รอบๆ มีชาวบ้านอีกจำนวนหนึ่ง เมื่อได้ยินว่าซ่งอวี้ล้มป่วย พวกเขาก็แย่งกันพูดทันที
"ซ่งอวี้ ไม่สบายก็พักผ่อนอยู่ในเรือน อย่าเพิ่งทำงาน ถึงอย่างไรเวลานี้เ้าก็มีสามีแล้ว ให้สามีของเ้าหาเงินเลี้ยงครอบครัวเถิด"
"ใช่ๆ ซ่งอวี้ สามีของเ้าล่ะ เขารักเ้ามากไม่ใช่หรือ? ปกติเห็นเ้าทำงานอะไรเขาก็ทำด้วยทุกอย่างมิใช่หรือ? เหตุใดวันนี้จึงไม่เห็นเขาเล่า?"
ซ่งอวี้เดินช้าลง กระแอมไอเสียงเบา "ขอบคุณท่านลุงท่านป้าทุกคนที่เป็ห่วง แดดจ้าเล็กน้อย ตากแดดจนจิตใจว้าวุ่น ข้าขอตัวกลับก่อนนะเ้าคะ"
ทุกคนหันไปมองดวงอาทิตย์บนฟ้าพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย บนหุบเขาเต็มไปด้วยต้นไม้ใบหญ้า บดบังท้องฟ้าจนเกือบมิด แล้วจะตากแดดจนจิตใจว้าวุ่นได้อย่างไร?
เป็ในตอนนั้นเองที่หลี่เฉิงเดินออกมาจากในป่าด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เขายืนอยู่ข้างซ่งอวี้ ก่อนจะเอ่ยวาจาแฝงความหมายบางอย่าง "ใช่ บนหุบเขาอากาศร้อนเล็กน้อย ข้ากับภรรยาต้องขอตัวก่อน ท่านลุงท่านป้าเชิญตามสบาย"
ชาวบ้านเข้าใจทันที จึงเอ่ยวาจาหยอกเย้า "เฮ้อๆ พวกเ้าอายุยังน้อย วันข้างหน้ายังอีกยาวไกล ยามทำการทำงานอย่าทำเื่ไร้สาระ กลับไปพักผ่อนเถิด"
ซ่งอวี้วิ่งลงจากหุบเขาอย่างไม่คิดชีวิต นางได้ยินเสียงหลี่เฉิงตอบกลับ "ท่านลุงพูดถูก คราวหน้าข้าและภรรยาจะ..."
พอจะจินตนาการได้เลย หลังจากชาวบ้านเหล่านี้กลับหมู่บ้านเสี่ยวหนิว จะคิดเช่นไรกับเื่ในวันนี้ สองสามวันนี้ นางคงไม่อาจออกไปพบเจอผู้คนได้แล้ว ช่างน่าขายหน้ายิ่งนัก
แต่ว่า อากาศในวันนี้ ช่างดีจริงๆ
ซ่งอวี้และหลี่เฉิงเดินเข้าไปในเรือน
หลังจากบอกความในใจของกันและกัน แม้ซ่งอวี้จะยังคงรู้สึกเขินอาย แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็คนในยุคปัจจุบันที่เคยเห็นความรักมามากมายนัก นางปรับอารมณ์ของตนเองได้อย่างรวดเร็ว ยามเผชิญหน้ากับหลี่เฉิงอีกครั้งจึงนิ่งสงบขึ้นมาก
นางอาศัยแสงแดดเจิดจ้าในยามนั้น คัดแยกสมุนไพรที่เก็บมาเมื่อครู่ให้เป็หมวดหมู่ จากนั้นก็นำไปตากแห้ง และแปรรูปด้วยวิธีการพิเศษ แม้สมุนไพรเหล่านี้ไม่ตากแห้งก็ไม่เป็ไร แต่รูปทรงและราคาจะไม่ดี เมื่อครุ่นคิดดูแล้ว เวลานี้นางมีเงินเหลือใช้ชั่วคราว จึงจะทำสมุนไพรเหล่านี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ตอนเรียนมหาวิทยาลัย ซ่งอวี้เรียนแพทย์แผนจีนเป็วิชาโท การแปรรูปสมุนไพรถือเป็บทเรียนสำคัญ ครั้งหนึ่งนางเคยตั้งใจศึกษาศาสตร์นี้
สมุนไพรที่แตกต่างกันย่อมมีสรรพคุณที่ไม่เหมือนกัน วิธีการแปรรูปสมุนไพรเหล่านี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย หากทำผิดพลาดเพียงหนึ่งขั้นตอน สมุนไพรเหล่านี้ไม่เพียงสูญเปล่า ทั้งยังอาจจะก่อให้เกิดพิษได้
แต่ในทางเดียวกัน สมุนไพรที่ผ่านการแปรรูป ตอนต้มสมุนไพร จะทำให้ฤทธิ์ยากระจายตัวได้ดีขึ้น ส่งผลเสียต่อร่างกายน้อยลง
