หลินเผิงเฟยดึงตัวอันเสี่ยวหวู่และตานจือมาอยู่ข้างๆ กลางวันทั้งสองคนวุ่นวายอยู่กับการตรวจนับสินค้าในคลัง ด้วยความที่ไม่คุ้นเคยกับสิ่งของ ตรวจไปสองวันก็แทบจะมึนหัว ตาลาย แยกแยะประเภทไม่ได้ สติเลอะเลือนไปหมด
หลังเลิกเรียนทุกวัน หลินเผิงเฟยจะมาสอนลูกศิษย์รุ่นน้องที่อายุมากกว่าตัวเอง ว่าจะแยกแยะประเภทสินค้ายังไง ทำบัญชียังไงให้ชัดเจน ทำยังไงให้เชื่อมโยงกันได้ โดยเฉพาะสินค้าที่เข้าและออกจากคลัง ต้องมีหลักฐานตรวจสอบได้ ห้ามมีข้อผิดพลาดแม้แต่น้อย
ทั้งสองคนตั้งใจเรียนอย่างมาก แม้่แรกจะยากลำบาก แต่พวกเขาก็พยายามปรับตัว เพราะสวัสดิการของห้องเสื้อหลันเยว่นั้นดีกว่าโรงงานรัฐเสียอีก พวกเขาจึงอยากคว้าโอกาสนี้ไว้
สภาพครอบครัวไม่ค่อยดีนัก และนี่คือโอกาสทองที่จะพลิกชีวิต จะปล่อยไปได้ยังไง ทั้งสองคนจึงตั้งใจซึมซับประสบการณ์ที่หลินเผิงเฟยถ่ายทอดให้ แม้จะยังหนุ่มยังแน่น แต่ก็เคยเรียนมาแล้ว หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป ทั้งสองคนก็คุ้นเคยกับงานเกือบทั้งหมด
"เป็ยังไงบ้าง ทำงานคนเดียวได้หรือยัง"
หมี่หลันเยว่มาตรวจงานของพนักงานใหม่ทั้งสองคนที่คลังสินค้า ตอนนี้คลังทั้งสองแห่งอยู่ในบ้านของหลินเผิงเฟย บ้านหลังใหญ่ยังคงเป็คลังเก็บสินค้าสำเร็จรูป ส่วนบ้านหลังเล็กฝั่งตรงข้ามถูกใช้เป็คลังเก็บวัสดุ
หลินเผิงเฟยค่อยๆ ปล่อยมือจากงานทีละน้อย ได้ยินว่าปล่อยไปเกือบหมดแล้ว หมี่หลันเยว่จึงมาดูงานของทั้งสองคนด้วยตัวเอง อันเสี่ยวหวู่เห็นหมี่หลันเยว่มาก็รีบเข้าไปต้อนรับ
"หลันเยว่ มาแล้วเหรอ พวกเราเพิ่งเริ่มงาน ยังไม่ค่อยคล่องเท่าไหร่ ต้องขอบคุณเผิงเฟยที่ช่วยสอน"
ตานจือพูดเสริมว่า
"เผิงเฟยสอนดีมาก ไม่งั้นตอนนี้พวกเราคงยังงงเป็ไก่ตาแตกอยู่เลย"
ทั้งสองคนรู้สึกขอบคุณหลินเผิงเฟยอย่างจริงใจ พวกเขารู้ดีว่าหลินเผิงเฟยไม่ได้หวงวิชา
"โธ่ จะขอบคุณอะไรกัน นี่มันธุรกิจของเราเอง ก็ต้องตั้งใจทำให้ดีที่สุดอยู่แล้ว ตราบใดที่เป็ประโยชน์ต่อห้องเสื้อหลันเยว่ของเรา สิ่งที่ควรทำก็ต้องทำ นี่มันเป็หน้าที่อยู่แล้ว"
ตอนนี้หลินเผิงเฟยดูแลบัญชีรวมเป็หลัก การนำสินค้าเข้าและออกจากคลังต้องผ่านมือเขา แต่เขาไม่ต้องลงมือทำเองแล้ว
