ชาร์ลส์นั่งเอนหลังบนเตียง ในมือของเขาคือหนังสือชีวประวัติของ โฮว์เวิร์ด มาร์ตินสัน ชายผู้ถูกยกย่องว่าเป็ยอดอัจฉริยะผู้เปลี่ยนแปลงโลก หนังสือเล่มนี้กลายเป็เพื่อนแก้เบื่อในห้องพิเศษที่ถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันอิทธิพลจากมหาชีวิต ซึ่งในความรู้สึกของชาร์ลส์ มันชวนให้คิดว่าที่นี่ไม่ต่างจากคุกดี ๆ นี่เอง
เขาพลิกหน้ากระดาษอย่างช้า ๆ ติดตามเื่ราวของมาร์ตินสัน ชายผู้ที่ไม่ได้เพียงแค่นำพาความเจริญให้ประเทศของตน แต่ยังออกเดินทางทั่วโลก ถ่ายทอดวิทยาการที่ก้าวหน้าให้แก่อาณาจักรต่าง ๆ เขาใช้ความรู้ทั้งด้าน การแพทย์ ชีววิทยา วิศวกรรม และธรณีวิทยา ช่วยแก้ปัญหาทางสังคมและสิ่งแวดล้อมในหลากหลายดินแดน
ประเทศบ้านเกิดของมาร์ตินสัน ซาร์เนีย กลายเป็มหาอำนาจทางเทคโนโลยีและการแพทย์ ทิ้งห่างประเทศอื่น ๆ ไปมากกว่าหนึ่งศตวรรษ ในดินแดนของซาร์เนียนั้นไม่เพียงมีเครื่องจักรไอน้ำที่ก้าวหน้า แต่ยังมีระบบการแพทย์ที่ดีที่สุดในโลก ทุกอย่างถูกพัฒนาอย่างรวดเร็ว ทั้งการสร้างสรรค์เทคโนโลยีและการบ่มเพาะบุคลากรในสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์แบบ
ชาร์ลส์ยิ้มบาง ๆ ขณะอ่านถึงจุดที่มาร์ตินสันถูกกล่าวหาว่าเป็ "อัจฉริยะอันตราย" จากกลุ่มอนุรักษนิยมในหลายประเทศที่ไม่อาจตามทันการเปลี่ยนแปลงของเขา ความคิดก้าวหน้าของมาร์ตินสันสร้างความแตกแยกและความหวาดกลัว ผู้คนกลัวว่านวัตกรรมใหม่จะทำลายวิถีชีวิตเก่า ๆ และสูญเสียอำนาจที่เคยมี
ชาร์ลส์อ่านหนังสือต่อไป พร้อมกับความคิดที่ยังค้างคาในใจ
'ประเทศต่าง ๆ ปล่อยให้ซาร์เนียทิ้งห่างไปไกลขนาดนี้ได้ยังไงกัน? ทำไมถึงไม่มีใครคิดส่งสายลับไปศึกษาเทคโนโลยีหรือขโมยความลับมาใช้บ้าง? ประเทศที่ล้าหลังน่าจะเห็นว่าการปล่อยให้ซาร์เนียพัฒนาไปล้ำหน้าเช่นนี้ ไม่ต่างอะไรกับการปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในภาวะเสี่ยง โดยที่พวกเขาไม่เคยคิดจะนำวิทยาการมาเลียนแบบหรือลองสร้างขึ้นมาเอง'
เขาพลิกหน้ากระดาษอีกครั้ง แต่อีกครึ่งใจกลับล่องลอยไปกับความสงสัย
'แต่ยิ่งไปกว่านั้น เพราะอะไร ซาร์เนีย ซึ่งมีทั้งเทคโนโลยีและอาวุธที่ก้าวหน้า ถึงไม่คิดจะใช้ความได้เปรียบนี้รุกรานหรือโจมตีประเทศอื่น ๆ บ้าง? ในเมื่อมีทางวิทยาการและอาวุธที่เหนือกว่ามาก หากซาร์เนียจะเปิดาขยายดินแดนจริงๆ ประเทศอื่น ๆ คงไม่มีทางต้านทานได้แน่ แต่กลับไม่มีการขยายอำนาจหรือาจากซาร์เนียเลย'
