Chapter 1
Smell like something bad gonna happens
บลูบอนเนต (น.) หรือ Bluebonnet
ดอกไม้แห่งความลึกซึ้ง แสนเศร้าและการบอกลา
ให้ระลึกถึงความเศร้าเสียใจปนเหงาที่เคยมีมา
และเลือกจะจดจำเอาไว้เสมอ
‘ถึงจะเ็ปแค่ไหน ก็ขอไม่ลืมมัน’
; เพราะเราต่างผ่านความโศกเศร้ามากมายในชีวิต
อดีตที่ขมขื่นและอยากจะลืมเลือนมันไปให้สิ้นซาก
; ถ้าหากย้อนกลับไปแก้ไขมันได้อีกครั้ง
ผมเองก็ไม่รู้เลยว่าอยากจะแก้ไขมันอีกครั้งไหม
หรือปัจจุบันตรงหน้ามันสวยงามจนอยากจะจดจำทุก่
แม้มันจะเกิดท่ามกลางความย่อยยับก็ตาม
; เป็ความผิดพลาดของฉันเอง
ทั้งหมดมันเกิดจากฉันเองแค่คนเดียว
ถ้าหากไม่บ่มเพาะความเน่าเฟะในจิตใจให้แก่เขา
เมล็ดพันธุ์ของปีศาจร้ายคงไม่งอกเงยงดงามเช่นนี้
แสงสว่างยามเช้าตรู่เล็ดลอดผ่านผ้าม่านสีขาวผืนบาง กระทบลงบนเตียงนอนหนานุ่มราคาแพง คลอเคลียแก้มนวลของร่างเล็กกระทั่งเขาลืมตาตื่น แพขนตาหนางอนกะพริบปริบ ๆ เพื่อปรับให้ชินกับความสว่างของเช้าวันใหม่ ไม่นานก็หยัดยันตัวลุกนั่ง
เรือนผมสีบลอนด์ที่ได้รับมาจากคนเป็แม่ดูยุ่งเหยิงเล็กน้อย ั์ตาสีฟ้าเข้มจากผู้เป็พ่อเหม่อมองไปเบื้องหน้าอย่างไร้จุดหมาย เมื่อคืนกว่าจะนอนก็ดึกเอาใช่เล่น ตัวเลขบัญชีเกินสิบหน่วยที่ต้องจัดการให้พ่อยังคงวนเวียนในหัว แขนเรียวยกขึ้นบิดี้เีไล่ความเมื่อยล้า ก่อนจะตลบผ้านวมผืนหนาให้พ้นจากร่างและก้าวเท้าลงบนพื้นปาร์เก้ราคาแพง
‘เจย์ลีน’ ชื่อของเขาที่แม่ตั้งให้ ชายหนุ่มวัยยี่สิบสี่ปีพึ่งพ้นจากรั้วมหาลัยชื่อดัง ร่างเล็กสมส่วนตามแบบฉบับคนดูแลตัวเอง กำลังยืนอยู่หน้ากระจกหลังจากอาบน้ำชำระร่างกายเสร็จ นิ้วเรียวเกลี่ยไล้ไปตามเสื้อบนราวที่ถูกแขวนเรียงในตู้เสื้อผ้า กระทั่งเลือกได้ว่าจะสวมอะไร
เจย์ลีนอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าอ่อนและกางเกงขายาวสีขาวสะอาด พรมน้ำหอมกลิ่นโปรดเรียบร้อยก็คว้ากระเป๋าคู่ใจก้าวลงบันไดคฤหาสน์หลังงามลงมาทีละก้าวจนเหยียบชั้นล่าง มองซ้ายขวาไม่พบใครเช่นเคย แม้คฤหาสน์ราคาหลายสิบล้านที่คนเป็พ่อบรรจงออกแบบด้วยตัวเองนั้นจะใหญ่มากเพียงใด หากแต่ความอ้างว้างก็กัดกินหัวใจเขาอยู่เสมอมา
“คุณเจย์ทานอะไรดีคะวันนี้” แม่บ้านสาวที่คงโตกว่าเจย์ลีนราวสิบปีเห็นจะได้ร้องทักเมื่อเห็นลูกชายเ้าของบ้านที่เปรียบเหมือนเ้านายอีกคนของตัวเองเดินลงมาจากชั้นสอง
“ไม่ดีกว่าป้าเมย์ จูลยังไม่ลงมาหรอครับ” สายตาสอดส่ายไปรอบ ๆ ขณะปากเอ่ยถามถึงสมาชิกอีกคนในบ้าน
“ออกไปแต่เช้าแล้วค่ะคุณเจย์” หล่อนตอบรับและยืนนิ่ง เมื่อเห็นเจย์ลีนทำเพียงพยักหน้าก็เดินหลบไปทำหน้าที่แม่บ้านอีกทาง
ที่เจย์ลีนถามถึงคือ ‘จูเลียน’ น้องชายฝาแฝดที่คลานตามกันมาติด ๆ ใบหน้าเหมือนกันจนคนที่พบเจอครั้งแรกมักจะแยกไม่ออก หากแต่ตอนนี้คงแยกได้ไม่ยาก จูเลียนเปลี่ยนสีผมเป็สีน้ำตาลอ่อนแล้ว เขาว่าเขามักรำคาญใจเสมอที่คนทักเขาเป็เจย์ลีนแฝดพี่แทนที่จะเป็ตัวเขาเอง
ขาเรียวก้าวไปบนพื้นหินอ่อนเงาวับของคฤหาสน์หลังโอ่อ่า ถ้าไม่นับรวมพ่อแล้ว จูเลียนก็คงเป็ญาติมิตรคนเดียวที่เจย์ลีนเหลืออยู่ พูดถึงแม่คงต้องรื้อฟื้นกันเสียยกใหญ่และอาจมีหยดน้ำตาประกอบการย้อนหวนคืนนึกถึงมันด้วยเป็แน่
เจย์ลีนเปิดประตูรถหรูคันงามที่พ่อซื้อให้เป็ของขวัญหลังเรียนจบ พ่อมักให้ทุกอย่างที่แฝดทั้งสองคนอยากได้ ของราคาแพงสมฐานะที่มหาเศรษฐีคนหนึ่งจะไขว่คว้ามาให้ลูกชายทั้งสองได้ไม่เคยยากเกินความสามารถของคนเป็พ่อ หากแต่สิ่งที่ทั้งสอง้าคงเป็สิ่งที่พ่อให้ไม่ได้และไม่เคยจะมีให้ได้ มันคือ ‘เวลา’
