Chapter 4
ไม่ใช่เพราะแสงแดดอ่อน ๆ ที่ลอดผ่านชายผ้าม่านสีเทาเข้ามาภายในห้องนอน ไม่ใช่เพราะเสียงนกร้อง ‘จุ๊บจิ๊บ’ ไม่ใช่เพราะเสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์ และไม่ใช่เพราะคนที่นอนอยู่ข้างกายเผลอขยับปลายเท้ามาััโดนขากัน ถึงทำให้เฮียรู้สึกตัวตื่น
แต่เป็เพราะเวลาแปดโมงเช้าที่ปลุกเขาให้ตื่นขึ้นโดยอัตโนมัติ ปกติเฮียจะตื่นเวลานี้เป็ประจำจนรู้สึกเคยชิน เพราะเขาจะต้องไปช่วยแม่เตรียมเปิดร้านอาหารที่ ‘Here Sport Club’
ครอบครัวของเฮียทำธุรกิจสปอร์ตคลับ หรือศูนย์กีฬาครบวงจร ที่มีสนามบอลหญ้าเทียมถึงสี่สนาม มีสนามแบดมินตันหนึ่งสนาม มีสระว่ายน้ำ มีฟิตเนส และสุดท้ายก็มีร้านอาหารกับร้านกาแฟอยู่ด้วย
ในตอนแรกครอบครัวของเฮียทำธุรกิจตลาดสดมาก่อน ทว่าภายหลังได้เริ่มทำธุรกิจสนามฟุตบอลหญ้าเทียมควบคู่กันไปด้วย เพราะพ่อของเขาชอบกีฬาฟุตบอลมาก ก่อนที่พ่อจะเริ่มคิดต่อยอดกับธุรกิจนี้ และด้วยความที่ทุกคนในครอบครัวชอบเล่นกีฬากันอยู่แล้ว พ่อจึงลงทุนสร้างเป็ศูนย์กีฬาครบวงจรขึ้นมา แล้วยกธุรกิจตลาดสดให้ญาติบริหารแทน
แม้ว่าพ่อของเฮียจะเป็คนบริหารจัดการทุกอย่างในศูนย์กีฬา แต่เพราะ ‘Here Sport Club’ เป็ธุรกิจเดียวของครอบครัว ทุกคนจึงต้องช่วยกันดูแล โดยแม่รับหน้าที่ดูแลร้านอาหารกับร้านกาแฟ พี่สาวคนโตกับพี่เขยรับหน้าที่ทำบัญชี เขารับหน้าที่เป็ผู้ช่วยแม่และคอยตรวจดูความเรียบร้อยของระบบไฟฟ้าในศูนย์กีฬา ส่วนน้องชายคนเล็กเป็คนคอยต้อนรับลูกค้า
ถึงเฮียจะไม่ได้ทำงานตรงสายอย่างที่เรียนจบวิศวกรรมไฟฟ้ามา แต่เฮียก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจสักนิด เพราะเขายังพอเอาวิชาที่เคยร่ำเรียนมาใช้ประโยชน์ได้บ้าง อย่างการที่เฮียคอยเป็คนตรวจดูความเรียบร้อยของระบบไฟฟ้า คอยแก้ปัญหาระบบไฟในบางจุดเท่าที่จะทำได้ แต่หากปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นเกินกำลังกว่าที่จะทำคนเดียวได้ เขาก็จะเรียกช่างมาซ่อมแทน
ทว่าปัญหาเ่าั้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย ๆ หน้าที่หลักของเฮียจึงเป็ผู้ช่วยแม่ที่ร้านอาหารมากกว่า และถึงแม้ว่าเขาจะใช้เวลาอยู่ที่ร้านอาหารเป็ส่วนมาก แต่เขาทำอาหารแทบไม่เป็เลย เพราะเฮียรับหน้าที่เป็คนเก็บเงินอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์อย่างเดียว
แต่ว่ามีอยู่หนึ่งเมนูที่เขาทำได้...
และเมนูนี้ก็เป็ของโปรดของ...
“ไอ้เรียว...”
เฮียที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จใหม่ ๆ ทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงนุ่ม เขามองเพื่อนสนิทที่นอนหลับสนิทอยู่ พอเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่รู้สึกตัวจึงเอ่ยเรียกอีกครั้ง
“ไอ้เรียว...”
“อือ...”
เรียวขานรับด้วยเสียงแหบพร่า แล้วพยักหน้าน้อย ๆ เป็เชิงบอกว่า ‘เออ กูตื่นแล้ว’ มันยกมือข้างหนึ่งขึ้นลูบหน้า ก่อนจะพลิกตัวหันตะแคงข้างมาทางเขา ทว่ายังไม่ยอมลืมตาตื่น
“มึงอาบน้ำแล้วเหรอ?”
“เออ มึงรู้ได้ไง? ...กูยังไม่เห็นมึงลืมตามองกูเลย”
“ก็ตัวมึงหอม”
พอเฮียได้ยินเพื่อนพูดแบบนั้น เขาก็ยื่นมือข้างหนึ่งไปวางทาบที่หน้าผากของอีกฝ่ายทันที ก่อนเอ่ย “ตัวก็ไม่ร้อน”
“…”
“มึงก็ปกติดีนี่...”
“…”
“แล้วทำไมถึงชมกูได้วะ?”
เรียวค่อย ๆ ปรือตาตื่น ขณะที่เฮียชักมือกลับไป “ทำไม? ...กูจะชมมึงบ้างไม่ได้หรือไง?”