"เพราะอะไรกันนะ?" ชาร์ลส์พึมพำกับตัวเอง ความเงียบงันในห้องทำให้เขาได้ยินเสียงของตัวเองสะท้อนกลับมาเบา ๆ เขาเอนหลังพิงหมอน พลางพลิกหนังสือในมือคิดไปด้วย
เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบา ๆ แต่กังวานในความเงียบงันของห้อง ชาร์ลส์เงยหน้าขึ้นจากหนังสือ และทันทีที่เขาได้ยินเสียงคุ้นเคยของ เอ็ดเวิร์ด ที่เปิดประตูเข้ามา หัวใจเขาก็เต้นระรัว
"คำร้องขอของเธอได้รับการอนุมัติแล้ว" เอ็ดเวิร์ดพูดขึ้นทันทีที่เปิดประตูเข้ามา ใบหน้าของเขาแฝงด้วยความจริงจัง "เธอได้รับอนุญาตในการยกระดับตัวตน"
ชาร์ลส์ชะงักไปครู่หนึ่ง หัวใจเขาเต้นช้าลงด้วยความประหลาดใจ
'มันเป็ไปได้ยังไง?' เขาคิดกับตัวเองอย่างฉับพลัน พร้อมกับความสงสัยที่ตีตื้นขึ้นในใจ 'ฉันไม่ใช่พลเมืองของที่นี่เต็มตัวเสียหน่อย... แค่อาศัยอยู่ในอาณาจักรนี้มาแค่สองปีเท่านั้น'
เขาย้อนนึกความทรงจำจากเหตุการณ์เรือล่มที่ในฝันแปลกประหลาดของเขา เขาจำได้ดีว่ามันนำพาเขามาสู่อาณาจักรนี้
'แล้วทำไมพวกเขาถึงยอมรับคำขอของฉัน?' ความคิดนี้ยังวนเวียนอยู่ในหัว
แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็เลือกที่จะไม่ถามออกไป
เอ็ดเวิร์ดยืนอยู่หน้าชาร์ลส์ มองเขาด้วยแววตานิ่งสงบ ขณะที่เขาเริ่มอธิบายถึงตัวเลือกที่ชาร์ลส์ต้องตัดสินใจ
"ตอนนี้หน่วยพิเศษของเรามี ผลึกิญญาลำดับเหนืุ์ สามประเภทให้เลือก" เขากล่าวชัดถ้อยชัดคำ "การเลือกครั้งนี้สำคัญต่อการยกระดับตัวตนของเธอ และไม่อาจย้อนกลับได้ถ้าเลือกไปแล้ว"
ชาร์ลส์ฟังอย่างตั้งใจ ขณะที่เอ็ดเวิร์ดเริ่มไล่อธิบายพลังแต่ละประเภท พร้อมผลกระทบที่น่าสะพรึงกลัวของพวกมัน
"อย่างแรก มนุษย์กลายพันธุ์" เอ็ดเวิร์ดกล่าว "ผู้พลังนี้คนก่อนสามารถฟื้นฟูร่างกายจากาแสาหัสได้ในระดับที่ผิดธรรมชาติ แขนขาที่ถูกตัดขาดสามารถงอกใหม่ได้ หรือยังสามารถเชื่อมกลับเข้าหากันได้อย่างรวดเร็ว นอกจากการฟื้นฟูแล้ว ยังมอบพละกำลังมหาศาลให้กับผู้ใช้ด้วย"
เอ็ดเวิร์ดมองหน้าชาร์ลส์ด้วยแววตาเยือกเย็น ก่อนจะกล่าวถึงข้อแลกเปลี่ยนที่น่ากลัวของพลังนี้ "แต่ผลกระทบก็คือ จะถูกความกระหายเข้าครอบงำ ต้องกินเืเนื้อของสิ่งมีชีวิตเพื่อระงับความเปลี่ยนแปลง ยิ่งสิ่งมีชีวิตที่ถูกกินมีความใกล้เคียงกับมนุษย์มากเท่าไร ก็ยิ่งดับกระหายได้มากเท่านั้น แต่ถ้าเธอไม่สามารถตอบสนองต่อความกระหายนี้ได้..."
