บทที่ 49 เจตจำนงกระบี่สถิตร่าง
เมื่อเห็นซั่งซูอวี๋เดินเข้ามา ฉินชูก็จับกระบี่ย้ายมาด้านหน้า “กระบี่หักได้ แต่ต้องหักตอนต่อสู้ ข้าก็เหมือนกับเ้า หากต้องตาย ขอสู้จนตัวตายดีกว่า”
ฉินชูลั่นวาจาหนักแน่น มือซ้ายที่กดห้ามเือยู่ที่หน้าท้องเปลี่ยนมาจับด้ามกระบี่ สองมือจับด้ามกระบี่อย่างมั่นคง ปลายกระบี่ชี้ลงพื้น เืค่อยๆ ไหลลงไปตามปลายกระบี่
ครั้นข้อมือเคลื่อนไหว มวลพลังรอบตัวก็แปรเปลี่ยน บรรยากาศเยือกเย็นลง ใบกระบี่เริ่มสั่นสะท้าน
เมื่อเห็นท่าทางที่เปลี่ยนแปลงไปของฉินชู ซั่งซูอวี๋ก็ถอยหลังกลับไปสองก้าว ดวงตาเปี่ยมไปด้วยความแปลกใจ
ดวงตาของฉินชูตอนนี้เปี่ยมด้วยพลังชีวิตเป็ประกาย ก่อนตวัดกระบี่พุ่งเข้าใส่ซั่งซูอวี๋
การต่อสู้เริ่มต้นขึ้น ฉินชูฟาดฟันใส่ซั่งซูอวี๋ติดต่อกัน มือขวาของซั่งซูอวี๋ชักกระบี่ออกจากฝัก พลันยกขึ้นป้องกันการโจมตีของฉินชู
เห็นแบบนี้ ไป๋อวี้จึงรีบแยกตัวออกจากวงต่อสู้ของหลิวเสวี่ยและพวกเจิ้งชิวและรีบเข้ามาช่วยฉินชูทันที แต่ทันทีที่มาถึงก็ถูกซั่งซูอวี๋ะโเตะกลางอากาศจนกระเด็นลอยไปไกล
เมื่อเตะไป๋อวี้ออกไป ซั่งซูอวี๋ก็กลับมาต่อสู้กับฉินชูต่อ และตกเป็ฝ่ายถูกไล่ต้อนเสียแล้ว
ไป๋อวี้ะโแผดเสียงก่อนพุ่งเข้ามาช่วยฉินชูต่อ เขาปล่อยให้ฉินชูสู้ตัวคนเดียวไม่ได้ ตอนที่เจอกับหมีคลั่งที่หุบเขามี่หยุนตอนนั้น ฉินชูไม่คิดแม้แต่จะทอดทิ้งเขา ั้แ่นั้นเขาก็มองฉินชูเป็พี่น้องร่วมเป็ร่วมตายมาตลอด
ซั่งซูอวี๋เตะไป๋อวี้กระเด็นออกจากระยะต่อสู้อีกครั้ง
กระบี่ของฉินชูยังคงตวัดฟาดฟันอย่างต่อเนื่อง รังสีเยือกเย็นที่แผ่ซ่านออกมาเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าเนียนขาวของซั่งซูอวี๋เริ่มฉายแววเยือกเย็นออกมาเช่นกัน กระบี่ในมือก็เริ่มตวัดเร็วขึ้น
ขณะที่ไป๋อวี้ในสภาพเืกบปากกำลังจะพุ่งเข้าไปช่วยฉินชูอีกครั้ง หลิวเสวี่ยก็ห้ามไว้ “อย่าเข้าไป นางไม่มีเจตนาทำร้ายฉินชู ตอนนี้นางจงใจตั้งรับ”
ไป๋อวี้หยุดฝีเท้าและมองพินิจดูสักพักก็พบว่าหลิวเสวี่ยพูดถูก
การต่อสู้ผ่านไปอีกสักพักหนึ่ง ซั่งซูอวี๋เสริมแรงเข้าปะทะกับฉินชูตรงๆ ทำเอาฉินชูถึงกับผงะถอยหลัง “หากเ้าไม่รีบรักษาตัวเอง ประเดี๋ยวเืหมดตัวแน่”
ฉินชูที่ผงะถอยหลังแทงกระบี่ลงพื้นเพื่อยึดตัวเองให้นิ่ง ดวงตาทั้งสองข้างจ้องมองหญิงสาวข้างหน้าอย่างไม่เข้าใจ ทั้งที่มีโอกาสฆ่า แต่กลับไม่ฆ่า
“ยังไม่เข้าใจสถานการณ์ แต่กลับลงมืออย่างวู่วาม ใจไม่นิ่งเอาเสียเลย” ซั่งซูอวี๋พูดขึ้นก่อนโยนขวดโอสถให้ฉินชู
