ในห้องโถงพิธีเย่หงอี้ยืนประสานมือสงบนิ่ง ดวงเนตรดำสนิทดุจรัตติกาลจดจ้องที่โลงศพเนิ่นนานก่อนเดินจากไป
“ท่านแม่ซู่หลวนขอไปอยู่เป็เพื่อนฝ่าาก่อนนะเ้าคะ ท่านแม่อดทนต่ออีกไม่กี่ชั่วยาม หลังจากเหล่าขุนนางใหญ่คารวะศพกันเรียบร้อยแล้วค่อยให้สาวใช้มาเฝ้าดวงิญญาต่อก็ได้” เหยาซู่หลวนซึ่งอยู่ด้านซ้ายของห้องพิธีเห็นเย่หงอี้เดินออกไปก็สลัดชุดป่านสีขาวออกก่อนเข้ามากระซิบกับมารดา
“วางใจเถิดแม่รู้ว่าควรทำอย่างไร ยามคนอยู่ยังทนได้ รออีกสักหน่อยจะเป็ไรไป” โต้วเซียงหลันผงกศีรษะตอบรับ
หลังออกจากห้องเคารพศพเหยาซู่หลวนเดินวนหาเย่หงอี้ที่ห้องรับรองด้านหน้าอยู่หลายรอบทว่าไม่เห็นแม้แต่เงาจึงรีบไปที่สวนด้านหลัง เมื่อเทียบกับสถานที่เสียงดังอึกทึกอย่างเรือนหน้า สวนด้านหลังกลับเงียบสงบกว่ามาก
เย่หงอี้ยืนอยู่เพียงลำพังบนสะพานทรงโค้งงามวิจิตรดวงเนตรล้ำลึกมองภาพบุปผางามตระการที่สะท้อนอยู่บนผิวน้ำ มุมปากวาดเป็วงโค้งที่ไม่กระจ่างว่าอยู่ในอารมณ์ใดนี่เป็สถานที่ที่เขาพบเหยาโม่ซินเป็ครั้งแรก ยามนั้นนางพลัดตกลงไปในสระขณะที่กำลังให้อาหารปลาตนเองจึงเอื้อมมือไปช่วยฉุดนางขึ้นมา
โม่ซินเจิ้นเคยปรารถนาให้เ้าฉลาดน้อยกว่านี้หน่อย หรือแกล้งทำขลาดเขลาก็ยังดี เ้าก็รู้ว่าสติปัญญาของเ้าทำให้เจิ้นอับจนหนทางและรู้สึกว่าตนเองตกต่ำไร้ค่า เจิ้นเหนื่อยเหลือเกิน เหนื่อย...จนไม่อยากทนกับความรู้สึกเช่นนี้อีกต่อไปเพราะเ้าเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของเจิ้นไว้ใต้ฝ่าเท้า จึงสมควรต้องตาย!
“ฝ่าาที่แท้ทรงมาอยู่ตรงนี้นี่เองหม่อมฉันตามหาเสียตั้งนาน” การปรากฏตัวของเหยาซู่หลวนดึงเย่หงอี้ออกมาจากภวังค์ความคิด
“เจิ้นไม่อยากเห็นหญิงแพศยาผู้นั้นแม้แต่ชั่วเค่อต่อให้ร่างของนางจะกลายเป็เถ้าธุลีไปแล้วก็ตาม” เย่หงอี้ซ่อนความอาฆาตไว้ใต้ก้นบึ้งดวงตาก่อนหมุนตัวกลับมาหาเหยาซู่หลวน
“หม่อมฉันทราบว่าฝ่าาไม่ทรงโปรดหม่อมฉันเองก็รู้สึกอับอายนักที่ต้องมีพี่สาวเช่นนี้ ฝ่าาทรงเปี่ยมไปด้วยพระเมตตาจัดงานศพให้นางอย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติ นี่คงเป็เพราะบุญเก่าที่นางสร้างสมไว้มาหลายชาติกระมัง”เหยาซู่หลวนกล่าววาจาราวกับรู้สึกละอายใจ แต่เบื้องลึกดวงตากลับทอประกายเย็นเยียบ
“ฝ่าาดูเหมือนว่าฝนกำลังตั้งเค้านะเพคะ ทรงให้หม่อมฉันกลับไปอยู่เป็เพื่อนที่ห้องพักดีหรือไม่หรือหากไม่โปรด จะให้กลับวังพร้อมพระองค์ก็ยังได้” พอเห็นเย่หงอี้ไม่พูดไม่จา ริมฝีปากรูปผลอิงเถาพลันทอยิ้มน้อยๆ เอื้อมสองมือมากระหวัดรอบแขนของเย่หงอี้อย่างฉอเลาะเสนอความคิด
“เพื่อไม่ให้ผิดประเพณีของบรรพบุรุษคงจะต้องฝืนใจค้างที่จวนอัครเสนาบดีสักคืน เจิ้นเหนื่อยแล้ว ไปพักผ่อนที่เรือนเ้าหน่อยก็ดี”เย่หงอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เหยาซู่หลวนย่อมยินดีปรีดาอย่างยิ่ง รีบจูงมือเย่หงอี้ไปยังเรือนเหมยเหอ(เรือนเหมยสมาน)
