่อบื้อของเขา นางหัวเราะร่าพร้อมกับยื่นอีกหนึ่งคนในอ้อมแขนให้ดู แล้วเอ่ย “ทั้งสองคนเป็ผู้ชาย สะใภ้นายช่างเหล็กจงใจแกล้งเ้าน่ะ”
สองคน!
ความสุขมาอย่างกะทันหันเกินไป หลิวซานกุ้ยสับสนมากจริงๆ!
หลิวเต้าเซียงมีความสุข “ฮ่าๆ เป็น้องชายสองคนหรือ? ท่านพ่อ ท่านกับท่านแม่เอาแต่เตรียมเสื้อผ้าสีแดง สีชมพูกับสีเขียวอ่อน ปรากฏว่าเราได้เ้าจอมซนมาสองคนแทน”
หลิวซานกุ้ยมองไปที่ทารกตัวน้อยสองคน เขานึกมาตลอดว่าครั้งนี้จะได้เสี่ยวเหมียนอ๋าวที่น่ารักน่าชังเพิ่มอีก
“นี่ตั้งใจจะให้ข้าลำบากไปจนถึงอายุแปดสิบสินะ!”
มิฉะนั้น ด้วยรากฐานเล็กๆ ในครอบครัว ไม่เพียงพอต่อการให้บุตรสาวออกเรือนและสู่ขอลูกสะใภ้แน่นอน หลิวซานกุ้ยรับรู้ถึงภาระที่หนักอึ้ง ต้องพยายามและขยันหมั่นเพียร ใครก็ตามที่ขวางทางการหาเงินของเขาคือคนชั่วทั้งหมด
หลิวซานกุ้ยได้รับแรงกระตุ้นจนจะกลายเป็จอมมารแล้ว
“ซานกุ้ย เ้ากำลังคิดอะไรอยู่ รีบเอาซองแดงให้หมอตำแยเร็ว!” ท่านย่าหวงนึกว่าเขาดีใจจนเป็บ้า จึงรีบเตือนเขา
หลิวซานกุ้ยอยากร้องไห้ มีบุตรสาวเยอะๆ ก็ดีแล้ว ไม่ต้องมานั่งห่วงเื่ทรัพย์สมบัติในบ้านมากนัก การคลอดบุตรชายนั้นไม่เพียงแต่ต้องสร้างกิจการในครอบครัว ยังต้องช่วยพวกเขาหาลูกสะใภ้ การมีลูกสะใภ้ก็ยังต้องกังวลว่าบุตรชายทั้งสองจะลืมบิดามารดา แล้วยังต้องช่วยเลี้ยงเด็กรุ่นต่อไปอีก
“ได้เวลามอบของขวัญตอบแทนแล้ว ข้าจะรีบไปเอา”
-----
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้