เล่มที่ 8 บทที่ 214 หลินจือม่วงหกกลีบ
เวลาล่วงเลยมาถึงค่ำวันที่สาม ในที่สุดทั้งสี่ก็มาถึงรอยต่อของเกาะเหนือและเกาะใต้แล้ว
ที่นี่มีหมอกเบาบางปกคลุมอยู่ ต้นไม้รอบด้านก็มีลักษณะแคระแกร็น ยิ่งลึกเข้าไปเท่าใด ดงไม้ก็ยิ่งหนาทึบขึ้นเรื่อยๆ เมื่อกวาดตามองไปตามพื้นก็พบเศษใบไม้ทับถมกันเป็ชั้นหนา กระทั่งเกิดเป็เนินสูงต่ำไม่เท่ากัน บางจุดที่มีน้ำขังก็มีฟองอากาศผุดขึ้นให้เห็นเป็ระยะอีกด้วย…
เบื้องหน้าในตอนนี้ คือบึงโคลนที่ดูน่าพิศวงวังเวง ไม่มีใครรู้เลยว่าข้างใต้นั้นมีซากศพทับถมอยู่เท่าไร
หลังจากฟองอากาศในน้ำแตกออก ก็เกิดเป็หมอกพิษแพร่กระจาย ทันใดนั้นก็มีซากโครงกระดูกลอยขึ้นมา
ั้แ่ย่างเท้าเข้ามา ทุกคนก็ค่อยๆผ่อนความเร็วในการเดินลง เพราะหลังจากก้าวผ่านม่านหมอกนี้ไป ก็จะถึงเกาะทางเหนือซึ่งอันตรายที่สุดแล้ว…
และในเวลานี้เองแขนเสื้อของเว่ยฟงก็กระตุกขึ้น เ้าหนูกลายเป็ลำแสงสีทองพุ่งออกมา ก่อนจะชนไปชนมาอยู่ภายในดงไม้หนาทึบ สุดท้ายมันก็วิ่งหายไปท่ามกลางม่านหมอก
เกาชิวเห็นดังนั้นก็ตาเป็ประกายขึ้นทันที เขาไม่รอช้า รีบตามติดไปโดยเร็ว
การเ้าหนูทองมีปฏิกิริยาเช่นนี้ แสดงว่าต้องเจอสมบัติล้ำค่าเป็แน่ เห็นดังนั้นทุกคนก็ไม่รอช้า รีบตามไปทันที เพียงครู่เดียวก็เดินมาถึงบึงโคลนที่กว้างนับสิบจ้าง น้ำที่เอ่อขังก็มีฟองอากาศผุดพรายขึ้นมาเป็ระยะ กระทั่งเกิดเป็หมอกบางๆฟุ้งกระจายไปทั่ว
ที่ใจกลางบึงโคลนก็มีเห็ดหลินจือสีม่วงอมแดงดอกหนึ่งซ่อนอยู่ หากมีคลื่นน้ำกระทบเข้า ก็จะทำให้เห็ดหลินจือขยับขึ้นลงเล็กน้อย และปรากฏออกมาให้เห็น โดยสังเกตได้ว่าเห็ดหลินจือดอกนี้ก็มีถึงหกกลีบเลยทีเดียว
บัดนี้เ้าหนูทองกำลังยืนอยู่บริเวณริมน้ำ มันอยากจะพุ่งตัวเข้าไปใจจะขาด แต่เป็นานมันก็ไม่กล้าะโไปเสียที จึงทำแต่เกาหูอย่างกระวนกระวายอยู่แบบนั้น
เกาชิวที่ตามมาติดๆ เมื่อเห็นเห็ดหลินจือก็สูดดมตามสัญชาตญาณทันที ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกกลิ่นหอมสดชื่นสายหนึ่งที่ปะทะเข้ามา จึงรีบะโออกมาด้วยความตื่นเต้น
“หลินจือม่วงหกกลีบ!”