คนที่ไม่ค่อยโดนเพื่อนสนิทชมมากนักอมยิ้ม ก่อนเอ่ย “ชมได้~ เฮียไม่ได้ว่าอะไรเลยจ้ะ”
“...”
“จะชมอีกก็ได้นะ”
“ครั้งเดียวพอ”
พอเฮียได้ยินแบบนั้นก็หลุดหัวเราะออกมา ก่อนเอ่ย “มึง เดี๋ยวเช้านี้กูทำข้าวต้มปลาให้กินนะ”
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวกูกลับไปกินที่บ้านทีเดียว”
“เฮ้ยยย ไม่ต้องกลัวกูเหนื่อยหรอก กูทำได้”
“กูไม่ได้กลัวมึงเหนื่อย แต่กูกลัวแดกไม่ได้”
“ไอ้สัด!” เฮียพูดปนหัวเราะ ก่อนเอ่ยต่อ “ทำไมจะแดกไม่ได้ สูตรนี้เป็สูตรของอาม่ามึงเลยนะเว้ย”
“…”
“กูก็เคยทำให้มึงกินไปครั้งหนึ่งแล้วไง”
“ก็ครั้งนั้นแหละ...ที่คาวจนแดกแทบไม่ได้เลย”
“โอเค...ครั้งนั้นกูยอมรับว่าทำพลาดไปจริง ๆ”
“...”
“แต่ครั้งนี้กูจะไม่พลาดแล้ว”
ไอ้เรียวมุ่นหัวคิ้วขณะจ้องมองเขา มันทำเหมือนไม่ค่อยเชื่อใจกัน เพราะเฮียกลัวเพื่อนสนิทจะปฏิเสธความตั้งใจของเขาอีก เฮียจึงรีบเอ่ยขึ้น...
“ไอ้เรียว...”
“…”
“นอนต่อเถอะ เดี๋ยวกูทำข้าวต้มเสร็จแล้วจะมาปลุก”
“อีน้ำ...”
ฟุบ!
เฮียไม่ปล่อยให้ไอ้เรียวพูดจนจบ เขารีบใช้มือดันร่างของเพื่อนสนิทที่เตรียมจะลุกขึ้นนั่งให้นอนลงเหมือนเดิม ก่อนจะดึงผ้าห่มผืนหนาขึ้นมาคลุมจนมิดศีรษะอีกฝ่าย แล้วจึงยื่นมือข้างหนึ่งไปตบบริเวณศีรษะไอ้เรียวเบา ๆ
“นอนไปนะจ๊ะ”
“...”
“เดี๋ยวอีน้ำแดงมา”
พอเอ่ยไปแบบนั้นแล้ว เขาก็รีบผุดลุกจากเตียงนุ่มทันที แล้วเพื่อนสนิทที่แสนดื้อด้านก็สะบัดผ้าห่มที่ปิดคลุมร่างออก เฮียคิดว่าไอ้เรียวจะต้องทำหน้าหงุดหงิดใส่เขาแน่ ๆ แต่มันกลับไม่ได้ทำหน้าแบบนั้น ไอ้เรียวเอี้ยวตัวหันไปหยิบบางอย่างที่ชั้นข้างหัวเตียง แล้วในวินาทีต่อมา คนที่มีสีหน้าเรียบเฉยก็โยนกระเป๋าสตางค์ลงบนเตียงตรงหน้าเขา
“มึงจะออกไปซื้อของใช่ไหม?”
“เออ...”
ไอ้เรียวพยักพเยิดหน้ามาทางกระเป๋าสตางค์ที่นอนแอ้งแม้งอยู่ “บัตรเครดิตในกระเป๋าใช้ได้ทุกใบ เงินสดก็มีอยู่สามหมื่น แต่ถ้าเงินสดไม่พอ มึงจะกดเพิ่มก็ได้”
“...”
“รหัสบัตรเอทีเอ็ม แปดแปดเก้าเก้าแปดแปด”
“เดี๋ยวนะเรียว...นี่กูไปซื้อของมาทำข้าวต้มปลา ไม่ได้ไปซื้อบ้านพร้อมที่ดิน คงไม่ต้องใช้เงินเยอะขนาดนั้นหรอก”
ไอ้เรียวลอบถอนหายใจ ก่อนเอ่ย “กูก็แค่พูดเผื่อไว้เฉย ๆ”
“...”
“เผื่อว่ามึงจะอยากซื้ออย่างอื่นด้วย”
เฮียอมยิ้มพลางเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าสตางค์มาถือไว้ ก่อนเอ่ย “ถ้ากูซื้อเพชรกลับมาด้วย มึงจะด่ากูไหม?”
เ้าของกระเป๋าสตางค์ล้มตัวลงนอนอีกครั้ง ไอ้เรียวหลับตาลงแล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดคลุมจนถึง่หน้าอก ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“ถ้ามึงซื้อมาน้อยกว่าสิบกะรัต กูจะด่ามึง”
เฮียหัวเราะเบา ๆ เมื่อเพื่อนสนิทตอบกลับแบบนั้น เขาคิดว่ามันจะด่ากลับมาซะอีก แต่ผิดคาดอีกแล้วที่อีกฝ่ายกลับพูดหยอกล้อแทน
“เรียวสายเปย์นี่หว่า...”