"ใช่ เผิงเฟยพูดถูก พวกเราจะถือว่าร้านเป็บ้าน หลันเยว่วางใจได้เลย ถ้าอะไรที่เป็ประโยชน์ต่อโรงงานหลันเยว่ของเรา พวกเราจะตั้งใจทำแน่นอน"
อันเสี่ยวหวู่รีบแสดงความจงรักภักดีต่อหมี่หลันเยว่
จะว่าไป ทั้งสองคนนี้ไม่ใช่คนพูดมาก แต่ก็พูดได้ตรงประเด็น พูดไม่กี่คำ สิ่งที่ควรขอบคุณ สิ่งที่ควรสัญญา ก็แสดงออกมาหมดแล้ว หมี่หลันเยว่จึงไม่ได้พูดอะไรไร้สาระต่อ ไปดูก่อนดีกว่าว่าพวกเขาทำงานได้ดีแค่ไหน
หมี่หลันเยว่เข้าไปในคลังเก็บสินค้าสำเร็จรูปก่อน ภายในเต็มไปด้วยสินค้า ทำให้หมี่หลันเยว่รู้สึกว่าคลังสินค้าเล็กเกินไปจริงๆ เห็นทีต้องขยายกิจการเสียแล้ว ต้องหาบ้านหลังใหญ่ๆ เพิ่มอีกหลังไว้ใช้เป็คลังสินค้าโดยเฉพาะ
"พวกชั้นไม้ที่พวกพี่ทำขึ้นมาใหม่นี่"
หมี่หลันเยว่ชี้ไปที่ชั้นวางไม้ที่เรียงรายอยู่ในห้อง มองดูแล้วเหมือนเตียงสองชั้น แต่พื้นของชั้นล่างก็มีแผ่นไม้กั้นด้วย
"ใช่แล้ว เมื่อก่อนสินค้ามีน้อย วางกองรวมกันก็พอได้ แต่ตอนนี้สินค้ามีมากขึ้น กองแบบนั้นคงหายากแน่ๆ อันเสี่ยวหวู่บอกว่าเขาหาคนมาช่วยทำชั้นวางได้ ฉันเลยไปหาไม้มา"
หลินเผิงเฟยชี้ไปที่ชั้นวางแล้วตอบหมี่หลันเยว่
"ไม่ต้องใช้ฝีมืออะไรมากมาย ทำเสร็จในคืนเดียว ไม่เปลืองแรงเท่าไหร่ แค่ขนย้ายเสื้อผ้าก็เหนื่อยหน่อย"
หมี่หลันเยว่พยักหน้า เดินเข้าไปััชั้นวางไม้ มันถูกขัดจนเรียบ ไม่ขูดขีดเสื้อผ้า
"เสียค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ พี่เผิงเฟยออกเงินไปก่อนนะคะ แล้วโรงงานเราจะจ่ายให้ทีหลัง จะให้พวกพี่ออกแรง ออกเงินไปด้วยไม่ได้"
อันเสี่ยวหวู่และตานจือรีบโบกมือ
"ไม่เสียเงินๆ พ่อฉันมาช่วยทำ เขาเป็ช่างไม้ฝีมือดี ทำงานไม้มาหลายปีแล้ว พ่อของตานจือมาช่วยเป็ลูกมือ ไม่เสียเงินจริงๆ"
"ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ออกแรงเปล่าๆ นะคะ พี่เผิงเฟยนี่ไม่ถูกเลยนะ จะให้คุณลุงออกแรงเปล่าๆ ไม่ได้ จะไม่ให้ค่าแรงได้ยังไง ค่าแรงก็ต้องให้"
หมี่หลันเยว่ไม่อยากเอาเปรียบลูกน้องจริงๆ โดยเฉพาะลูกน้องใหม่ทั้งสองคน