คนหลังพวงมาลัยขับรถออกมาตามถนน สองข้างทางหากยังไม่พ้นจากละแวกที่อาศัยก็เป็บ้านแบบเดียวกันกับของเขา กระทั่งถัดออกมาจึงเป็สองข้างทางที่เต็มไปด้วยร้านรวงมากมาย ผู้คนเดินขวักไขว่และยานพาหนะจำนวนมากกระจัดกระจายอยู่บนถนนเช่นกัน วิถีชีวิตใน่เช้าของวันทำงานก็เป็เช่นนี้ มันวุ่นวาย แต่อีกสักพักก็สงบลงใน่สาย
รถยนต์คันหรูจอดเทียบหน้าร้านค้าแห่งหนึ่ง เ้าของรถก้าวขาลงและผลักประตูกระจกเข้าไปข้างใน ทุกเดือนเจย์ลีนต้องมาที่นี่ แค่เดือนละครั้งในวันที่ยี่สิบเจ็ดจนเ้าของร้านจดจำหน้าเขาได้เป็อย่างดี
“คุณเจย์ สวัสดีครับ” ชายวัยกลางคนเอ่ยร้องทักเมื่อเห็นเขาเดินเหยียบเข้ามาภายในร้าน
“สวัสดีครับ เช้านี้ดูคนวุ่นวายกว่าปกติจัง” มือเรียวเอื้อมถอดแว่นกันแดดที่สวมอยู่ออก ก่อนจะเหน็บไว้ที่สาบเสื้อเชิ้ตบริเวณกลางอก
“เรียกว่าวุ่นวายน่าดูเลยครับ นี่ครับลิลลี่สีขาวของคุณเจย์”
เจย์ลีนพยักหน้าเป็เชิงขอบคุณก่อนจะรับช่อดอกไม้ขนาดพอดีมือมาถือ ดอกลิลลี่สีขาวห่อด้วยกระดาษสีครีมสวยงาม ลิลลี่เบ่งบานและดูสดใหม่ตามที่ขอไว้กับเ้าของร้าน เจย์ลีนแตะบัตรเครดิตเพื่อชำระเงิน จากนั้นจึงกล่าวลาและผลักประตูกระจกออกมาจากร้าน
หลังปิดประตูรถ เสียงดังโวยวายของผู้คนภายนอกนั้นก็เงียบลงราวกับปิดสวิตช์ เจย์ลีนวางช่อดอกไม้ที่เบาะข้างคนขับ เขาจ้องมองมันอยู่ครู่หนึ่ง แม่ชอบดอกลิลลี่ ชอบมาั้แ่ไหนแต่ไรโดยเฉพาะลิลลี่สีขาว เจย์ลีนเอื้อมมือไปแตะกลีบของมัน ลูบอย่างแ่เบาพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ ผุดบนใบหน้าจิ้มลิ้ม ไม่นานก็ละมือและสตาร์ทรถขับออกไปตามถนน มุ่งหน้าไปยังที่ที่หนึ่งที่คุ้นเคย
ใช้เวลาไม่นานมากนักท่ามกลางการสัญจรบนถนนในลอสแองเจลิส เจย์ลีนจอดรถที่ริมรั้วเหล็กสีดำขลับ ผุพังบ้างบางชิ้นตามอายุการใช้งาน ถ้าหากพ่อบริจาคเงินประจำปีแบบที่ทำอยู่บ่อย ๆ เดาว่ามันก็คงกลับมาเงาวับและตั้งตรงแข็งแรงอีกครั้ง
ลมเย็นพัดแ่เบาล้อเล่นกับเรือนผมพลิ้วไหว ชายหนุ่มก้าวเดินไปตามพื้นปูน ในมือถือช่อลิลลี่สีขาวไว้ ั์ตาสีฟ้าภายใต้แว่นกันแดดมองตรงไปยังจุดหมายที่ตระหง่านนิ่งบนพื้นหญ้า ดอกไม้ช่อเก่าของเดือนที่แล้ววางเหี่ยวแห้งอยู่เบื้องหน้า เป็ของเขาอีกนั่นแหละ และข้างกันก็คงจะเป็ของจูเลียนเพราะห่อด้วยกระดาษสีชมพูอ่อน
เจย์ลีนเดินจากพื้นปูนเรื่อยมาจนกระทั่งเหลือเพียงทางเดินแคบ ๆ โรยด้วยกรวดละเอียด เสียงหวีดไหวของลมเย็นชัดเจนก้องในหู เช้าขนาดนี้ไม่แปลกที่สุสานยังคงไร้คน คงมีเพียงเขาเท่านั้น ดีเหมือนกัน จะคุยอะไรกับแม่ก็คงไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาได้ยินสิ่งที่เขาจะพูด
ร่างเล็กหยุดหน้าแท่นศิลาสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่แกะสลักตัวหนังสือยาวเหยียดกร่อนลึกลงไปเฉกเช่นกับจิตใจของเจย์ลีนยามอ่านชื่อของเ้าของหลุมศพ ร่างไร้ลมหายใจที่นอนนิ่งใต้ผืนหญ้าจะเป็อย่างไรบ้างนะ เจย์ลีนวางช่อดอกไม้บานสะพรั่งตรงหน้าหลุมศพของแม่ ‘แคลร์ เมอติเนซ’
“วันนี้อากาศดีจังเลยครับแม่” เขาเอ่ยขึ้นเบา ๆ หลังทรุดนั่งลงบนพื้นหญ้าหน้าหลุมศพ ข้างตัวเป็ดอกไม้สองช่อที่เหี่ยวแห้ง มันถูกแทนที่ด้วยช่อลิลลี่ช่อใหม่แล้วเรียบร้อย ดวงตากลมเหม่อมองไปยังตัวเลขที่แกะสลักบนผิวแข็งแกร่งของหินศิลาสีเข้มที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาร่วมเกือบยี่สิบปี พลันขอบตาของเ้าตัวก็เริ่มจะร้อนผ่าวขึ้นมาเสียดื้อ ๆ