ตอนนี้เกาชิวตาเป็ประกายเลยทีเดียว จากนั้นเขาก็หันไปพูดกับกลุ่มคนด้านหลังทันที
“ศิษย์น้องหวัง ศิษย์น้องเว่ย ข้า้าหลินจือม่วงหกกลีบเพื่อหลอมยาพอดี หากเช่นนั้นแล้วข้าขอล่ะนะ…”
เมื่อพูดจบ เกาชิวก็ดีดตัวพุ่งเข้าไปหาหลินจือม่วงหกกลีบทันที ขณะที่หลินเฟยก็ยังเมินอยู่เช่นเดิม…
“…” หลินเฟยที่เดินอยู่ด้านหลังสุด เมื่อได้ยินคำพูดของเกาชิวก็เกิดสะดุดจนเกือบหน้าทิ่มลงไปในบึงโคลน…
‘บ้าจริง ให้มันน้อยๆหน่อยเถอะ…’
‘นั่นเป็หลินจือม่วงหกกลีบเชียวนะ ร้อยปีกว่าจะงอกออกมาสักกลีบ บัดนี้มีหกกลีบ ก็แปลว่ามีชีวิตมาถึงหกร้อยปีแล้ว สมุนไพรล้ำค่าเช่นนี้ จะต้องเป็ผู้มีฝีมือระดับปรมาจารย์เท่านั้นที่จะหลอมได้ เกาชิวคิดว่าตัวเองเป็ใครกัน ถึงกล้าพูดออกได้ว่า้านำมันไปหลอมยา ก่อนจะโม้อะไรช่วยดูความสามารถตัวเองก่อนเถอะ’
บัดนี้เกาชิวดีใจราวกับได้ทองเลยทีเดียว ขณะที่เขากำลังจะััหลินจือม่วงหกกลีบ หลินเฟยก็ขมวดปมคิ้วแน่นทันที...
‘มีบางอย่างผิดปกติ...’
เพราะปกติหลินจือม่วงหกกลีบจะมีสีม่วงอมน้ำตาล เมื่ออยู่ใต้แสงไฟ สีจะค่อนไปทางหม่นมากกว่า ทว่าหลินจือดอกนี้กลับมีสีออกแดงและดูสดใสไปเสียหน่อย...
จากนั้นหลินเฟยจึงโคจรพลังปราณมาที่ดวงตา และเพ่งมองไปที่หลินจือม่วงหกกลีบตรงหน้าทันที และก็เป็อย่างที่คิดไว้ ไม่ใช่เพียงสีที่สดเกินไปหน่อยเท่านั้น แต่ว่าสีของมันนับว่าสดกว่าปกติมากเลยทีเดียว
พอเห็นดังนั้นหลินเฟยก็เข้าใจขึ้นมาทันที ชาติที่แล้วตอนที่ทะลุมิติมายังพิภพหลัวฝูใหม่ๆ ก็เคยได้ยินศิษย์พี่ท่านหนึ่งเล่าว่า หลินจือม่วงหกกลีบนั้นถือว่าหายากมาก เพราะนอกจากมันจะเติบโตยากแล้ว ยังมีเหตุผลสำคัญอีกประการด้วย...
เพราะหลินจือม่วงหกกลีบไม่ได้เติบโตโดยอาศัยเกาะตามต้นไม้ที่มีไอิญญาหรือขอนไม้ทั่วไป แต่มันกลับเติบโตได้เฉพาะในบึงโคลนเท่านั้น และเ้าเห็ดนี้เองกลับไม่เลอะสิ่งสกปรกแม้แต่น้อย ทว่าระหว่างที่มันเติบโตอยู่นั้น เหล่าสิ่งโสมมก็ไปหมักหมมอยู่บริเวณข้างใต้แทน เช่นนั้นมันจึงดึงดูดบางอย่างให้เข้ามาหา…
บ้างก็เป็หลินจือสองด้าน ซึ่ง้าเป็สมุนไพร ส่วนด้านล่างเป็ยาพิษ หรือบ้างก็มีสิ่งมีชีวิตอยู่ด้านล่าง
หากเป็สิ่งมีชีวิตก็จะมีพิษร้ายแรงมาก และที่นี่ยังมีหมอกพิษปกคลุมอยู่อีกด้วย ไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยแม้แต่น้อย หากสำรวจรอบๆดู จะพบว่าไม่มีร่องรอยการเคลื่อนไหวของอะไรเลยสักนิด ถ้าเช่นนั้นก็เป็ไปอย่างเดียว...
ข้างใต้เห็ดนี้จะต้องมีอสรพิษซ่อนอยู่แน่นอน...