คนที่นอนหลับตาอยู่ยกมือขึ้นปัดเบา ๆ เป็เชิงบอกว่า “ไปได้แล้ว อีน้ำแดง”
“…”
“กูจะนอนต่อแล้ว”
เฮียยิ้มขณะมองเพื่อนสนิท แล้วจึงเอ่ย “จ้า...อีน้ำแดงไปแล้วจ้ะ”
เขาหมุนตัวเดินไปทางประตูบานสีขาว ทว่าก่อนจะออกจากห้องก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ‘ลืมกุญแจรถ’ เฮียเลยหมุนตัวหันกลับไปทางเตียงนอนอีกครั้ง แล้วคนที่นอนอยู่ก็เอ่ยขึ้นอย่างรู้ใจ
“กุญแจรถวางอยู่บนลิ้นชักข้างโซฟา ไม่ได้อยู่ในห้องนี้”
“โอเค”
เฮียเอ่ยตอบกลับไปแบบนั้น ก่อนจะเปิดประตูเดินออกมาจากห้อง แล้วระหว่างที่สาวเท้าไปหยิบกุญแจรถ เขาก็คิดว่า ‘ทำไม่นี้ไอ้เรียวด่าน้อยลงกว่าเดิมวะ? ...แล้วยังขี้เล่นขึ้นอีก’
เ้าของใบหน้าดูดีเอียงคอขณะครุ่นคิด แล้วความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัว บางทีไอ้เรียวคงรู้สึกผิดที่ด่าเขามาตลอด ตอนนี้เลยอยากเปลี่ยนมาพูดจาดี ๆ กับเขาบ้าง
มันต้องเป็แบบนั้นแน่ ๆ
ถ้าเหตุผลที่ทำให้เพื่อนสนิทเริ่มเปลี่ยนไปั้แ่่เรียนจบเป็เพราะรู้สึกผิดจริง ๆ เฮียก็อยากบอกเพื่อนสนิทว่า ‘มึงไม่ต้องรู้สึกผิดอะไรหรอก ที่มึงด่ากูก็เพราะความเป็ห่วงทั้งนั้น แล้วเพราะว่าเราเป็เพื่อนสนิทกัน กูไม่ถือสามึงหรอก แต่ที่สำคัญ...กูรู้ว่าก่อนที่มึงจะด่ากู มึงคิดมาก่อนแล้วว่า...คำด่านั้นไม่ได้ร้ายแรงถึงขั้นสร้างาแในใจให้กู’
และเฮียก็อยากบอกเพื่อนสนิท (แค่ในใจ) อีกว่า...
ต่อให้มึงไม่เปลี่ยนตัวเอง
หรือถึงแม้ว่ามึงจะเปลี่ยนตัวเอง
ไม่ว่าจะยังไง…
กูก็ยัง ‘รัก’ เพื่อนอย่างมึงมากอยู่ดี
#รักแท้ของผมคือคุณ
หลังจากไปซื้อของที่ซูเปอร์เสร็จแล้ว เฮียก็รีบตรงดิ่งกลับเพนเฮาส์ทันที เพื่อจะรีบกลับมาทำข้าวต้มปลาให้เพื่อนสนิทกินก่อนกลับบ้าน เพราะเฮียอยากแก้มืออีกครั้ง ครั้งนี้เขาจึงตั้งใจทำมากเป็พิเศษ
คนที่ยืนง่วนอยู่หน้าหม้อต้มมาสักพักแล้ว หมุนตัวหันไปหยิบเนื้อปลาล้างสะอาดที่วางอยู่ในจานบนเคาน์เตอร์มาถือไว้ ดวงตาเรียวรีจ้องมองน้ำสีใสในหม้อที่กำลังเดือดพล่าน ก่อนจะเอาเนื้อปลาที่หั่นเป็ชิ้นพอดีคำลงไปลวกในน้ำเดือดจัด
อาม่าเคยบอกว่า...ไอ้เรียวชอบกินข้าวต้มปลามาก แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้กินของทุกคน มันจะกินแค่ข้าวต้มปลาฝีมืออาม่ากับร้านเ้าประจำเท่านั้น ถ้ามันกินของร้านไหนไปแล้วได้กลิ่นคาว แม้ว่าจะได้กลิ่นนิดหน่อยก็ตาม มันจะไม่ยอมกินต่อเด็ดขาด
และอย่างบางร้านที่เคยไปกินด้วยกัน เฮียแทบไม่ได้กลิ่นคาวจากข้าวต้มปลาถ้วยนั้นเลย แต่เพื่อนสนิทยังรู้สึกว่ามีกลิ่นคาวอยู่ดี นั่นจึงทำให้เฮียต้องใส่ใจในทุกขั้นตอนจริง ๆ
เฮียใช้ทัพพีตักเนื้อปลาที่สุกแล้วขึ้นมาใส่จาน แล้ววางไว้บนเคาน์เตอร์เหมือนเดิม ก่อนจะเอื้อมมือข้างหนึ่งไปหยิบถ้วยกระเบื้องสีน้ำเงินมาถือไว้
คนตัวสูงโปร่งที่สวมผ้ากันเปื้อนสีแดงสดขยับตัวมายืนหน้าหม้อต้มที่มีข้าวต้มปรุงรสเสร็จแล้ว เฮียใช้กระบวยสเตนเลสคนข้าวต้มในหม้ออีกครั้ง แล้วจึงตักขึ้นมาใส่ถ้วยกระเบื้องสีน้ำเงินที่เตรียมไว้
กลิ่นหอมกรุ่นที่ลอยโชยมาใต้จมูกช่วยเรียกความมั่นใจให้เขามากขึ้น พอวางถ้วยข้าวต้มลงบนเคาน์เตอร์แล้ว เฮียก็เอาเนื้อปลาชิ้นสวยที่สุกกำลังดีมาใส่ในข้าวต้มอีกที
อาม่าบอกว่า...