แต่ท่าทีจริงจังของหมี่หลันเยว่ ทำให้อันเสี่ยวหวู่และตานจือทำอะไรไม่ถูก เขาหันไปขอความช่วยเหลือจากหลินเผิงเฟย
"หลันเยว่ ตอนนั้นฉันให้ค่าแรงคุณลุงอันและคุณลุงตานไปแล้ว แต่พวกเขาไม่รับ คุณลุงอันและคุณลุงตานบอกว่า ตอนนี้เสี่ยวหวู่กับเสี่ยวจือทำงานอยู่ที่ห้องเสื้อหลันเยว่ พวกเขารู้สึกซาบซึ้งใจมาก"
"ขอบคุณที่ให้โอกาสทำงานดีๆ แบบนี้ พวกเขาเลยอยากแสดงน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ฉันว่า ครั้งนี้ก็แล้วๆ ไปเถอะ คุณลุงตั้งใจจะขอบคุณจริงๆ ถ้ามีครั้งหน้า พวกเราค่อยขอบคุณคุณลุงให้ดี"
เป็อย่างนี้นี่เอง หมี่หลันเยว่รู้สึกว่าความคิดของตัวเองยังง่ายเกินไป เื่นี้ควรปรึกษาหลินเผิงเฟยเป็การส่วนตัวก่อน
"เป็ฉันเองที่คิดไม่รอบคอบ แต่ก็ต้องขอบคุณคุณลุงให้ดีๆ นะคะ พี่เผิงเฟย พรุ่งนี้ซื้อผลไม้ไปเยี่ยมคุณลุงหน่อย นี่ไม่นับเป็ค่าแรง ถือว่าเป็ความเคารพของเรา"
แม้หมี่หลันเยว่จะยังยืนกราน แต่ก็ไม่ได้อยู่ในรูปแบบของการให้ค่าแรง อันเสี่ยวหวู่และตานจือจึงดีใจขึ้นมา อันเสี่ยวหวู่อธิบายวิธีการจัดเก็บของตัวเองให้หมี่หลันเยว่อย่างตั้งใจ
"นี่เป็แบบเสื้อผ้าฤดูใบไม้ผลิที่ออกมาใหม่ มีทั้งหมดสิบแปดแบบ ส่วนนี่เป็แบบเสื้อผ้าฤดูใบไม้ผลิ่ก่อนหน้า มีทั้งหมดสามสิบห้าแบบ"
การจัดวางแบบนี้ ทำให้มองเห็นได้ง่ายขึ้น การเลือกสินค้าก็น่าจะสะดวกขึ้น แต่ก็แออัดเกินไปจริงๆ นี่แค่ไม่กี่แบบ ก็ทำให้คลังสินค้าเต็มขนาดนี้แล้ว เห็นทีการหาคลังสินค้าที่ใหญ่กว่านี้เป็สิ่งที่ต้องทำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
"พวกเราไปดูคลังเก็บวัสดุกันต่อ"
เมื่อเปิดประตูคลังเก็บวัสดุ ก็เห็นผ้าที่ม้วนเป็มัดๆ บนเตียงในบ้านหลังเล็ก กองสูงเกือบถึงเพดาน บนโต๊ะยาวที่พื้นก็มีชั้นไม้กั้น บนนั้นมีทั้งกระดุมแบบต่างๆ ซิปแบบต่างๆ แถบปกเสื้อ ขอบเสื้อ และวัสดุอื่นๆ ก็เบียดเสียดกันเต็มไปหมด บนพื้นยังมีกล่องกองอยู่มากมาย ภายในบรรจุวัสดุแบบต่างๆ
"พูดก็พูดเถอะ ชั้นไม้ของพวกพี่ใช้ได้ผลจริงๆ แบ่งแยกอุปกรณ์เสริมได้ชัดเจนขึ้นเยอะเลย"
หมี่หลันเยว่ชี้ไปที่ช่องสี่เหลี่ยมที่แบ่งแยกประเภทอย่างชัดเจน