แคลร์ตายไปั้แ่เจย์ลีนและจูเลียนอายุเข้าห้าขวบ แม่ป่วยมาได้สักพักจากโรคประจำตัว แต่โชคร้ายที่อาการกลับทรุดและย่ำแย่ลงภายในระยะเวลาเพียงหนึ่งปีเท่านั้น มันรวดเร็วจนเจย์ลีนไม่อาจตั้งตัว อย่างว่าเพียงวัยห้าขวบ การสูญเสียมันอาจจะหนักหน่วงและรวดเร็วไปสักหน่อยเกินกว่าเด็กวัยนั้นจะรับรู้อะไรมากมาย แต่พอผ่านไปนานเข้า เจย์ลีนถึงได้รู้ว่าความเ็ปมันบ่มเพาะฝังรากลึกมานานแสนนานโดยไม่รู้ตัว
ไม่ใช่ว่าพ่อบกพร่องจนมิอาจทนได้ กลับกันพ่อเองทุ่มเทกายใจเลี้ยงดูเขาและจูเลียนมาอย่างดี แม้บางครั้งความเป็ชายและ้าจะให้สองแฝดเข้มแข็งนั้นมันอาจมีผลลัพธ์ที่ไม่น่าพอใจสักเท่าไหร่ แต่เจย์ลีนคิดว่าพ่อก็ยังทำหน้าที่ตรงนั้นได้ดีเสมอมา
ปฏิเสธไม่ได้ว่าเจย์ลีนเองก็โหยหาความอ่อนโยนบ้างบางครา หากแต่ไขว่ขว้ามากเท่าไหร่ที่ได้มามันก็ว่างเปล่า ก่อเกิดเป็หลุมลึกกลวงในจิตใจที่ต้องแสร้งเข้มแข็งต่อหน้าพ่อในบางครั้ง มันจึงไม่แปลกที่ต่อให้ผ่านมานานมากเท่าไหร่ การได้นั่งคุยกับแม่หน้าหลุมศพก็ยังคงเรียกหยดน้ำตาให้เขาได้เสมอเฉกเช่นเดียวกันกับในครั้งนี้
“เจย์คงต้องไปแล้วนะแม่ ป่านนี้พี่ ๆ คงมาทำงานที่ร้านกันแล้ว ถ้าเจย์เข้าไปสายคงไม่ดีแน่” หลังมือขาวปาดน้ำตาที่เปรอะเปื้อนใบหน้าออก ลุกยืนขึ้น จ้องมองศิลาแผ่นนั้นเพียงครู่ก็หันหลังและเดินกลับไปที่รถ เสียงสตาร์ทเครื่องยนต์ราคาแพงลิบดังขึ้น ก่อนจะลับหายไปตามระยะทางที่ทิ้งห่าง ทว่าหลังพวงมาลัยนั้นยังปรากฏคนขับที่น้ำตาไหลรินพรั่งพรูไม่ขาดสาย
“นายคิดว่ายังไง” ชายหนุ่มเ้าของเรือนผมสีน้ำตาลเลิกคิ้วขึ้นพร้อมคำถามที่ทำเอาคนฟังตอบไม่ถูก คนถามบนเก้าอี้ล้อเลื่อนกอดอกมองจ้องชายหนุ่มที่ยืนอยู่ สายตาคาดคั้นขอความคิดเห็นดูแล้วท่าทางอยากจะได้ยินสิ่งที่ตัวเองคิดไว้มากกว่าความเห็นที่อีกคนอยากพูด
“จูล ทีแรกฉันคิดว่ามันจะดีนะ แต่ตอนนี้ฉัน…”
“ไม่เอาน่าเคน นายจะปล่อยให้มันเป็ไปแบบนี้หรือยังไง?”
จูเลียนลุกพรวดจากเก้าอี้ทำงานของเคนโตะ ร่างเล็กประชิดตัวเงยหน้ามองอีกฝ่ายเขม็ง สีหน้าที่ผ่อนคลายเมื่อครู่ดูเริ่มไม่สบอารมณ์เสียแล้วเมื่อเห็นเคนโตะทำท่าจะแย้งอะไรบางอย่างที่จูเลียนไม่อยากฟัง
“จูล เธอก็รู้ดีว่ามันยากแค่ไหน ลำพังเราสองคนทำมันไม่สำเร็จหรอก ขนาดตำรวจเป็สิบยังตามจับมันไม่ได้เลย ข่าวในทีวีก็ไม่ออก ขนาดสกู๊ปเล็ก ๆ ในหนังสือพิมพ์ประจำเมืองยังไม่มีเลย”
เคนโตะใช้น้ำเย็นเข้าลูบหวังว่าอีกฝ่ายจะคล้อยตามเหตุผลของเขาบ้าง หากแต่คนตัวเล็กหัวรั้นก็ยังคงมีสีหน้าและแววตาคัดค้านตามเดิม จูเลียนถอนหายใจ สะบัดหน้าไปอีกทางราวกับเด็กน้อยที่ผู้ใหญ่ไม่อนุญาตให้ซื้อลูกอม ร่างเล็กทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ล้อเลื่อนอีกครั้ง คราวนี้หันกลับไปมองบางสิ่งที่เรียงไว้เป็ระเบียบบนโต๊ะทำงานของร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างหลัง
รูปถ่ายนับสิบที่จูเลียนกดชัตเตอร์ผ่านกล้องฟิล์มคู่กายวางอยู่อย่างเรียบร้อย ดวงตากลมจดจ้องมันอย่างเอาเป็เอาตายพร้อมใบหน้านิ่วคิ้วขมวดเต็มที่ เคนโตะลอบมองแผ่นหลังบางของเพื่อนสนิทหัวรั้นคนนี้แล้วอดที่จะถอนหายใจออกมาไม่ได้ ั้แ่รู้จักกันมาจูเลียนก็เป็แบบนี้มาเสมอ ไม่ถึงกับว่าเอาแต่ใจจนน่าหงุดหงิดแต่หากเมื่อหมายปองสิ่งใดก็ต้องรับรู้มันให้ได้แม้ว่ามันจะยากเย็นมากแค่ไหน
“จูล…”
“ไม่ต้องพูด ฉันกำลังใช้สมาธิ” จูเลียนเอ่ยเสียงเรียบไม่รอให้เคนโตะพูดจบประโยค เ้าของห้องทำได้เพียงก้าวถอยหลังและนั่งลงบนเตียงนอนของตัวเองอย่างระอาใจ
จูเลียนกำลังมีสิ่งใหม่ที่สนใจเป็พิเศษอยู่ และมันเป็สิ่งที่เคนโตะสามารถให้ความร่วมมือได้เป็อย่างดี ‘คดีฆาตกรต่อเนื่องหกศพ’ ใช่ ฟังไม่ผิด หกศพ หากแต่ไร้การแถลงข่าวเตือนภัยใดใดจากตำรวจในเมือง ทว่าในเว็บบอร์ดของเมืองกลับถกเถียงเื่นี้กันอย่างแพร่หลาย เพราะลำพังเพียงศพเดียวมันก็ไม่ควรเกิดแล้ว นี่เล่นปาเข้าไปถึงหกศพ