ต้องลวกเนื้อปลาแยกแบบนี้
อย่าต้มรวมกันทีเดียว
ข้าวต้มปลาถึงจะไม่มีกลิ่นคาว
แล้วก็ตบท้ายด้วยการใส่กระเทียมเจียวที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ ๆ ลงไปเล็กน้อย ก่อนจะหันไปหยิบขึ้นฉ่ายที่ล้างน้ำไปหลายรอบมาหั่น ในตอนที่พ่อครัวหัวป่ากำลังตั้งใจหั่นขึ้นฉ่ายเพื่อเอาไปโรยหน้าข้าวต้มปลาอยู่ โทรศัพท์เครื่องสีดำที่วางอยู่ไม่ไกลก็สั่นแจ้งเตือนขึ้น
เฮียจึงต้องวางมือจากตรงหน้าเพื่อไปดูว่าปลายสายเป็ใคร หากไม่ใช่คนสำคัญเขาจะยังไม่รับสาย แต่ถ้าเป็คนในครอบครัวโทรมาหา เขาจะต้องรับสายทันที แล้วชื่อที่ระบุอยู่บนหน้าจอว่า ‘เจ้หลิน’ ก็ทำให้เฮียต้องเอามือทั้งสองข้างถูไปบนผ้ากันเปื้อนลวก ๆ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสาย
“ฮัลโหล”
[เฮีย หนูกลับบ้านวันไหน?]
เอ่อ
ดูขัด ๆ เนอะ...ที่พี่สาวคนโตเรียกแทนตัวน้องชายอย่างเขาว่า ‘หนู’
แต่ก็นั่นแหละ...
เพราะเจ้หลินเรียกเขาแบบนี้มาตลอด
เฮียก็เลยต้อง...
“หนูว่าจะกลับวันนี้แหละ”
[หนูดีขึ้นแล้วเหรอ?]
“อือ ดีขึ้นแล้ว”
[หนูอยากพักต่ออีกสักวันสองวันไหมล่ะ?]
“ตอนแรกก็อยากพักต่อแหละ แต่ก็เป็ห่วงม้าอะ”
[เจ้บอกให้ตี๋ไปช่วยม้าแล้ว หนูไม่ต้องเป็ห่วงหรอก อยากพักก็พักไปเถอะ เพราะหนูไม่ค่อยได้พักเลยนี่]
ใจจริง ๆ เฮียก็อยากพักอยู่ที่เพนเฮาส์เรียวอีกสักวัน เผื่อว่า่ดึก ๆ เพื่อนสนิทจะแวะกลับมากินข้าวด้วยกันอีก แล้วก็เพราะว่าเขายังไม่หาย ‘คิดถึง’ มันเลย เฮียนิ่งเงียบเพื่อคิดไตร่ตรองชั่วครู่ ก่อนเอ่ยตอบ...
“ถ้างั้น...หนูขอพักต่ออีกสักวันนะ”
[โอเค...เดี๋ยวเจ้บอกม้าให้]
“โอเค~”
[เฮีย...]
“…”
[หนูไปกินเหล้าเมาอีกแล้วเหรอ?]
“...”
[วันที่เรียวแวะมาเอาเสื้อผ้าที่บ้านอะ เรียวบอกว่ากำลังไปรับหนูกลับ เพราะหนูไปเมาอยู่ที่ร้านรุ่นพี่ของเรียว]
“...”
[พอป๊าได้ยินแบบนั้นก็โกรธมากเลยนะ]
“…”
[ที่หนูบอกทุกคนว่าจะขอพักสองสามวันน่ะ ทุกคนไม่ได้ว่าอะไรเลย]
“...”
[ทุกคนคิดว่าหนูจะไปเที่ยวกับเพื่อน แต่พอรู้แบบนี้แล้วก็เป็ห่วงกันมาก]
“...”
[โดยเฉพาะป๊าเลย...แต่ที่เขาโกรธก็เพราะเป็ห่วงแหละ]
“ก็พอจะเดาได้อยู่ว่าป๊าคงโกรธมาก ไม่งั้นแกคงไม่บอกให้หนูอยู่กับไอ้เรียวก่อนหรอก”
ปลายสายหัวเราะเบา ๆ พอได้ยินแบบนี้ [เออ ใช่ ป๊าบอกว่าให้เรียวดูแลหนูก่อน ถ้ายังไม่สร่างเมา อย่าเพิ่งพากลับบ้าน เดี๋ยวป๊าจะตีนกระตุก]
เฮียคลี่ยิ้มน้อย ๆ กับความสัมพันธ์ของครอบครัวเขา แม้พ่อจะพูดจารุนแรงแบบนั้น แต่ความจริงแล้วพ่อไม่ใช่คนหัวรุนแรงเลยสักนิด เ้าตัวก็แค่เป็คนปากร้ายแต่ใจดี
“หนูขอโทษที่ทำให้ทุกคนเป็ห่วงนะ”
[เจ้ไม่โกรธหรอก แค่รู้ว่าหนูไม่เป็อะไรก็โอเคแล้ว]
“ไว้เดี๋ยวหนูจะกลับไปขอโทษป๊ากับม้าเอง”
[โอเค...พักให้เต็มที่ก่อน แล้วค่อยกลับมาฟังป๊าบ่นทีเดียว]
เฮียหัวเราะเบา ๆ พลางพยักหน้ารับ ทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่าอีกฝ่ายจะไม่เห็นการตอบกลับนี้ “ครับ”
[เฮีย...]