เอ็ดเวิร์ดหยุดเล็กน้อย "ร่างของจะเริ่มบิดเบี้ยว กลายเป็สัตว์ประหลาดไร้สติ หรืออาจเลวร้ายกว่านั้นร่างกายอาจกลายพันธุ์เป็เพียงก้อนสิ่งมีชีวิตไร้ประโยชน์ รอวันตายอย่างช้า ๆ"
ชาร์ลส์ขมวดคิ้วกับความโหดร้ายของพลังนี้ แต่เอ็ดเวิร์ดก็ไม่รอช้า เขาอธิบายพลังถัดไป
"พลังที่สอง ผู้ปั่นประสาท พลังนี้เป็ประเภทเดียวกับที่ฉัน" เอ็ดเวิร์ดกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเรียบ แต่เต็มไปด้วยความเข้าใจในอันตรายที่แฝงอยู่ "นี่เป็พลังที่สามารถควบคุมและบิดเบือนความคิดได้ ผู้ใช้สามารถทำให้เป้าหมายลืมสิ่งที่กำลังจะทำ หรือทำให้จิตใจหมกมุ่นอยู่กับบางสิ่งชั่วขณะหนึ่ง"
เขาหยุดครู่หนึ่ง ก่อนจะอธิบายถึงผลกระทบอันน่ากลัวของพลังนี้ "แต่พลังนี้จะพยายามยึดครองจิตใจของผู้ใช้ หากไม่สามารถควบคุมได้ มันจะกระตุ้นให้เธอกระหายที่จะดูดกลืนสติสัมปชัญญะของสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาเพื่อลดทอนผลกระทบของพลัง ถ้าไม่สามารถตอบสนองต่อความกระหายของมันได้ มันจะดูดกลืนสติสัมปชัญญะของผู้ใช้เองจนหมดสิ้น ทำให้เธอกลายเป็เหมือนคนตายที่ยังมีลมหายใจ ไร้สติ ไร้การตอบสนอง ไม่อาจรับรู้หรือพูดคุยกับใครได้อีก"
ชาร์ลส์รู้สึกถึงความเย็นะเืในน้ำเสียงของเอ็ดเวิร์ด ราวกับว่าเขาเองก็เคยต้องต่อสู้กับความกระหายนั้น
" สาม พลังของผู้แสวงหากฎ พลังนี้เป็พลังแบบเดียวกับสิ่งที่โจเซฟ" เอ็ดเวิร์ดกล่าวต่อ "มันทำให้เธอสามารถบัญญัติกฎง่าย ๆ ลงในพื้นที่รอบตัว เช่น สั่งให้คนหยุดขยับ หรือตั้งเงื่อนไขที่ต้องปฏิบัติตาม"
"อย่างไรก็ตาม กฎที่บัญญัติออกมาจะมีผลต่อสภาพกายภาพเท่านั้น ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงจิตใจหรือฝืนพลังเหนือธรรมชาติได้ ยิ่งกฎเกณฑ์ซับซ้อนมากเท่าไร ก็ยิ่งสิ้นเปลืองพลังมากขึ้น"
"และผลกระทบที่ต้องระวัง… พลังนี้จะกระตุ้นความปรารถนาแห่งเผด็จการในจิตใจ ทำให้้ากดขี่หรือบังคับควบคุมผู้อื่น และหากปล่อยให้พลังนี้ครอบงำ มันจะผลักดันให้เธอก่อความรุนแรงหรือวินาศกรรมเพื่อตอบสนองต่อแรงกระตุ้นนั้น วิธีบรรเทาคือการตอบสนองต่อความปรารถนาของพลังอย่างระมัดระวัง แต่ต้องไม่ให้มันครอบงำ"
"แต่ถ้าไม่ตอบสนองต่อความกระหายของมัน ตัวของผู้ใช้พลังจะถูกบังคับให้สร้างกฎเกณฑ์ที่บีบบังคับทั้งตัวเองและผู้อื่น และหากปล่อยให้มันไว้... ผู้ใช้จะกลายเป็ทาสของกฎที่ตนเองสร้างขึ้น ไม่สามารถขยับตัวหรือดำเนินชีวิตตามใจตัวเองได้ ชีวิตผู้ใช้พลังจะกลายเป็เพียงการทำตามเงื่อนไขที่บังคับตัวเองไปเรื่อย ๆ โดยไร้เจตจำนงและความคิดใด ๆ"
เมื่อจบการอธิบาย เอ็ดเวิร์ดยืนเงียบ ปล่อยให้ชาร์ลส์ซึมซับข้อมูลและชั่งน้ำหนักตัวเลือกเหล่านี้
"เธอต้องเลือกอย่างรอบคอบ ถ้าเลือกเสร็จแล้ว ฉันจะให้โจเซฟจะนำผลึกิญญาที่เธอเลือกมาให้ และพิธีจะเริ่มต้นทันที"
ชาร์ลส์จ้องมองไปที่เอ็ดเวิร์ด สมองของเขาทำงานอย่างรวดเร็ว พลังทั้งสามนั้นล้วนทรงอานุภาพ ทว่าแต่ละพลังมีราคาที่ต้องจ่ายสูงลิ่ว
ชาร์ลส์เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงด้วยความสงสัย "แล้วถ้าผมเลือกทั้งสามพลังล่ะ?"