"แค่พื้นที่ยังไม่ค่อยพอเท่าไหร่ ดูสิ อุปกรณ์เสริมพวกนี้ได้แต่กองไว้บนพื้น ดูรกไปหน่อย แถมหายากด้วย"
ตานจือชี้ไปที่กล่องต่างๆ ที่วางซ้อนกันเป็ชั้นๆ การค้นหาอาจจะยุ่งยากจริงๆ และถ้าเผลอทำล้มลง การเก็บก็คงเหนื่อยน่าดู
"พี่เสี่ยวจือ อดทนไปก่อนนะ ฉันจะรีบหาทางแก้ไขปัญหานี้ให้เร็วที่สุด"
"แต่พี่จัดระเบียบที่นี่ได้ดีกว่าคลังเก็บวัสดุเดิมเยอะเลย การหาของก็น่าจะสะดวกกว่าเดิม ดีมาก รักษาต่อไปนะคะ สู้ๆ"
ได้ยินหมี่หลันเยว่ชม หนุ่มน้อยยิ้มเขินๆ พยักหน้าอย่างรวดเร็ว
"เื่การทำบัญชีมีปัญหาอะไรไหม ถ้ามีอะไรที่ไม่เข้าใจ ก็ให้เรียนรู้จากพี่เผิงเฟยเยอะๆ พี่เผิงเฟยทำบัญชีได้ดีมากๆ เลยนะคะ"
แม้หลินเผิงเฟยจะไม่ได้เรียนทำบัญชีมาโดยตรง แต่บัญชีของเขาก็เป็แบบที่เข้าใจง่าย ั้แ่ก้าวเข้ามา หมี่หลันเยว่เป็คนนำทาง แต่การพัฒนาหลังจากนั้น ล้วนขึ้นอยู่กับความฉลาดของเขาเอง
"พวกเราจะตั้งใจเรียนนะ"
หลินเผิงเฟยก็บอกว่าทั้งสองคนพัฒนาเร็วมาก ตอนนี้สามารถรับมือเองได้แล้ว เชื่อว่าอีกไม่นานคงสามารถเป็กำลังหลักได้
หมี่หลันเยว่พอใจกับผลลัพธ์นี้มาก จะหวังให้คนใหม่กลายเป็มืออาชีพในทันทีคงไม่ได้ ตราบใดที่มีศักยภาพ ก็ควรขุดคุ้ยและฝึกฝน คนเราทุกคนมีจุดเด่น และความขยันก็เป็คุณสมบัติที่ดีที่สุด ตอนนี้ดูเหมือนว่าหนุ่มๆ เหล่านี้จะขยันกันพอสมควร
"แล้วหร่วนิอี้กับเมิ่งเสี่ยวเฟยล่ะ เป็ยังไงบ้าง"
หลินเผิงเฟยเดินออกมาจากคลังสินค้ากับหมี่หลันเยว่ ถามถึงหนุ่มๆ สองคนที่เตรียมจะออกไปทำการตลาด
"ก็ดีนะ หนึ่งอาทิตย์นี้ให้พวกเขาทำความคุ้นเคยกับสินค้าของเราเป็หลัก เรียนรู้ได้เร็วเหมือนกัน"
"ฉันยังให้หลิวลี่และหนิวเถียจู้ช่วยฝึกอบรมประสบการณ์การขายให้พวกเขาเป็พิเศษ โรงงานก็ให้หลิวเสี่ยวหว่านพาพวกเขาไปทำความเข้าใจอย่างละเอียด กำหนดรูปแบบการพูดในแต่ละขั้นตอน เพื่อให้สามารถเน้นจุดเด่นของเสื้อผ้าสำเร็จรูปของเราเมื่อแนะนำให้ลูกค้า ตอนนี้พวกเขาพูดออกมาเป็ฉากๆ แต่ผลลัพธ์ในการขายก็ต้องปล่อยออกไปถึงจะรู้"
เื่นี้พูดได้ยากจริงๆ แต่หมี่หลันเยว่ก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร คนเราต้องผ่านการฝึกฝนเสมอ และตอนนี้ลูกน้องของตัวเองก็ยังไม่มีใคร ตัวเองและพี่ชายอีกสองคนคงไม่ว่างไปทำการตลาดภายนอก ไม่ว่าความสามารถของทั้งสองคนนี้จะเป็ยังไง ก็ทำได้แค่ดึงออกไปลองดูก่อน