“...”
[เจ้ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม?]
เขาพอจะเดาได้ว่าพี่สาวจะถามเื่อะไร แล้วก็เพราะไม่อยากปิดบังอีกฝ่ายแล้ว จึงเลือกเอ่ยตอบไป “ได้สิเจ้”
[เป็เพราะเขาอีกแล้วใช่ไหม? ...ที่ทำให้หนูกลับไปกินเหล้าจนเมามายแบบนี้]
“...”
[เขากลับมาทำร้ายหนูอีกแล้วเหรอ?]
“...”
[เจ้ไม่ยอมแล้วนะเฮีย...เจ้ไม่อยากเห็นหนูเสียใจแบบนั้นอีก]
เฮียหลับตาลงทันทีที่ได้ยินประโยคคำพูดนั้น เป็อย่างที่ไอ้เรียวพูดไว้ไม่มีผิด ถ้าเขายังปล่อยให้คนรักเก่ากลับมาทำร้ายได้อีก มันจะไม่ใช่แค่เขาที่เจ็บ แต่คนที่รักเขาก็จะเจ็บตามไปด้วย
นอกจากประโยคคำพูดของเพื่อนสนิทแล้ว ก็ยังมีคำพูดของพี่สาวอีกคนที่ช่วยย้ำเตือนให้เขา ‘รักตัวเองให้มากขึ้น’ ตอนนี้เฮียเข้าใจแล้วว่า...
ถ้าเรารักตัวเองมากพอ
นอกจากเราจะไม่ปล่อยให้ตัวเองเ็ปแล้ว
เราก็จะปกป้องคนที่เรารักจากความเ็ปได้ด้วย
เพราะพวกเขา...ก็จะไม่ต้องเ็ปไปกับเรา
“เจ้...”
[…]
“ครั้งนี้จะเป็ครั้งสุดท้ายแล้ว...ที่เขาจะทำให้หนูเป็แบบนี้”
[…]
“เพราะต่อจากนี้ไป...เขาจะไม่มีความหมายในชีวิตหนูอีก”
เฮียไม่ได้พูดเพื่อให้พี่สาวเลิกเป็ห่วงกัน หากแต่เขาจะทำให้ได้อย่างที่พูดจริง ๆ การที่เขาไปดื่มเหล้าจนเมา ด้วยความรู้สึกเจ็บช้ำใจ นั่นทำให้รู้ว่าเขายังคงปล่อยให้คนรักเก่ามีอิทธิพลทางความรู้สึกอยู่ แต่ต่อจากนี้ไปอย่างที่เฮียพูดไว้...
“ไม่ว่าเขาจะกลับมาพูดอะไร ไม่ว่าเขาจะกลับมาทำอะไร หนูก็จะไม่รู้สึกอะไรอีกต่อไป”
[...]
“ครั้งนี้เจ้เชื่อหนูนะ”
[อือ เจ้เชื่อ]
“...”
[หนูต้องดูแลตัวเองดี ๆ นะเฮีย]
“ครับ”
[งั้นเจ้ไปหาม้าที่ร้านก่อน ไว้เจอกันนะ]
“ครับ ไว้เจอกัน”
หลังจากเอ่ยคำลากับพี่สาวไปแล้ว เฮียก็วางโทรศัพท์ไว้ตำแหน่งเดิม ก่อนจะหันกลับมาหั่นขึ้นฉ่ายอีกครั้ง ในระหว่างนั้นความรู้สึก ‘ขอบคุณ’ ก็เกิดขึ้นในใจ
เฮียอยากขอบคุณ ‘ทุกคนที่รักเขา’
ขอบคุณที่...
ยังให้อภัย
ยังให้โอกาส
และยังเชื่อใจกันเสมอ
ไม่ว่าคนคนนี้จะทำผิดพลาดแค่ไหน
และอยากขอบคุณอีกพันครั้ง
ที่ทุกคนยัง ‘รัก’ คนไม่สมบูรณ์แบบคนนี้
“เมื่อกี้ใครโทรมา?”
เสียงทุ้มต่ำที่ฟังดูแล้วติดหงุดหงิดเล็กน้อยเรียกความสนใจของเฮียให้เงยหน้าขึ้นมอง เขารีบฉีกยิ้มกว้างทันทีที่เห็นเพื่อนสนิทกำลังเดินมาหา ไอ้เรียวที่ยังใส่เสื้อคอปกแขนสั้นกับกางเกงขายาวสีน้ำเงินตัวเดิมก้าวเท้ามาหยุดยืนตรงเคาน์เตอร์ เฮียละสายตาจากคนตัวสูงกว่าแล้วใช้มือข้างหนึ่งหยิบขึ้นฉ่ายที่หั่นเสร็จเรียบร้อยไปโรยทับบนกระเทียมเจียว
“กูทำข้าวต้มเสร็จพอดีเลย”
“มึงยังไม่ตอบกูเลย ใครโทรมา?”
เพราะไอ้เรียวถามด้วยสีหน้าจริงจัง และน้ำเสียงที่ใช้ก็ติดจะไม่พอใจเล็กน้อย เฮียเลยเดาว่าเพื่อนสนิทคงคิดว่าคนรักเก่าอาจจะโทรมาหาเขาอีก มันคงกลัวเขาจะใจอ่อนแล้วกลับไปคุยกับอิมอีกแน่ ๆ แล้วก็เป็เหมือนเคยที่เฮียมักจะพูดกวนอารมณ์อีกฝ่ายก่อนจะตอบความจริงไป
ก็เวลาไอ้เรียวหงุดหงิดอะ
มันชอบทำหน้ามุ่ย
เฮียชอบหน้าแบบนั้นของเพื่อนสนิทอย่างบอกไม่ถูกเลย
“ไม่บอกกกก...”