ไม่ต้องแปลกใจทำไมเขาถึงมีเอี่ยว เพราะพ่อของเคนโตะเป็ถึงนายตำรวจหัวหน้าทีมสามของแผนกสืบสวนสอบสวนในเมือง แน่นอนว่าต้องมีข้อมูลภายในซุกซ่อนอยู่บนโต๊ะทำงานที่อยู่ห้องตรงข้ามเป็แน่ และแน่นอนว่านักเขียนคอลัมน์อิสระที่นั่งหน้านิ่วอยู่ในห้องเขาตอนนี้ก็ต้องอยากสืบเสาะเื่นี้เป็ธรรมดา
วันแรกที่คนเริ่มจะพูดถึงเื่นี้คือวันที่ศพที่สามอย่าง ‘เจนีน่า เพอร์เรล’ ถูกพบที่เขตรกร้างสำหรับทิ้งขยะชายป่า หล่อนอายุเพียงสิบแปดปี เป็สมาชิกของชมรมนักข่าวในโรงเรียนเดียวกันกับที่จูเลียนและเคนโตะเรียนจบไฮสคูลมา ตำรวจพบศพเจนีน่าหลังจากแม่ของหล่อนวิ่งโร่ไปแจ้งความว่าลูกสาวหายตัวไปเพียงสองวัน
จูเลียนดูตื่นเต้น เพราะรู้ดีว่าเพื่อนสนิทอย่างเคนโตะต้องช่วยเขาได้แน่นอน และเป็ดังคาด ทีแรกเคนโตะก็เห็นว่ามันน่าสนใจ เขาจึงแอบขโมยกุญแจห้องทำงานของพ่อเพื่อล้วงข้อมูลคดีนี้มาให้เพื่อนสนิทอย่างจูเลียน เพราะเคนโตะคิดว่ามันคงจะจบแค่สาม แต่โชคร้ายที่มันเพิ่มเป็เท่าตัวไปถึงหก
เพราะงั้นมันไม่ใช่เื่ล้อเล่นแล้ว และสภาพศพแต่ละศพนั้นเรียกได้ว่าน่ากลัวจนตอนแอบอ่านสำนวนคดีที่ขโมยมาจากห้องพ่อพร้อมกับจูเลียนนั้น ทั้งสองขนลุกขนพองกลืนน้ำลายและมองหน้ากันด้วยความสยดสยอง ทุกศพล้วนผ่านการถูกทรมานต่าง ๆ นา ๆ และจบชีวิตลงด้วยะุแบบเดียวกันหลังจากญาติมาแจ้งว่าคนตายหายตัวไป
“เคน นายต้องช่วยฉันนะ” จูเลียนเงยหน้าจากรูปนับสิบบนโต๊ะ หมุนตัวหันมามองหน้าเคนโตะที่นั่งอยู่บนเตียงด้วยแววตาขอร้อง
“จูล ฉันขอร้อง ถ้าเธออยากจะเขียนอะไรก็แล้วแต่ฉันจะช่วยแน่นอน ยกเว้นเื่นี้เื่เดียว”
“แต่นายก็รู้ว่าฉันทำไปทำไม…” จูเลียนเอ่ยเสียงเรียบ ใบหน้าเริ่มฉายแววความน้อยใจ ดวงตาปกปิดเื่ในหัวที่เคนโตะรู้ดีว่ามันคืออะไร
“ถ้าฉันทำได้ พ่อจะได้เห็นว่าที่ฉันทำอยู่มันไม่ได้ไร้สาระเลย มันไม่เคยไร้สาระเลยสักนิด ฉันเองก็เก่ง เก่งเหมือนกันกับเจย์ลีน”
เสียงนั่นสั่นเครือจนคนฟังอย่างเคนโตะที่รับรู้ปัญหานี้มาตลอดก็พลอยรู้สึกไม่ดีไปด้วย จูเลียนมักเปรียบเทียบตัวเองกับแฝดคนพี่เสมอ แม้มันจะเป็การเปรียบเทียบเพียงฝ่ายเดียว และเจย์ลีนเองก็ไม่เคยรู้สึกว่าน้องด้อยกว่าเพียงสักนิด จูเลียนเป็อีกครึ่งของเขาเสมอ และเป็พื้นที่ปลอดภัยของเจย์ลีนเสมอมา
ทว่าความรู้สึกเปรียบเทียบตัวเองและกดฝังตัวตนของตัวเอง คิดว่าตัวเองต่ำกว่าอีกคนเสมอนั้น หากลองได้เผยย่างกรายเข้ามาในห้วงคะนึงของใครสักคนแล้ว มันยากเย็นนักที่จะกำจัดออกไป มันไม่เคยง่ายดายที่จะขับไล่มันให้พ้น ทำได้เพียงหยุดคิดไปสักพักหนึ่ง แต่แล้วมันก็จะวนกลับมาใหม่ราวกับลูปนรกที่แสนทรมานเสมอ
“จูล เธอไม่เคยด้อยไปกว่าคนอื่นเลยนะ ไม่ว่าจะกี่ร้อยพันคนหรือมากมายมากแค่ไหน ฉันก็ต้องบอกว่าเธอดีที่สุดเสมอ และฉันเองไม่อยากให้เธอรู้สึกแบบนั้นเลย เธอมีดีในตัวของเธอเอง ไม่มีใครเหมือนเธอ และไม่มีใครทำแบบเธอได้แน่นอน”
เคนโตะลุกจากเตียงนอนเดินตรงมายังเก้าอี้ที่จูเลียนนั่งอยู่ ฝ่ามือหนาแตะลงบนบ่าและลูบเบา ๆ เพื่อปลอบโยนแผลใจที่จูเลียนมักเฆี่ยนตีตัวเองด้วยเื่นี้ตลอดมา จูเลียนไม่สบตา เอาแต่ก้มมองตักของตัวเอง เขารู้ดีว่าตัวเองอ่อนแอแค่ไหน และรู้ดีว่าพ่อไม่เคยชอบในงานที่เขาทำเลย
ตระกูลมหาเศรษฐีเก่าแก่ั้แ่สมัยปู่กับย่า มีพ่อเป็ลูกชายคนเดียว ทุกคนร่ำรวยมีอันจะกิน คนรอบตัวหรือแม้กระทั่งพี่ชายฝาแฝดของเขาก็เลือกจะสืบทอดกิจการของครอบครัวต่อ พ่อทำอสังหาริมทรัพย์ั์ใหญ่ เป็ที่รู้จักของแวดวงคนมีอันจะกิน เจย์ลีนก็ดูแลร้านเพชรที่ใหญ่ที่สุดของเมือง เป็ลูกที่ดีในโอวาศของพ่อมาเสมอ พ่ออยากให้ทำอะไรเจย์ลีนไม่เคยขัดแม้แต่คำเดียว ต่างจากจูเลียนโดยสิ้นเชิง