แน่นอนว่าในยุคปัจจุบันความรู้เหล่านี้ไม่ได้มีความวิเศษแต่อย่างใด แม้ไม่เคยร่ำเรียนมาก่อน แต่เพียงค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตก็เข้าใจทุกอย่างแล้ว แต่นี่คือสมัยโบราณ หลักการสำคัญของความรู้ทุกสาขาวิชาชีพล้วนอาศัยการสืบทอดแบบปากต่อปาก บางคนถึงขั้นหวงแหนความรู้ของตนเป็อย่างยิ่ง เพื่อเป็การรับประกันว่าตำแหน่งอาจารย์ของตนเองจะต้องอยู่เหนือกว่าผู้อื่น
ซ่งอวี้ไม่ใช่ผู้ที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา ที่นางทำสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำเพื่อปฏิรูปแพทย์แผนจีนในยุคสมัยนี้ แค่อยากจะทำให้ตนมีชีวิตที่ดีขึ้นในสมัยนี้ก็เท่านั้น
วันนี้ก่อนจะขึ้นหุบเขานางคิดแล้วว่า ก่อนหน้านี้ด้วยความจำเป็ สมุนไพรที่เก็บได้จำต้องนำไปขายที่สำนักแพทย์ ราคาที่สำนักแพทย์จ่ายล้วนไม่สูง ได้เพียงแค่พอจะเลี้ยงปากท้องได้เท่านั้น แต่ตอนนี้นางมีเงินอยู่ในมือแล้ว ไม่มีความจำเป็ต้องทำเช่นนั้นอีกแล้ว
แต่ว่า ผู้อื่นจะเห็นคุณค่าของยาหรือไม่ ข้อนี้ซ่งอวี้ก็ไม่อาจบอกได้ ทำได้เพียงพยายามลองทำก็เท่านั้น
หลี่เฉิงไม่มีความรู้ด้านวิชาแพทย์ เขานั่งอยู่ข้างๆ เห็นนางง่วนอยู่กับการทำงานอยู่นานครึ่งค่อนวัน เขายังคงไม่เข้าใจว่านางกำลังทำสิ่งใด ด้วยเหตุนี้จึงเอ่ยถาม "เ้าจะนำสมุนไพรเหล่านี้ไปใช้ในทางอื่นหรือ?"
ทั้งแช่ ทั้งบดถู วิธีการช่างแปลกพิกล
ซ่งอวี้ได้ยินเช่นนี้ นางยิ้มบางๆ "ทั้งหมดนี้จะนำไปขายแลกเงิน แต่ข้าต้องจัดการเล็กน้อย จึงจะทำให้ฤทธิ์ยามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น"
ขณะพูด ซ่งอวี้หยิบยาขึ้นมาหนึ่งชนิด ก่อนเอ่ยอธิบายช้าๆ "ดูนะ นี่คือใบอัน สามารถรักษาไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ โรคบิด ลำไส้อักเสบและอาการปวดข้อต่างๆ ได้ หากข้าเก็บสมุนไพรมา แล้วนำไปขายที่สำนักแพทย์ แม้สำนักจะนำไปตากแห้งแล้วเก็บเอาไว้ แต่ไม่นำไปแปรรูป แม้จะกินยาเหล่านี้เข้าไป ยาจะมีประสิทธิภาพเพียงห้าส่วนเท่านั้น ไม่พูดถึงเื่เห็นผลช้า ยาทุกชนิดล้วนมีพิษสามส่วน เมื่อกินมาก รังแต่จะส่งผลเสียต่อร่างกาย"
คำศัพท์มากมายทำให้หลี่เฉิงฉงนเล็กน้อย "ไข้หวัด? ไข้หวัดใหญ่? คือโรคอันใด?"
ซ่งอวี้กะพริบตาปริบๆ เพิ่งรู้ตัวว่า ตนนำคำศัพท์เฉพาะในยุคปัจจุบันมาใช้
ในยุคสมัยนี้ ไข้หวัดคือไข้หวัดซางหาน [1] ส่วนไข้หวัดใหญ่เรียกว่าเวินอี้ [2] สองโรคนี้แพร่ระบาดอย่างรวดเร็วยิ่งนัก ทั้งยังไม่มียารักษาที่ถูกหลัก หากเป็ไข้หวัดใหญ่ขึ้นมา คนส่วนมากล้วนนอนรอความตาย
นางเปลี่ยนมาใช้คำเรียกที่หลี่เฉิงฟังเข้าใจ จากนั้นอธิบายให้ฟังอย่างละเอียดอีกหนึ่งรอบ
หลี่เฉิงเป็คนฉลาด เมื่อฟังซ่งอวี้อธิบาย แววตาของเขาที่มองซ่งอวี้ก็แฝงไปด้วยความนับถือและไม่เข้าใจ วิชาการแพทย์เช่นนี้ แม้จะเป็หมอหลวงในวังหลวง เกรงว่าคงไม่อาจเทียบได้กระมัง? แต่วิชาการแพทย์ขั้นสูงเช่นนี้ ซ่งอวี้ร่ำเรียนมาจากที่ใดกันแน่?