“เฮีย...”
“จ๋า...”
“อยากโดนเหรอ?”
เฮียหลุดขำพรืดพอได้ยินแบบนั้น แล้วก็มองหัวคิ้วของเพื่อนสนิทที่เริ่มขมวดมุ่น “มึงคิดว่าใครโทรมาหากูอะ?”
“ใครก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่ไอ้เหี้ยอิม”
แล้วก็เป็อย่างที่เฮียเดาไว้จริง ๆ เขาอมยิ้มก่อนเอ่ย “มึงไม่ต้องห่วงหรอก”
“...”
“คนที่โทรมาหากูเมื่อกี้ไม่ใช่อิมหรอก แต่เป็เจ้หลิน”
“เจ้หลินโทรมาตามมึงกลับบ้านเหรอ?” พอเพื่อนสนิทได้คำตอบที่พอใจแล้ว หัวคิ้วที่ขมวดมุ่นในตอนแรกก็เริ่มคลายออกทันที
“เปล่า...”
“...”
“เขาแค่โทรมาถามว่าจะกลับบ้านวันไหน?”
“แล้วมึงตอบไปว่าไง?”
เฮียอมยิ้มขณะสบสายตากับคนตัวสูงที่กำลังรอคำตอบอย่างตั้งใจ ไม่รู้ทำไมเขาถึงชอบแววตารอคอยอย่างมีความหวังของอีกฝ่ายจังเลย คงเพราะแววตานี้ทำให้เพื่อนสนิทดูเหมือนเด็กหนุ่มที่รอคอยความรักจากใครสักคนละมั้ง
“กูก็ตอบไปว่า...” เฮียพูดแบบนั้น แล้วอ้าปากค้างไว้ตรงคำว่า ‘ว่า...’ เพื่อแกล้งให้อีกคนรอคอยคำตอบต่อไป ไอ้เรียวจ้องมองริมฝีปากเขาอยู่เพียงชั่วครู่ ก่อนมันจะแลบลิ้นเลียริมฝีปากเล็กน้อย คล้ายกำลังลุ้นคำตอบอย่างหนัก ก็คงจะมีแค่เวลานี้เท่านั้นที่แกล้งไอ้เรียวได้ “…กูขออยู่ต่ออีกวัน เพราะกูยังคิดถึงมึงอยู่”
ไอ้เรียวกระตุกยิ้มมุมปากทันทีที่ได้ยินคำตอบ เพื่อนสนิทคงคิดว่าเขาแค่พูดหยอกล้อเหมือนทุกครั้ง หากแต่ครั้งนี้ไอ้เรียวคงไม่รู้ว่า...
ในคำพูดเ่าั้...
มีความรู้สึกจริง ๆ แฝงอยู่ด้วย
เฮียยังคงสบสายตากับคนตัวสูงกว่าอยู่ ไอ้เรียวยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาเสยผมที่หล่นลงมาปรกใบหน้า เขาคิดว่าเวลามันไม่เซตผมเปิดหน้าผาก แต่ปล่อยเป็ทรงตามธรรมชาติก็ดูดีไม่ต่างกันเลย
“กูรู้ว่ามึงไม่พูดแบบนั้นหรอก”
เขาหัวเราะเบา ๆ เมื่อได้ยินแบบนั้น แล้วใช้มือดันถ้วยข้าวต้มปลาที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์ไปตรงหน้าเพื่อนสนิท ก่อนจะพยักพเยิดหน้าไปทางถ้วยกระเบื้องสีน้ำเงินที่มีควันลอยพวยพุ่งอยู่เหนือปากถ้วย เพื่อบอกว่า ‘ลองเอาไปชิมดิ’
เ้าของดวงตาเรียวยาวคล้ายเหยี่ยวละสายตาออกจากเขา แล้วหลุบตาลงมองถ้วยข้าวต้มปลา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเฮียอีกรอบ ไอ้เรียวใช้มือข้างหนึ่งยกถ้วยข้าวต้มขึ้น มันเดินถือถ้วยข้าวต้มปลาไปวางที่โต๊ะอาหารเงียบ ๆ
เฮียจึงรีบถอดผ้ากันเปื้อนสีแดงสดออก แล้วหันไปล้างมือทันที เพื่อจะไปนั่งลุ้นว่า ‘ข้าวต้มปลาฝีมือเขารอบนี้ จะผ่านไหม?’ เขาสาวเท้าเร็ว ๆ เดินไปที่โต๊ะอาหาร ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเพื่อนสนิท
“เป็ไง? ....ใช้ได้ไหม?”
“ยังไม่ได้แดกเลย เป่าอยู่...” ไอ้เรียวตอบแบบนั้นพลางเป่าข้าวต้มในช้อน มันเลื่อนสายตาจากช้อนกระเบื้องขึ้นมองเขา ก่อนเอ่ย “...มึงจะลุ้นอะไรขนาดนั้นอะ?”
“ก็กูกลัวมึงแดกไม่ได้อีกอะ”
“ครั้งนี้มึงตั้งใจทำกว่าครั้งที่แล้วปะละ?”