ความหัวรั้นและขบถถูกปลูกฝังมาแต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่ยักกะรู้ ว่ากันว่าฝาแฝดถ้าหากไม่เหมือนกันอย่างกับแกะ ก็คงแปลกแยกแตกต่างกันคนละทิศคนละทางไปเลย และเขากับเจย์ลีนเองก็คงเป็อย่างหลังเสียมากกว่า จูเลียนเลือกเรียนวารสารศาสตร์ต่างจากเจย์ลีนที่เลือกเรียนบริหารแบบที่พ่ออยากได้ รอยแยกที่แตกออกมาจากเส้นตรงแบบนั้น มันทำให้จูเลียนคิดเสมอว่าเขาคือคนนอกคอกไม่เข้าพวกกับครอบครัว
“ถ้านายเข้าใจฉัน ช่วยฉันเถอะนะเคน ถ้าฉันทำมันสำเร็จและสืบคดีนี้จนคืบหน้า ฉันคงภูมิใจในตัวเองมาก”
แววตาขอร้องที่เคนโตะกำลังมองอยู่ทำเอาเขาใจอ่อนยวบ พยักหน้าโดยไม่รู้ตัวอย่างเสียไม่ได้ คงเพราะความใกล้ชิดสนิทสนมที่มันเคยก่อเป็ความรักยังคงสานต่ออยู่นิดหน่อย ถึงแม้จะเลิกรากันไปและหลงเหลือเพียงคำว่าเพื่อน แต่เคนโตะยอมรับว่าจูเลียนเป็คนที่เขาสบายใจจะอยู่ด้วยมากที่สุด และดูเหมือนว่าจูเลียนเองก็คิดแบบนั้นเช่นกัน
“เออรู้แล้วน่า ฉันกำลังไป”
นิ้วเรียวกดวางสายที่โทรเข้ามารบกวนการนอนเขาแต่เช้า บุหรี่ยี่ห้อโปรดคีบอยู่ในปากขณะที่สองมือติดกระดุมเสื้อเชิ้ตอย่างลวก ๆ เครื่องแบบนายตำรวจสีดำแขนสั้นที่เริ่มซีดจากการผ่านการทำงานมาเกือบสิบปี มันยับยู่ยี่ไร้การรีด เดวิดยืนอยู่หน้ากระจกบานเล็กในห้องน้ำของอพาร์ทเมนต์ใจกลางเมืองที่ใช้เวลาเพียงสิบนาทีก็ถึงกรมตำรวจ หันมองตัวเองพร้อมเสยเรือนผมสีดำขลับให้เข้าที่เข้าทาง
สูดนิโคตินเข้าปอด ก่อนจะพ่นควันสีขาวออกมา ชายหนุ่มวัยสามสิบสามปีเดินออกจากห้องน้ำ คว้ากางเกงสแล็กสีดำจากกองผ้าในตะกร้า ลองดมดูแล้วน่าจะพึ่งใส่ไปครั้งสองครั้ง เขาสวมมันด้วยความเร่งรีบจนเซไปชนกองกระป๋องเบียร์นับสิบล้มระเนระนาด
“เวร ยิ่งรีบก็ยิ่งช้า”
คว้าสัมภาระทั้งหมดอย่างเร่งรีบ ไอ้เวรแมททิวมันโทรมาปลุกเขาแต่เช้า มันว่าเช้านี้มีประชุมเื่คดีแน่นอน กำลังฝันดีถึงนางเอกซีรีส์ฆาตกรรมที่พึ่งดูไปเมื่อคืนอยู่เชียว ถ้าไม่ติดว่ามันเป็คดีใหญ่นะ ฝันไปเถอะว่ามนุษย์กลางคืนอย่างเขาจะตื่นก่อนเวลาเข้างานเร็วขนาดนี้ อย่างน้อยมันต้องห้านาทีเท่านั้น
เดวิดบิดลูกบิด เปิดประตูและวิ่งลงบันไดไป เมื่อถึงชั้นหนึ่งก็โบกมือทักวิเวียนหญิงแก่เ้าของอพาร์ทเมนต์ เดาว่าเธอน่าจะไม่เห็น อายุอานามขนาดนี้สายตาคงเริ่มฝ้าฟาง เดวิดผลักประตูบานใหญ่ออกไปยังริมถนน ไขกุญแจเปิดประตูมัสแตงปี 1967 สีดำคันเก่าที่เป็มรดกตกทอดจากพ่ออีกที สตาร์ทมันก่อนจะขับตรงไปยังกรมตำรวจด้วยความเร็วที่หากเร่งมาอีกขีดหนึ่งก็น่าจะโดนเพื่อนร่วมงานฝ่ายจราจรจับข้อหาขับรถเร็วแน่นอน
บนท้องถนนอุ่นหนาฝาคั่งไปด้วยเพื่อนรวมทางนับสิบ เดวิดจอดติดแหงกอยู่ตรงแยกไฟแดงก่อนถึงสถานี ชายหนุ่มผิวแทนดูเงาสะท้อนตัวเองผ่านกระจกมองหลัง ขอบตาเริ่มคล้ำและผิวหน้าดูหยาบกร้านจากการพักผ่อนน้อยและนิโคตินรวมไปถึงแอลกอฮอล์ที่เขาประโคมอย่างหนักหน่วงใส่ร่างไม่บันยะบันยัง
“สภาพ ทุเรศลูกกะตา”
ชายหนุ่มเบือนหน้าหนี ไอ้เื่สูบบุหรี่กับดื่มเหล้ามันคงเป็ปกติ แต่ที่พักผ่อนน้อยมันคงจะมาจากคดีใหญ่ที่ทีมสืบสวนสอบสวนทีมสามอย่างเขาได้รับมา ‘คดีฆาตกรต่อเนื่อง’ ครั้งแรกในชีวิตที่ต้องไล่ล่ามันแม้ในมือจะมีหลักฐานเท่าฝุ่นผง แต่ทีมสามที่เคยโชติ่แบบเขาก็ยังคงทะนงตัวอยู่ว่าตัวเองเก่งกาจมากแค่ไหน ทั้งที่จริงพอเจอหินลูกใหญ่ขนาดนี้เข้าไป เดวิดเองก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่มันยิ่งกว่าขวากหนามกองโต