ในที่สุด ฉินชูก็เข้าใจ การที่ซั่งซูอวี๋เดินมาหาเขาเมื่อครู่ก็แค่จะเอาโอสถให้เขาเท่านั้น แต่ตัวเองกลับชักกระบี่โจมตี
“จงนึกถึงความรู้สึกเมื่อครู่ให้ดี” ซั่งซูอวี๋เดินกลับไป ก่อนเอาเบาะอาสนะออกมาและนั่งลง
ตอนนี้ไป๋อวี้รีบวิ่งเข้ามาข้างๆ ฉินชู และฉีกเสื้อของเขาออกโดยไม่ขออนุญาต จากนั้นก็รีบห้ามเืทำแผลให้
หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้จบลง ฉินชูถึงกับหมดสภาพ แผ่นหลังมีแผลยาว หน้าท้องมีแผลลึก ทั้งหมดล้วนเป็ฝีมือหลิ่วหนาน
เห็นร่างท่อนบนเปลือยเปล่าของฉินชู พวกหลิวเสวี่ยและซั่งซูอวี๋ต่างพากันตะลึงเล็กน้อย เพราะตามร่างกายของเขามีรอยแผลเป็เต็มไปหมด ทั้งรอยแผลเป็จากกรงเล็บ จากคมเขี้ยว โดยเฉพาะบริเวณกลางหน้าอก มีรอยแผลเด่นชัดสะดุดตา
“ลูกพี่ ทำไมมีรอยแผลเป็เต็มตัวขนาดนี้” ไป๋อวี้ทำแผลที่หลังพลางเอ่ยถาม
“ตราบใดที่ยังมีชีวิต มนุษย์ก็ยังต้องต่อสู้ นี่เป็าแจากสัตว์อสูรตอนที่ข้ายังอาศัยอยู่ในหุบเขาลึก” พูดจบ ฉินชูก็ฉีกเสื้อผ้าที่เหลือของตัวเองชุ่มโอสถน้ำ แล้วพันแผลที่หน้าท้อง ก่อนเปลี่ยนชุดสำรอง
หลังจากทำแผลเสร็จ ฉินชูก็มองไปยังสนามต่อสู้เมื่อครู่ พวกหลิ่วหนานตายหมดแล้ว เหลือแต่ซาหานในสภาพแขนขวาขาดที่ยังรอดชีวิตอยู่
“หมายความว่าอย่างไร” ฉินชูมองหลิวเสวี่ยพร้อมเอ่ยถาม
“มันเป็คนของเฉียนชิง พวกมันวางแผนจัดการพวกข้าก่อน แล้วค่อยจัดการพวกเ้า ศิษย์น้องทั้งสามของข้าถูกพวกมันเหยียบย่ำ พวกมันจับข้ามัดเอาไว้แล้วบังคับให้ข้าดูพวกมันข่มขืนและทารุณกรรมศิษย์น้อง ข้าพยายามอาศัยจังหวะเอากริชออกมาจากแหวนมิติและตัดเชือก ก่อนจะฆ่าพรรคพวกของพวกมันไปหนึ่งคน แล้วศิษย์น้องคนหนึ่งก็พยายามช่วยข้าถ่วงเวลาจนตัวตาย เพื่อให้ข้าหนีออกมา” ดวงตาของหลิวเสวี่ยเต็มไปด้วยความโศกเศร้า นางหนีมาได้ แต่ลูกศิษย์ทั้งสามจากยอดเขาเชียนหลัวกลับต้องตายอย่างอนาถ
“มักมีคนบางจำพวกที่เป็เดรัจฉานในคราบมนุษย์” ฉินชูถอนหายใจอย่างอาลัย บางครั้งเขาก็ทำอะไรไม่ได้ ก่อนจะแยกทางกัน เขาเองก็ไม่รู้จะยื้อกองกำลังจากยอดเขาเชียนหลัวอย่างไร
“ทุกคนพักผ่อนกันก่อนแล้วกัน” พูดจบ ฉินชูก็นั่งขัดสมาธิเยียวยาาแโดยไม่สนใจซั่งซูอวี๋ที่นั่งอยู่ถัดไปแม้แต่น้อย เขารู้ดี หากซั่งซูอวี๋คิดไม่ซื่อขึ้นมาจริงๆ เขาก็ต้านทานไม่ไหว
เขาโคจรเืลมตามคัมภีร์ไร้นาม าแตามร่างกายของฉินชูก็เริ่มสมาน
ทุกคนเจ็บหนักและสูญเสียพลังไปมากจากการต่อสู้ครั้งนี้ ด้วยเหตุนี้จึงต้องพักรักษาตัวกันทั้งวันทั้งคืน