“เออดิ กูโคตรรรรตั้งใจทำเลย”
“ถ้าตั้งใจทำขนาดนี้แล้วมึงจะกลัวอะไร”
“...”
“มั่นใจในฝีมือตัวเองหน่อยดิ”
ไอ้เรียวพูดแบบนั้น ก่อนจะป้อนข้าวต้มใส่ปากตัวเอง เฮียกลืนน้ำลายลงคอจนดังเอื๊อกขณะมองเพื่อนสนิทเคี้ยวอาหาร นั่นไม่ใช่เพราะเขาอยากกินข้าวต้มปลากลิ่นหอมฉุยเหมือนอีกฝ่ายหรอก แต่เป็เพราะเขากำลังลุ้นผลจากไอ้เรียวต่างหาก
“เป็ไง? ...ยังมีกลิ่นคาวอยู่ไหม พอกินได้หรือเปล่า?”
แล้วก็เหมือนว่า...ไอ้เรียวจะเล่นตัวไม่ยอมตอบคำถามเขา มันเผยรอยยิ้มบาง ๆ ขณะสบสายตากัน แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“มึงคิดว่าแกล้งกูได้คนเดียวเหรอ?”
พอเพื่อนสนิทโยนคำถามนี้มาให้ เฮียก็นึกถึงตอนที่แกล้งให้มันรอคำตอบเลย “โห่ ไอ้เรียว อย่าเ้าคิดเ้าแค้นได้ปะ?”
“บอกมาก่อนว่าตอบเจ้หลินไปว่าอะไร?”
“...”
“ไม่งั้นกูก็ไม่บอกว่าข้าวต้มผ่านไหม?”
“กูก็บอกไปว่า...ขออยู่ต่ออีกวัน”
“แล้ว?”
“แล้วอะไรอีกอะ? ...ก็มีแค่นี้แหละ”
เฮียกะพริบตาปริบ ๆ ขณะมองเพื่อนสนิทที่เริ่มแสดงสีหน้าไม่ค่อยพอใจ หัวคิ้วของอีกฝ่ายเริ่มขมวดมุ่นอีกครั้ง แล้วมันก็ก้มหน้าตักข้าวต้มปลาใส่ปาก
“มึงแม่งขี้โม้ว่ะ”
“ขี้โม้อะไรวะ? ...กูก็พูดความจริงอยู่เนี่ยย”
“ข้าวต้มแดกได้นะ ไม่มีกลิ่นคาว”
แทนที่เฮียจะรู้สึกดีใจที่ผลของข้าวต้มปลาที่ตั้งใจทำเป็อย่างมาก ‘ผ่านแล้ว’ ทว่าตอนนี้เขากลับให้ความสนใจกับประโยค ‘มึงแม่งขี้โม้ว่ะ’ มากกว่า
ดวงตาเรียวรีจ้องมองเพื่อนสนิทที่ยังก้มหน้ากินข้าวต้มปลาอยู่ ไอ้เรียวไม่ยอมเงยหน้ามองเขาเลยสักนิด เฮียจึงคิดทบทวนว่าเคยพูดอะไรไว้บ้าง แล้วบทสนทนาระหว่างเขากับเพื่อนสนิทที่อยู่ในความทรงจำที่เพิ่งผ่านไปไม่นานก็ผุดขึ้นในหัว แล้วก็ทำให้เฮียรู้ว่า ‘ที่ไอ้เรียวพูดว่า...กูรู้ว่ามึงไม่พูดแบบนั้นหรอก’ ความจริงแล้วมันก็แอบหวังให้เพื่อนสนิทอย่างเขา ‘คิดถึง’ มันจริง ๆ
แล้วการที่เฮียสารภาพความจริงว่าตอบกลับพี่สาวไปยังไง ก็ทำให้ไอ้เรียวเข้าใจว่าเขาแค่พูดล้อเล่นเท่านั้น และเขาคงไม่ได้คิดถึงเพื่อนสนิทอย่างมันจริง ๆ
เฮียอมยิ้มขณะมองไอ้เรียวที่เอาแต่มองถ้วยข้าวต้มปลา ตอนนี้เขาคิดว่า...ถึงแม้ว่าเราจะไม่ค่อยพูดทำนองนี้กันเท่าไร แต่มันก็ไม่ใช่เื่ยากเกินไป...
ที่จะพูดว่า...
“ถึงกูจะไม่ได้พูดแบบนั้นกับเจ้หลินไปอะ...”
“...”
“แต่กูก็คิดถึงมึงจริง ๆ นะเว้ย”
“ไม่ทันแล้ว ไอ้เหี้ย”
ไอ้เรียวพูดทั้งที่ยังก้มหน้ากินข้าวต้มปลาอยู่ เพราะเพื่อนสนิทยังน้อยใจเขาอยู่ เฮียจึงพูดย้ำอีกครั้ง
“เรียว”
“...”
“กูคิดถึงมึงจริง ๆ”
“...”
“กูไม่ได้หลอกเลย...”
“...”
“หายใจเข้าก็คิดถึงมึง หายใจออกก็คิดถึงมึง”
“...”
“ขี้ไม่ออกก็คิดถึงมึง เยี่ยวไม่ออกก็คิดถะ...”
“พอเลย อีน้ำแดง...”
เฮียหุบปากฉับเมื่อเพื่อนสนิทพูดแทรกขึ้น เขาค่อย ๆ คลี่ยิ้มพอเห็นอีกฝ่ายพยายามกลั้นยิ้มอย่างหนัก ก่อนเอ่ยถาม...