ติดอยู่ในห้วงภวังค์เพียงครู่เสียงบีบแตรจากรถคันหลังก็ดังขึ้น ไฟเขียวบอกให้ไปต่อ เดวิดเข้าเกียร์ก่อนจะขับมุ่งตรงไปข้างหน้า เพียงสี่่ตึกก็ถึงสถานี เขาจอดรถเทียบอย่างรวดเร็วราวกับเป็นักแข่งฟอร์มูลาวัน นายตำรวจคนอื่นที่ยืนจับกลุ่มกันอยู่เป็อันรู้ทันทีว่าไอ้ตัวหัวร้อนแผนกสืบสวนมันมาถึงแล้ว
ชายหนุ่มก้าวขาลงจากรถ ยัดกุญแจที่ห้อยพวงกุญแจรูปดาวอันเก่า ดูท่าไม่เข้ากับบุคลิกเลยแม้แต่น้อย หากแต่ใครจะรู้ว่ามันคือของสำคัญชิ้นหนึ่งในชีวิตของเขา ประตูกระจกบานเลื่อนอัตโนมัติเปิดออกเมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้ เดวิดตรงไปยังลิฟต์และกดชั้นทำงานของตัวเอง ไม่นานนักกล่องเหล็กบรรจุคนก็เคลื่อนตัวขึ้นไปส่งเขายังที่หมาย
“ย้ายก้นมาจากที่นอนแล้วหรอพ่อสายเสมอ”
แมททิวเอ่ยร้องทัก เดวิดยักคิ้วกวนประสาทเฉกเช่นทุกวัน ก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะประจำตัว สักพักเพื่อนร่วมทีมที่เอ่ยทักเมื่อครู่ก็เดินตามมาติด ๆ
“อะไร” เดวิดเอ่ยถามโดยไม่หันไปมอง
“เร่งน่าดูเลยว่ะ” แมททิวเอ่ยตอบทำท่ากระซิบกระซาบทั้งที่อยู่กันเพียงสองคนในแผนก
‘แมททิว แคมป์เบล’ เพื่อนร่วมทีมที่อายุห่างกับเขาหนึ่งปี เ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอ่อน ตัวสูงกว่าเขาหลายเิเอยู่ และมันมักจะเอาเื่ส่วนสูงมากวนประสาทเขาตอนเมาเสมอ เดวิดรู้จักกับแมททิวมาั้แ่เข้าร่วมทีมกันใหม่ ๆ ที่จริงยังมีคริสอีกคน แต่สงสัยมันจะไปหาซื้อกาแฟ อีกสักพักก็คงมา
“ประชุมกี่โมง เอางี้ดีกว่า” เดวิดหันมาเผชิญหน้า กอดอกพร้อมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย
“พอลจะมาที่นี่ตอนเก้าโมง”
“เออ ยังไงก็ได้ แต่ก็ไม่รู้จะประชุมไปทำไม ประชุมอีกสักกี่รอบมันก็เท่าเดิม หลักฐานจากแดนมันก็แค่นั้น สืบอะไรต่อไม่ได้ ตันกันฉิบหาย”
“มันก็ไม่มีทางอื่นแล้วว่ะเดฟ รอไปเรื่อย ๆ แบบนี้ศพอื่นก็งอกออกมาเชื่อฉันสิ”
เดวิดส่ายหน้าอย่างหัวเสียเล็กน้อย อย่างที่บอก เมื่อก่อนตอนรวมทีมกันใหม่ ๆ ทีมสามที่มีเขา แมททิว และคริส มีซาโตรุอีกคนที่เป็หัวหน้าทีม ไม่ว่ากี่คดีที่ทีมหนึ่งและทีมสองไม่สามารถไขได้ ทีมสามอย่างพวกเขามักจะไขมันออกภายในไม่กี่วันเสมอ กลายเป็ว่าทีมสามถือเป็ลูกรักเลยก็ว่าได้
แต่พอเจอกับคดีที่ทำอยู่ตอนนี้ คดีฆาตกรต่อเนื่องที่ลุกลามมาจนศพที่หก มันเหมือนกับว่ากำลังเข็นครกขึ้นูเายังไงก็ไม่รู้ ทุกทางที่สืบสาวไปทางออกมักกลายเป็ทางตันเสมอ ทุกอย่างที่นึกเอะใจมักนำไปสู่ปลายทางที่มีแต่ความว่างเปล่า ระยะเวลาั้แ่ศพแรกยันตอนนี้ก็ปาเข้าไปร่วมปีแล้ว และดูท่ามันคงจะยาวนานเข้าไปอีก
“กาแฟมั้ยพวก”
เสียงเอ่ยทักจากผู้มาใหม่ที่มาก่อนเดวิด ‘คริส ฟลอเลส’ หนึ่งในทีมที่อายุเท่ากันกับแมททิว ชายหนุ่มร่างเล็กสุดในทีมถือถาดกาแฟสี่แก้วในมือ เขาวางมันบนโต๊ะตรงกลางก่อนจะหยิบแก้วของตัวเองขึ้นกระดกรวดเดียวครึ่งแก้ว
“หิวน้ำว่ะโทษที”
คริสเดินตามมารวมกลุ่มกับแมททิวและเดวิด สีหน้าดูอิดโรยไม่ต่างจากอีกสองคนที่เหลือ คดีนี้ทำเอาพวกเขานอนวันละสี่ชั่วโมงมาร่วมปี ไม่แปลกที่สภาพร่างกายจะทรุดลงกันจนน่าใจหายแบบนี้
“เก้าโมง อีกชั่วโมงกว่า ๆ แต่ฉันว่านะเดี๋ยวพอลมันก็โผล่มาก่อนเวลาอยู่ดี” คริสเงยหน้าจากการดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือ ในมือยังคงถืออเมริกาโนเพิ่มหวานห้าสิบเปอร์เซ็นต์ เดวิดมักจะมองด้วยสายตาเหยียดหยามเสมอเมื่อได้ยินเขาสั่ง เดวิดคิดในใจว่าทำไมมันถึงไม่สั่งน้ำตาลแก้วหนึ่งแล้วใส่กาแฟแค่ช็อตเดียวไปเลยไม่ดีกว่าหรือไง
“good morning ทุกคน”
“fuck!”