"ฉันตั้งใจจะให้พวกเขาสองคนไปตระเวนตามเมืองรอบๆ ในวันพรุ่งนี้หรือไม่ก็วันมะรืน ส่วนผลลัพธ์จะเป็ยังไง ก็คงต้องรอให้พวกเขากลับมาถึงจะรู้ หวังว่าจะมีผลลัพธ์ที่ดีนะ"
หมี่หลันเยว่ไม่เคยทำการตลาดภายนอกมาก่อน ลูกค้าขายส่งในชาติก่อน ล้วนแต่มาที่ร้านทั้งนั้น ดังนั้น หมี่หลันเยว่จึงไม่สามารถให้ประสบการณ์ได้มากนัก ทำได้แค่ให้พวกเขาฝึกฝนด้วยตัวเอง
"ใช่แล้ว นี่เป็ด้านที่เราไม่เคยััมาก่อน จะได้ผลลัพธ์แบบไหน ก็คงต้องเดินไปทีละก้าวแล้วล่ะ"
หลินเผิงเฟยก็รู้ว่าในการทำการตลาดภายนอกนั้น ทุกคนล้วนแต่เป็ตาบอดคลำช้าง ไม่มีประสบการณ์เลย
"ไม่เป็ไร ทุกสิ่งต้องเริ่มต้นจากไม่มี สิ่งต่างๆ ก็ต้องเริ่มต้นจากไม่เป็จนชำนาญ นี่เป็แค่กระบวนการ ตราบใดที่เราปฏิบัติต่อมันด้วยความตั้งใจ ฉันคิดว่าผลลัพธ์ก็คงมีแต่จะดีขึ้น และพวกเขาทั้งสองคนก็มีคุณสมบัติครบถ้วน ฉลาด ไหวพริบดี เรียนรู้สิ่งต่างๆ ก็ขยันขันแข็ง ฉันค่อนข้างมองพวกเขาในแง่ดีนะ"
แม้การทำงานจะเริ่มต้นอย่างยากลำบาก แต่ตราบใดที่เข้าที่เข้าทางแล้ว ความสำเร็จก็คงเป็แค่เื่ของเวลา หมี่หลันเยว่ยังไม่ค่อยกังวล ตอนนี้ทุกคนยังเด็ก แม้แต่ร้านค้าและโรงงานก็ยังเด็ก พวกเราไม่ขาดเวลา ตราบใดที่คว้าโอกาสได้ ก็จะต้องได้ผลลัพธ์ที่ดีแน่นอน
ร้านใหม่ คนใหม่ แิใหม่ ทุกอย่างกำลังปรับตัวเข้าหากันอย่างช้าๆ เหมือนฟันเฟืองของเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่กำลังเริ่มต้นทำงานประสานกัน ตัวเองต้องทำหน้าที่หล่อลื่น เพื่อให้เครื่องจักรทำงานได้อย่างราบรื่นยิ่งขึ้น เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง ธุรกิจของตัวเองก็จะก้าวขึ้นสู่บันไดขั้นใหม่
ก่อนที่จะให้หร่วนิอี้และเมิ่งเสี่ยวเฟยออกไปทำงาน หมี่หลันเยว่ให้หลิวชิงเวยพาตัวเองไปเยี่ยมบ้าน หมี่หลันเยว่ทำเช่นนี้ทำให้หลิวชิงเวยรู้สึกซาบซึ้งใจมาก นี่คือความห่วงใยที่แท้จริงต่อลูกน้อง เป็เื่ยากที่หมี่หลันเยว่ที่เด็กขนาดนี้จะคิดได้รอบคอบขนาดนี้