“เพื่อนเรียวเชื่ออีน้ำแดงแล้วเหรอจ๊ะ?”
“ไม่ได้เชื่อ แต่รำคาญ”
เฮียเบ้ปากเล็กน้อย ก่อนเอ่ย “แหมมม...ทำมาปากแข็ง”
“...”
“ทีเมื่อกี้นะ ทำหน้ามุ่ยเป็ตูดลิงเลย”
“อีน้ำส้วม!”
พอเพื่อนสนิทพูดด้วยน้ำเสียงดุ ๆ เฮียก็แกล้งยกมือขึ้นไหว้ ก่อนเอ่ย “ขอโทษจ้ะ อีน้ำแดงจะไม่พูดจาลามปามเพื่อนเรียวอีกแล้ว”
ไอ้เรียวไม่ได้พูดอะไร มันทำแค่จ้องมองเขาอยู่เพียงชั่วครู่ ก่อนเอ่ยถาม “แล้วมึงไม่กินข้าวเช้าหรือไง?”
“ยังอะ กูยังไม่ค่อยหิว”
“เฮีย อย่าให้เลยเที่ยง”
“เออ กูรู้แล้ว เดี๋ยวอีกสักพักค่อยกิน”
เพื่อนสนิทพยักหน้าเบา ๆ แล้วพูดขึ้น “เดี๋ยวกูจะกลับบ้านตอนบ่าย เพราะต้องไปคุยงานกับป๊าก่อน”
“...”
“แล้วตอนเย็นกูก็ต้องเข้าไปช่วยไอ้ฟ้าดูร้านแป๊บหนึ่ง”
“...”
“กูน่าจะกลับ่ค่ำ ๆ เลย”
“โอเค...งั้นเดี๋ยวกูรอกินข้าวพร้อมมึงนะ”
“มึงจะรอไหวเหรอ?”
“ไหวดิ”
ไอ้เรียวสบสายตากับเขาพลางพยักหน้าเบา ๆ มันก้มหน้ากินข้าวต้มปลาต่อ แล้วเขาก็นั่งมองเพื่อนสนิทอยู่แบบนั้น ทว่าในวินาทีถัดมา ไอ้เรียวเงยหน้าขึ้นสบตากับเขาอีกครั้ง ก่อนเอ่ยออกมา...
“กูว่า...ที่เราห่างกันไปหลาย ๆ วันก็ดีเหมือนกันนะ”
เฮียขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินประโยคคำพูดนั้น ก่อนเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ “ทำไมมึงคิดแบบนั้นอะ?”
“เพราะมันทำให้กูรู้ว่า...มึงก็คิดถึงกูเหมือนกัน”
เฮียคิดว่าประโยคคำพูดของเพื่อนสนิทค่อนข้างชัดเจน ไม่ได้มีความซับซ้อนที่ต้องแปลให้เข้าใจมากกว่านี้ หากแต่สมองของเขาก็ยังพยายามแปลประโยคคำพูดนั้นออกมาเป็อีกความหมายหนึ่งอยู่ดี...
‘มึงก็คิดถึงกูเหมือนกัน’ แปลได้ว่า ‘กูคิดถึงมึง’
เขารู้ดีว่า...เป็เพราะเราเป็เพื่อนสนิทที่ไม่ค่อยพูดความรู้สึกที่แท้จริงต่อกัน และไม่ค่อยพูดกันด้วยถ้อยคำดี ๆ แบบนี้มากนัก ความรู้สึกไม่คุ้นชินจึงส่งผลให้เฮียรู้สึกไม่ค่อยเป็ตัวเอง
เหมือนอย่างในตอนนี้ที่เฮียไม่ได้ตอบกลับอีกฝ่ายด้วยคำพูดกวนบาทา แล้วความกวนตีนที่อยู่ในสายเืก็ลดฮวบฮาบอย่างรู้สึกได้ ปกติในหัวของเขาจะมีคำพูดกวน ๆ ให้เลือกใช้มากมาย ทว่าตอนนี้เหมือนสมองของเฮียหยุดประมวลผลไปชั่วขณะ
เขาสบสายตากับเ้าของประโยค ‘กูคิดถึงมึง’ อยู่แบบนั้น ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยบางอย่างออกไป เพราะรู้สึกว่าบรรยากาศเงียบจนเกินไปแล้ว
“ดะ เดี๋ยวกูไปตักข้าวต้มมากินก่อน”
“หิวแล้วเหรอ?”
“เออ เริ่มหิวนิดหนึ่งแล้ว”
คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามพยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะก้มหน้ากินข้าวต้มปลาต่อ “…”
เฮียลุกออกจากเก้าอี้ แล้วสาวเท้าเดินไปที่ห้องครัวทันที ในระหว่างที่เขากำลังหยิบถ้วยกระเบื้องมาวางที่เคาน์เตอร์ เฮียก็คิดขึ้นมาว่า...
ทำไมวะ?
ทำไมตอนบอกไอ้เรียวว่า ‘คิดถึง’
ทำไมถึงไม่รู้สึกจั๊กจี้หัวใจแบบนี้
แล้วคนที่กำลังคิดหาคำตอบก็เริ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะตักข้าวต้มใส่ถ้วยกระเบื้องพลางคิดอีกว่า...
คงเป็เพราะั้แ่คบกันมา...
ไอ้เรียวไม่เคยบอก ‘คิดถึง’ กันเลยมั้ง
เขาถึงได้รู้สึกจั๊กจี้หัวใจแบบนี้
TBC
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้