เป็แบบที่คริสเดาไว้ไม่มีผิด พอลโผล่มาก่อนเวลาจนได้ ในมือถือเอกสารปึกหนาที่เดาว่าคงเป็รีพอร์ตจากการพิสูจน์ศพของนิติแบบเขานั่นแหละ พอลเดินตรงมายังวงสนทนาที่ทำท่าจะแตกกระเจิงอยู่รอมร่อเพราะเบื่อหน่ายการประชุมเต็มทน
“มีกาแฟของฉันมั้ยคริส?” พอลเอ่ยถามพร้อมยิ้มอย่างสดชื่นขัดกับใบหน้าของทีมสามที่บอกบุญไม่รับเสียเต็มประดา
“บนโต๊ะเลยพวก ของนายลาเต้ลดนมครึ่งหนึ่ง”
“เยี่ยม ตามมาเร็ว จะได้แยกย้ายกันไปทำอย่างอื่น แต่ถ้าพวกนายสนใจจะมาช่วยฉันผ่าศพล่ะก็ ฉันให้ลีลาได้อีกสิบนาที”
พอลคว้าแก้วกาแฟก่อนจะเดินตรงไปยังห้องประชุมที่ถัดไปเพียงกระจกกั้น ทั้งสามรีบคว้าแก้วและเดินตามไปติด ๆ ใครจะอยากผ่าศพกันล่ะวะ แค่เห็นในที่เกิดเหตุก็อยากจะเบือนหน้าหนีเต็มทน ถึงจะเป็ทีมสอบสวนมานานแค่ไหนก็เถอะ แต่การเห็นศพบ่อย ๆ มันก็ไม่ใช่เื่ยินดีนัก โดยเฉพาะศพที่สภาพไม่น่าดูแบบคดีที่กำลังจัดการอยู่นี่ยิ่งแล้วใหญ่
“ฉันจะทวนอีกรอบ ก็คงเบื่อหน่ายกันแล้วแหละ แต่ทำไงได้ ฉันคิดว่าบางทีการย้ำบ่อย ๆ มันอาจทำให้เราเอะใจอะไรใหม่ ๆ ได้ มั้งนะ” พอลจิบกาแฟหนึ่งอึก ก้มมองเอกสารปึกใหญ่ตรงหน้า ก่อนจะลุกไปยังกระดานไวท์บอร์ดหน้าห้อง คว้ามาร์คเกอร์และเริ่มเขียนรายละเอียดลงไปทีละตัวจนครบ โดยมีทั้งสามนั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องประชุม เดวิดนั่งก้มหน้านวดหว่างคิ้ว แมททิวปัดฝุ่นออกจากเครื่องแบบ ส่วนคริสโตเฟอร์เงยหน้ามองเพดานตาปริบ ๆ ทำท่าจะหลับแหล่ไม่หลับแหล่
รายละเอียดทั้งหมดที่สมาชิกในห้องประชุมได้รับรู้มาตลอดถูกเขียนลงบนกระดานทีละตัว เหยื่อทุกคนล้วนมีเพศและอายุที่ต่างกันออกไป ลามไปยันอาชีพและสภาพความเป็อยู่ ฐานะและเงินตราที่เองก็ไม่ใช่ตัวแปร แม้แต่คนไร้บ้านเองก็เป็ศพ และนักเขียนคอลัมน์ดูนกมีอันจะกินเองก็ตายในสภาพน่าอนาถเช่นกัน
แต่ละศพถูกพบในสถานที่ที่ไม่ห่างกันนัก พอลองจุดลงไปบนแผนที่ของเมืองก็พบว่ามันกระจายกันโอบล้อมป่าผืนหนึ่งไว้อย่างพอดิบพอดี และก่อนตายทุกคนมักมีจุดหมายสุดท้ายก็คือป่าผืนนั้นเช่นเดียวกัน ส่วนมากจะเริ่มจากการหายตัวไป บทสรุปทุกอย่างคือกลายเป็ศพเหมือนกันหมดไม่มีใครได้รอด
พูดถึงแรงจูงใจที่เดวิดระดมความคิดกับคนในทีม่แรก ๆ แล้วคงต้องบอกว่าการชิงทรัพย์ตัดออกไปได้เลย ทรัพย์สินทุกอย่างอยู่ครบจนน่าใจหาย แต่ที่น่ากลัวคือฆาตกรมักฝากความสยดสยองเอาไว้ดั่งลายเซ็นบนตัวศพ มันคือร่องรอยการทารุณกรรมมากมายที่ดูแล้วมันผิดแผกแปลกจากมนุษย์มนาคนอื่นเหลือเกิน
บ้างก็ถูกกรีดทั่วร่างจนพอลนับแผลไม่หวาดไม่ไหว บ้างก็ถูกเฉือนหนังออกไปจนทั้งแขนเหลือเพียงิัชั้นในสีแดงเถือก บ้างก็ถูกของแข็งไร้คมทุบอย่างรุนแรงจนกระดูกแตกละเอียดทั้งร่างแต่พอลก็พบว่ารายนั้นยังมีการกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดแม้สังขารบ่งบอกว่าใกล้ตายเต็มที บ้างก็มีแผลจากการไหม้จนถึงระดับสาม เรียกว่าเนื้อเยื่อเสียหายอย่างรุนแรงและรับรู้ความเ็ปนั้นทั้ง ๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่
พอลเดาว่ามีอาการทางจิตเข้ามาเอี่ยวเกินครึ่ง เพราะดูแล้วมันเพลิดเพลินกับการได้ฆ่าจนน่าใจหาย และไม่รู้เลยว่ามันเป็ใคร มันซ่อนตัวอยู่ที่ไหน มันกำลังคิดจะฆ่าใครอยู่หรือเปล่า หรือมันอาจเดินสวนเราที่ร้านกาแฟเมื่อเช้าก็ไม่มีใครรู้ แต่ที่รู้คือทุกศพที่ตายไปนั้นล้วนถูกยิงด้วยปืนไม่ทราบชนิด แต่ะุมีเพียงชนิดเดียวที่ฝังทะลุร่างของทุกคน มันคือ .45 ACP เหมือนกันในทุกศพ
เดวิดเงยหน้าขึ้นมองหลังจากที่เห็นว่าพอลหันกลับมาเห็นท่าทางที่ไร้ความสนใจของพวกเขา ดวงตาคมของเดวิดจ้องที่เหยื่อรายแรก เพียงครู่ก็เบือนหน้าหนีราวกับไม่อยากรับรู้อะไรอีกต่อไป
“เราจะเอาหลักฐานจากแดนมาคุยกันอีกครั้งและหาข้อแตกต่าง จะเริ่มเลยหรืออยากไปช่วยฉันตรวจเครื่องในศพก่อนดี”