ความน่าจะเป็หลายอย่างวาบผ่านเข้ามาในหัว หลินเฟยยังไม่ทันเอ่ยห้าม เกาชิวก็พุ่งเข้าไปหาหลินจือม่วงหกกลีบและััที่ก้านของมันก่อนแล้ว
หลินเฟยเห็นดังนั้นก็ส่ายหน้าน้อยๆ รู้ดีว่าถึงจะเอ่ยเตือนอย่างไร เกาชิวก็คงไม่ฟัง…
และก็เป็ไปตามคาด ชั่วขณะที่เกาชิวััเห็ดเข้า น้ำในบึงโคลนก็แตกกระจาย ก่อนจะมีอสรพิษสีดำตัวหนึ่งชูคอขึ้นมา
และในตอนนี้ เกาชิวก็ยืนอยู่เหนือลำตัวเ้าอสรพิษสีดำพอดี ต่อให้เห็นเช่นนั้น เ้าตัวก็ยังไม่ยอมรามือ หมายจะเอื้อมมือไปคว้าหลินจือม่วงหกกลีบให้ได้…
ไม่มีใครคาดคิดว่าเ้าอสรพิษสีดำที่มีหัวเป็ลายสามเหลี่ยมจะสั่นหัวเล็กน้อย เพียงครู่เดียวมันก็อ้าปากพ่นหมอกพิษสีดำออกมา ทันใดนั้นพิษของมันก็แพร่กระจายเข้าไปในอากาศ และปกคลุมไปทั่วรัศมีสิบจ้าง
เกาชิวที่ตั้งตัวไม่ทัน จึงสูดหมอกพิษที่มีกลิ่นคาวรุนแรงเข้าไปเต็มปอด ไม่นานใบหน้าก็เขียวคล้ำ ร่างกายโงนเงนเหมือนคนกำลังหมดสติ…
เขาไม่สนหลินจือม่วงหกกลีบอีกต่อไป ทันใดนั้นก็รีบดีดตัวลอยขึ้น ก่อนจะโคจรพลังบินหนีเ้าอสรพิษร้าย…
ทว่าเ้าอสรพิษร้ายไม่คิดจะปล่อยไปง่ายๆ หลังจากเกาชิวดีดตัวออกจากรัศมีหมอกพิษของมัน มันก็ตามติดมาอย่างรวดเร็ว แถมยังอ้าปากกว้าง ไล่ตามอย่างไม่คิดลดละ
วินาทีนั้นเองแววตาของเกาชิวก็ฉายแววความตื่นตระหนกออกมา เขารีบหยิบยาลูกกลอนใส่ปากกลืนลงไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็โคจรพลังปราณให้ยาออกฤทธิ์ และหันไปสะบั้นกระบี่ใส่เ้าอสรพิษร้ายที่ไล่ตามอยู่ด้านหลัง
พริบตาถัดมาลำแสงกระบี่ก็สะบั้นตัดม่านหมอกพิษ และพุ่งไปที่หัวของเ้าอสรพิษทันที หวังจะหยุดการเคลื่อนไหวของมันให้ได้…
ทว่าเสี้ยววินาทีที่ลำแสงกระบี่กำลังจะสะบั้นไปยังหัวเ้าอสรพิษ ข้อมือของเกาชิวก็เกิดกระตุกเลกน้อย ทำให้ลำแสงกระบี่อันเจิดจ้านั้น ไม่อาจะเิออกมาเพื่อสกัดเ้าอสรพิษได้ มิหนำซ้ำยังเบี่ยงออกเล็กน้อยและเฉียดผ่านหัวของมันไปแทน…
เลำแสงกระบี่ที่เจิดจ้าในตอนแรกกลับอ่อนแรงลงเสียแล้ว จากนั้นมันก็เฉียดผ่านหัวเ้าอสรพิษ หมายพุ่งไปทางอื่นแทน…
เว่ยฟงเห็นดังนั้นก็วิ่งมาด้วยความเร็ว เพื่อจะช่วยเกาชิวจากอันตรายที่กำลังมาถึง….
ส่วนหลินเฟยกับหวังหลงเมื่อเห็นภาพตรงนั้นก็พากันขมวดคิ้วเคร่งเครียด…
เพราะทั้งคู่เห็นว่าพลังของลำแสงกระบี่เมื่อครู่ แม้ไม่สามารถทำให้เ้าอสรพิษาเ็สาหัสได้ แต่อย่างน้อยก็ต้องสามารถสกัดการเคลื่อนไหวไว้ได้บ้าง เพื่อจะใช้โอกาสนี้รีบหนีออกไป
ในบรรดาคนทั้งหมด เว่ยฟงถือว่ามีปฏิกิริยาว่องไวที่สุด เพียงเห็นเ้าอสรพิษปรากฏตัวขึ้นมา เขาก็พุ่งตัวเข้าไปช่วยทันที…
แต่กลับไม่มีใครคาดคิดว่าเกาชิวจะเปลี่ยนแผน โดยเปลี่ยนการสะบั้นสังหารให้เป็การหลอกล่อไปทางเว่ยฟงแทน…
---------------------------------------------------------------------------------------------------------