ครั้นรุ่งเช้าของอีกวันมาเยือน ฉินชูลืมตาขึ้น แล้วชักกระบี่ออกมา เขาพยายามนึกถึงความรู้สึกตอนที่ตัวเองต่อสู้กับซั่งซูอวี๋
ตวัดข้อมือเล็กน้อย กระบี่ยาวในมือพลันขนานกับพื้น ใบกระบี่นิ่งค้างกลางอากาศ มวลพลังไร้รูปทรงที่แผ่ซ่านออกมานอกร่างกายเปลี่ยนไป มันแผ่ซ่านลุกโหมไม่หยุด
ครั้นตวัดข้อมืออีกครั้ง ฉินชูก็เริ่มวาดลวดลายกระบวนท่ากระบี่พื้นฐาน ทว่ามันกลับไม่เหมือนเดิม ครั้งนี้กระบวนท่ากระบี่พื้นฐานของเขามีไอสังหารแผ่ซ่านออกมา
“กระบี่หักได้ แต่ต้องหักตอนต่อสู้ นี่คือรูปแบบกระบี่ไร้เกรงกลัว มีเพียงจิตใจอันแน่วแน่มั่นคงแบบนี้เท่านั้นถึงจะสามารถหยั่งถึงเจตจำนงแห่งวิถีกระบี่ได้” ซั่งซูอวี๋พูดขึ้น
“เ้ากำลังจะบอกว่าความรู้สึกของข้าในตอนนี้กำลังเชื่อมโยงกับเจตจำนงแห่งวิถีกระบี่กระนั้นหรือ” กระบี่ในมือของฉินชูหยุดชะงัก ดวงตาทั้งสองเหลือบมองซั่งซูอวี๋
ซั่งซูอวี๋พยักหน้า “จำเอาไว้ เ้าติดหนี้บุญคุณข้าแล้ว หากเมื่อวานข้าไม่ต่อสู้กับเ้า เ้าจะพลาดโอกาสนี้ไป หากอยากได้โอกาสแบบนี้อีก ก็คงต้องรอต่อไปอย่างไม่รู้กำหนด”
หลังจากนึกถึงการต่อสู้เมื่อวาน ฉินชูก็ประสานมือคารวะซั่งซูอวี๋ “ขอบพระคุณแม่หญิงผู้เลอโฉมเป็อย่างยิ่ง ฉินชูขอน้อมรับน้ำใจในครั้งนี้ หากไม่มีการประมือกับเ้าเมื่อวาน ข้าคงหยั่งถึงััแบบนี้ไม่ได้”
“ผู้คนมากมายเสียเวลาไปทั้งชีวิตก็ยังไม่อาจเชื่อมโยงกับความรู้สึกนี้ได้ การมายังโบราณสถานชิงหวางของเ้าครั้งนี้ ต่อให้ไม่ได้อะไรกลับไป ขอเพียงรอดออกไปได้ ก็ถือเป็ผู้ชนะแล้ว” ซั่งซูอวี๋มองหน้าฉินชูพลางพูด
“ตอนแรกก็คิดว่าเ้าจะฆ่าข้า แต่ต้องขอบคุณตัวข้าเองที่คิดแบบนั้นและชักกระบี่ปะทะกับเ้า” ฉินชูรู้สึกว่าเื่ดีๆ มักเกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว
ซั่งซูอวี๋ไม่พูดอะไร ปล่อยให้ฉินชูขัดเกลาวิชากระบี่ต่อไป
ฉินชูััได้ว่าพลังของวิชากระบี่กายสิทธิ์ของตัวเองเปลี่ยนไป ต่างจากความรู้สึกตอนเข้าถึงวิถีกระบี่ขั้นเจี้ยนหลิง ราวกับมีคลื่นพลังแผ่ซ่านออกมาอย่างโหมกระหน่ำอยู่รอบตัว
เมื่อฉินชูฝึกเสร็จ หลิวเสวี่ยก็รินชาร้อนมาให้ฉินชู
่ที่ฉินชูกำลังฝึกวิชากระบี่ พวกไป๋อวี้ก็ได้ทำกับข้าวและต้มน้ำเอาไว้
มองดูพวกไป๋อวี้ที่กำลังกินเนื้ออสูรพยัคฆ์ย่างอย่างเอร็ดอร่อยอยู่สักพัก ฉินชูก็หันไปมองซั่งซูอวี๋ ก่อนตัดสินใจถือกาน้ำชามาวางไว้ด้านหน้านาง เขายังคงรักษาระยะห่างจากนางอยู่ เขาไม่อยากเข้าใกล้ผู้หญิงคนนี้เท่าไร เพราะรู้สึกกดดันแปลกๆ