พอลเอ่ยเสียงเรียบราวกับล้อเล่น แต่อีกสามคนที่เหลือรู้ดีว่าเขาเอาจริง บรรยากาศในห้องประชุมของแผนกสืบสวนต่อจากนี้จึงเต็มไปด้วยการหารืออย่างเคร่งเครียด ทว่าแม้มันจะเคร่งเครียดหรือไปต่อได้มากแค่ไหน ปลายทางมันมักจะสิ้นสุดลงที่ความว่างเปล่าเสมอ
“เนโกรนีหนึ่งแก้วครับ นายกินอะไรพอล” หันหน้ามาถามเพื่อนร่วมงานแผนกนิติหลังจากสั่งเครื่องดื่มของตัวเองกับบาร์เทนเดอร์ที่คุ้นเคยกันเป็อย่างดีเสร็จ พอลส่ายหน้าปฏิเสธ เดวิดยักไหล่ ไว้มันอยากกินขึ้นมาก็คงจะสั่งเองนั่นแหละ
คืนวันพุธในบาร์ใกล้กับอพาร์ทเมนต์ของเดวิดคนดูบางตา เนื่องด้วยพรุ่งนี้เป็วันทำงาน แม้ว่าความจริงคนเราแค่นึกอยากจะเมาก็ไม่สนหรอกว่าพรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าแค่ไหน มันเลยทำให้ทุกวันของเดวิดมักจะสิ้นสุดที่นี่เสมอ และถ้าหากยังไม่หนำใจ เขาก็จะแวะร้านของชำและหนีบเบียร์สักสองกระป๋องกลับห้องเป็อาจิน
ที่นั่งหน้าบาร์ข้างเขาในตอนนี้คือ ‘พอล วิลสัน’ หมอชันสูตรแผนกนิติวิทยาศาสตร์ มันอายุมากกว่าเขาหนึ่งปี แต่ไม่ได้เคารพมันแบบพี่น้องเลยสักนิด เพราะสนิทกันมาั้แ่สมัยเด็ก ไม่แปลกที่พอลจะแวะมาดื่มหลังเลิกงานกับเขาบ้างในบางวันพอให้เดวิดไม่เหงาจนเกินไป
“ไหวอยู่มั้ยวะเดฟ” พอลเอ่ยถามหลังจากที่คนข้าง ๆ กระดกเครื่องดื่มในแก้วใบใสอึกใหญ่และมองเหม่อไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมายมาครู่หนึ่งแล้ว
“ไหวมั้ง ฉันเองก็คงต้องไหวนั่นแหละ ถึงแม้จะมีหรือไม่มีน้องฉันไปเอี่ยวด้วย ฉันก็คงต้องสืบมันให้เต็มที่”
ที่เดวิดกำลังพูดถึงคือ เดฟน่า ศพแรกของคดีนี้นั่นแหละน้องสาวแท้ ๆ ของเขาเอง ถึงแม้จะอายุห่างกันเกือบสิบปี แต่ความต่างของ่วัยไม่ได้กระทบมาถึงความสัมพันธ์ของพี่น้องเลย เดวิดรักเดฟน่ามาก น้องสาวเป็เหมือนทุกอย่างในชีวิต กระทั่งคืนหนึ่งที่ทุกอย่างในชีวิตถูกพรากไปอย่างไม่มีวันหวนคืน
คืนสุดท้ายบนโลกใบนี้ของเดฟน่า หล่อนโทรหาเขาร่วมห้าสาย เป็ห้าสายที่เดวิดไม่ได้รับเพราะกำลังติดประชุมคดีฆ่ายกครัวที่เกิดแถวแถบชนบทอยู่ กว่าจะรู้ก็สายไป ทันทีที่เสร็จการประชุมก็ล่วงเลยไปจนถึงเช้าวันใหม่ ก่อนที่เดวิดจะโทรกลับหาน้องสาว สายเรียกเข้าจากนายตำรวจที่เคยเห็นหน้าค่าตาก็โทรสวนมาทันที แจ้งข่าวร้ายจากปลายสายว่าเดฟน่าถูกคนไร้บ้านคนหนึ่งพบศพเข้าเมื่อชั่วโมงก่อนหน้าที่เขาจะรับโทรศัพท์
วินาทีนั้นมือไม้อ่อนปวกเปียกจนโทรศัพท์แทบร่วง เขารวบรวมสติทั้งหมดรุดไปยังที่เกิดเหตุจนเหยียบคันเร่งแทบมิดไมล์ เมื่อถึงก็พบกับร่างหนึ่งภายใต้ผ้าคลุมสีขาวบนเตียงสนาม เลิกผ้าขาวผืนนั้นดูก็พบกับความจริงที่ต้องเผชิญแม้อยากให้มันเป็แค่ฝัน เดฟน่านอนหลับสนิทไร้ลมหายใจและจากโลกนี้ไปเสียแล้ว
“นายกับฉันและคนที่เหลือ จะต้องทำให้ได้เดฟ ฉันเชื่อแบบนั้น ไม่ว่าใครมันทำเื่ระยำแบบนี้ พวกเราต้องช่วยกันลากคอมันมาให้ได้” พอลตบที่บ่าของเขาเบา ๆ เป็เชิงปลอบใจ เดวิดเอื้อมมือคว้าจี้สร้อยคอที่สวมอยู่ขึ้นมาถือในมือ มันคือแหวนเงินผิวเรียบวงหนึ่ง เป็แหวนที่เดวิดซื้อให้เดฟน่าในวันเกิดครบรอบยี่สิบปี และเขาเก็บมันร้อยใส่สร้อยห้อยคอไว้เตือนใจั้แ่วันที่เดฟน่าไปจากโลกใบนี้
มันไม่มีน้ำตาสักหยดก็จริง หากแต่ในอกมันร้าวระบม หัวใจช้ำชอกกลัดหนองจนอยากจะกรีดร้องออกมา ทว่าความเ็ปมันสุมกับทับถมจนทำให้เขาหมกมุ่นอยู่กับคดีนี้ อุทิศทั้งชีวิตและแรงกายแรงใจทำทุกวิถีทางที่จะหามันให้เจอ เ้าของมือสกปรกที่ฆ่าน้องสาวเขาและคนอื่นไปอีกห้าศพ ไม่ว่าจะนานแค่ไหนเขาก็จะหาให้ได้
เพราะทุกศพต่างมีจุดร่วมกันคือะุชนิดนั้น .45 ACP ทุกคนต่างตายด้วยะุแบบนั้น ไม่ว่าใครที่เหนี่ยวไก ไม่ว่าใครที่ทำตัวเป็มัจจุราชจอมปลอมตั้งตนถือตัวเหนือกว่าคนอื่น ไม่ว่าใครที่คิดว่ามันสามารถพรากชีวิตคนอื่นไปได้ง่ายดายขนาดนั้น เขาอยากจะจับมันให้ได้ ให้สมกับที่เขาและอีกหลายคนต้องสูญเสียอะไรไป เขาสัญญา