เอ็ดเวิร์ดหรี่ตามองเขาเล็กน้อย แววตาแสดงออกถึงความระมัดระวัง แต่ก็มีประกายบางอย่างราวกับเคยคาดว่าชาร์ลส์จะถามคำถามนี้ออกมา "ไม่" เขาตอบทันที น้ำเสียงหนักแน่น "เธอรับได้แค่หนึ่งประเภทเท่านั้น หากพยายามรับมากกว่าหนึ่ง พลังเ่าั้จะกลืนกินเธอในทันที"
เอ็ดเวิร์ดก้าวเข้ามาใกล้ขึ้นเล็กน้อย พร้อมอธิบายต่อ "เคยมีบันทึกอยู่บ้างว่ามีคนที่สามารถรับพลังสองประเภทพร้อมกันได้... แต่โอกาสนั้นน้อยมาก น้อยจนแทบไม่มีใครรอดชีวิต แม้แต่การรอดชีวิตจากาแสาหัสอย่างการถูกปาดคอ แบบปล่อยให้แผลหายเอง โดยไม่มีการรักษา ยังมีโอกาสสำเร็จมากกว่าการรับพลังสองประเภทไว้ในตัวซะอีก"
คำพูดนั้นหนักแน่นและชัดเจน ชาร์ลส์ััได้ถึงสำคัญในสิ่งที่เขาเพิ่งได้ยิน
'เห็นภาพเลย' เขาคิดในใจ ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาเบา ๆ เขารู้แล้วว่าการฝืนรับสองพลังเข้าร่างไม่ใช่หนทางที่ควรจะทำ
'ต้องเลือกสิ่งที่ฉันพร้อมจะรับผลของมันที่ตามมาได้... แต่พลังแบบไหนกันที่จะเหมาะกับฉัน?'
ชาร์ลส์เริ่มต้นทบทวนตัวเลือกที่เขาสนใจมากที่สุดก่อนพลังมนุษย์กลายพันธุ์ มันเป็พลังที่เขาไม่อาจปฏิเสธเสน่ห์ของมันได้ ความสามารถในการฟื้นฟูที่เหนือธรรมชาติ ระดับที่แม้แขนขาขาดยังงอกใหม่หรือต่อใหม่ได้ และที่สำคัญ พละกำลังอันมหาศาลที่มากับมัน
'พลังแบบนี้... มันแทบจะเรียกว่าเป็ะได้เลยไม่ใช่หรือไง?' ชาร์ลส์คิดพลางจินตนาการถึงสิ่งที่เขาทำได้หากมีพลังนี้
'ไม่ต้องกลัวเจ็บ ไม่ต้องกลัวตาย ทุกาแสามารถฟื้นคืนได้ '
แต่ความคิดนั้นก็พาเขาไปสู่ด้านมืดของพลังนี้ ความกระหายในเืและเนื้อ หากไม่ตอบสนองต่อมัน ร่างกายจะเริ่มบิดเบี้ยว กลายเป็สัตว์ประหลาด หรือแย่กว่านั้น กลายเป็เพียงก้อนเนื้อที่รอวันตาย
'มันน่าดึงดูด... แต่มันก็อันตรายเกินไป ฉันจะควบคุมตัวเองได้จริงหรือ?' ความสงสัยนั้นยังคงติดอยู่ในใจ
เขาสลัดความคิดนั้นทิ้งไปชั่วครู่ ก่อนจะพิจารณาพลังต่อมา พลังของผู้แสวงหากฎ
'การออกคำสั่งและให้ทุกคนปฏิบัติตามกฎที่ฉันสร้าง... มันช่างมีเผด็จการและน่าหลงใหล'
เขานึกถึงสิ่งที่โจเซฟเคยทำ ด้วยคำสั่งเพียงไม่กี่คำ โจเซฟสามารถควบคุมสถานการณ์ที่เลวร้ายและทำให้ทุกคนหยุดนิ่งได้ พลังนี้นอกจากจะมีประโยชน์ในยามฉุกเฉินแล้ว ยังสามารถใช้ในการบงการและจัดการคนจำนวนมากได้อย่างมีประสิทธิภาพ
'ถ้าฉันมีพลังนี้ ฉันจะสามารถควบคุมสถานการณ์ใด ๆ ก็ได้ทั้งหมด ทุกคนจะต้องปฏิบัติตามกฎของฉัน…' เขารำพึงในใจ แต่ทันใดนั้นเอง เขาก็ััได้ถึงความเย็นเยือกบางอย่างในความคิดนี้
'ฉันจะไม่กลายเป็ทาสของกฎเองใช่ไหม? กลายเป็หุ่นเชิดของกฎที่ฉันสร้างขึ้นเอง?'
สุดท้าย เขาพิจารณาถึง พลังของผู้ปั่นประสาท พลังที่มีอิทธิพลต่อความคิดและจิตใจของผู้อื่น ทำให้พวกเขาลืม หรือจดจ่อกับบางสิ่งบางอย่างได้
'ฟังแล้วมันน่าจะเป็พลังที่แทรกซึมเข้าไปในจิตใจของคนอื่น'
'ฉันสามารถทำให้คนลืมบางสิ่งไปได้ชั่วขณะ หรือทำให้พวกเขาสนใจในสิ่งที่้า'
ในขณะที่เขาพิจารณาเื่นี้ จู่ ๆ ความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัว
'เดี๋ยวนะ!'
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้