เยี่ยสุยเคยไปสืบประวัติของซ่งอวี้มาก่อน ยืนยันว่านางเป็เพียงเด็กกำพร้าในหมู่บ้านเสี่ยวหนิว แม้บรรพบุรุษจะเคยมีคนเป็หมอมาก่อน แต่บิดามารดาของนางจากไปั้แ่นางยังเล็ก หรือว่าอาศัยการศึกษาด้วยตนเองก็มีวิชาแพทย์ระดับนี้แล้ว?
ซ่งอวี้ยกตัวอย่างใบอันให้หลี่เฉิงฟัง แต่ลืมไปว่าในตอนนี้ตนเป็เพียงหญิงชาวบ้านไร้ที่พึ่งพิง เมื่อเห็นแววตาฉงนของหลี่เฉิง หัวใจของนางพลันเต้นแรง
แย่แล้ว นางลำพองใจจนลืมตัว ลืมไปว่าตนเป็ผู้ใด ทั้งยังลืมไปว่าสำหรับยุคสมัยนี้วิชาแพทย์ที่นางร่ำเรียนมานั้นล้ำหน้า ไม่อาจอ้างว่าตนร่ำเรียนด้วยตนเองได้ ทว่าผ่านไปชั่วขณะหนึ่งแล้ว นางก็ยังคิดหาข้ออ้างอื่นเพื่อปกปิดอดีตไม่ออก จึงทำได้เพียงทำงานต่อ แล้วโต้กลับด้วยความเงียบแทน
หลี่เฉิงถอนสายตากลับมา ไม่พูดถึงความผิดปกติของซ่งอวี้เมื่อครู่แม้แต่น้อย แต่กลับให้ความสนใจกับใบอัน "เ้าบอกว่า ยานี้สามารถรักษาเวินอี้ได้?"
ซ่งอวี้หยุดชะงัก แล้วพูดอธิบาย "เวินอี้คือโรค ไม่ใช่ลม ไม่ใช่ความเหน็บหนาว ไม่ใช่ความชื้น เป็ความแปรปรวนของฟ้าดินและอากาศ สำหรับโรคนี้ ไม่อาจใช้หมาหวง [3] และกิ่งอบเชยจีน [4] ในการขับเหงื่อเหมือนทั่วไปได้ แม้แต่วิธีขับพิษของไข้หวัดซางหาน ยังยากที่จะรักษาให้หายได้ แค่ว่าเวินอี้เป็เพียงชื่อเรียกของโรคระบาด อาการของโรคโดยละเอียดเป็เช่นไร ต้องจับชีพจรก่อนจึงจะได้คำตอบ ใบอันสามารถรักษาได้เพียงบางส่วนเท่านั้น ไม่อาจครอบคลุมได้ทั้งหมด"
"ดังนั้น แม้แต่เวินอี้ชนิดอื่นๆ เ้าก็มีวิธีรักษาเช่นนั้นหรือ?" หลี่เฉิงแกล้งทำเป็ถามอย่างไม่ใส่ใจเท่าใดนัก เขาไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดตนต้องถามให้ถึงที่สุดเช่นนี้ ทั้งที่รู้ดีแก่ใจว่า ซ่งอวี้ไม่มีวันพูด เพราะถึงอย่างไรก็ถือเป็สูตรลับ
"มี"
ความคิดของหลี่เฉิงหยุดชะงักลงเพราะคำตอบของนาง สายตาของเขาจับจ้องไปยังใบหน้าด้านข้างของซ่งอวี้
"ขอเพียงเป็โรค ย่อมมีสาเหตุของโรค แม้ข้าไม่อาจบอกว่ารักษาได้ทุกโรค แต่ข้าสามารถลองรักษาดูได้"
หลี่เฉิงชะงัก ตกตะลึงกับความตรงไปตรงมาของซ่งอวี้ จากนั้นก็คลี่ยิ้มสดใส ที่ไร้ความมัวหมอง "ที่แท้ ข้าจะได้แต่งงานกับเซียนหมอนี่เอง"
ดีเหลือเกิน นางยอมพูดความลับของตนอย่างตรงไปตรงมาให้เขาฟัง แม้จะไม่ได้พูดออกมาทั้งหมด แต่เท่านี้ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว
เชิงอรรถ
[1] ไข้หวัดซางหาน หมายถึง เป็โรคระบาดที่เก่าแก่และเกิดขึ้นได้บ่อยที่สุดในยุคสมัยจีนโบราณ มีอาการเหมือนไข้หวัดและระบาดได้ง่าย
[2] เวินอี้ คือ โรคติดต่อร้ายแรง คำที่ใช้เรียกโรคระบาดที่มีความรุนแรงในยุคปัจจุบัน
[3] หวงหมา หมายถึง สมุนไพรชนิดหนึ่ง มีสรรพคุณช่วยในการขับเหงื่อและกระทุ้งไข้
[4] กิ่งอบเชยจีน หมายถึง สมุนไพรชนิดหนึ่ง มีสรรพคุณช่วยในการขับเหงื่อ กระจายชี่และเื