เมื่อได้ยินฝีเท้าคนย่างออกไปไกลแล้วเหยาโม่หว่านค่อยก้าวออกมาจากหลังโขดหินูเาจำลอง มองเงาร่างของเย่หงอี้และเหยาซู่หลวนที่กำลังจะลับตาไปในอกรู้สึกราวกับถูกค้อนทุบอย่างแรงจนแหลกเหลว หลังเริ่มชาชินกับความเ็ป ก็เหลือเพียงรอยแค้นที่ฝากฝังไว้
“เรียนคุณหนูเหล่าขุนนางใหญ่ที่โถงด้านหน้าต่างแยกย้ายกันไปหมดแล้ว ฟูเหรินใหญ่กลับไปเรือนจู๋อี้(เรือนไผ่ภิรมย์) ส่วนนายท่านยังพักผ่อนอยู่ที่โถงชั้นนอก ทางหลิวสิ่งก็จัดเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมสรรพแล้วเ้าค่ะ”พอเห็นเหยาโม่หว่านออกมาจากหลังูเาจำลอง ทิงเยว่รีบสาวเท้าเข้ามากระซิบรายงาน
“บอกหลิวสิ่งให้ทำทุกอย่างตามแผนที่วางไว้”แววตาของเหยาโม่หว่านแข็งกร้าวขึ้นในบัดดล น้ำเสียงเยียบเย็นชวนให้รู้สึกเหน็บหนาวถึงกระดูกกระดกมุมปากเผยรอยยิ้มเยาะหยัน
ภายในเรือนจู๋อี้โต้วเซียงหลันเอนหลังอย่างหมดแรงอยู่บนเก้าอี้ พลางรับน้ำชาจากอวี้จือมาดื่ม
“ตอนยังมีชีวิตอยู่ก็ขวางหูขวางตาข้าตายไปแล้วยังไม่ยอมให้หยุดพัก ต้องมาเฝ้าดวงิญญาให้นางอีกตั้งหนึ่งวันเต็ม ๆ แม้แต่น้ำสักคำยังไม่ได้ดื่มช่างเป็ตัวอัปมงคลแท้ ๆ มาทุบตรงนี้ที ขาของข้าเมื่อยล้าจนยกไม่ขึ้นแล้ว” หลังดื่มชาเข้าไปอึกใหญ่โต้วเซียงหลันก็บ่นกระปอดกระแปดด้วยความคับแค้น
“ฟูเหรินอย่าได้ขุ่นเคืองไปเลยดีชั่วอย่างไรก็เป็ครั้งสุดท้ายแล้ว ต่อไปทั้งนังโม่หลีและโม่ซินล้วนไม่มีโอกาสมายืนเสนอหน้าสร้างความรำคาญใจให้ฟูเหรินอีกแล้วล่ะเ้าค่ะ”
“อื้อคิดแบบนี้ได้ก็รู้สึกค่อยยังชั่วขึ้นมาหน่อย แต่ตราบใดที่นังเหยาโม่หว่านยังไม่ตายข้าก็ยังหายใจไม่ทั่วท้องอยู่ดี” โต้วเซียงหลันค่อย ๆ หยัดกายขึ้นมา ั์ตาหงส์หรี่วูบเผยแววมาดร้าย
“แล้วฟูเหรินคิดจะจัดการกับนังเด็กโง่งมผู้นั้นเมื่อไรเ้าคะ?”อวี้จือเงยหน้าขึ้นมาถาม
“ในห้องโถงวันนั้นนายท่านลั่นวาจาไว้อย่างไรเ้าก็ได้ยินแล้วเว้น่ไปอีกสักพักค่อยว่ากันเถิด จริงสิ...เ้าพวกไร้สมองเ่าั้ยังติดต่อกับอวี้ซินไม่ได้อีกหรือ?”จู่ ๆ โต้วเซียงหลันพลันนึกถึงชู้รักของตนเอง จึงลุกขึ้นมานั่งหลังตรง เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“เรียนฟูเหรินนักเลงที่พวกเราส่งไปจับพวกนั้นมาขังแล้วซ้อมจนปางตาย แต่ยังไม่ได้เบาะแสเกี่ยวกับคุณชายโหลวเลยเ้าค่ะบ่าวคิดว่าพวกเขาคงไม่รู้เื่จริง ๆ” อวี้จือพูดในสิ่งที่ตนเองคาดคะเน
“ถึงไม่รู้ก็อย่าปล่อยไปง่ายๆ บอกคนของเราว่าไม่ต้องเบามือ แล้วจัดการปิดปากพวกมันให้เรียบร้อย คนยังมีชีวิตอยู่ทั้งคนจะหาตัวไม่เจอได้อย่างไรส่งคนออกไปตามหาเพิ่มอีก ให้มันรู้ไปว่าชาตินี้ทั้งชาติข้าจะหาบุรุษผู้รู้ใจของตนเองไม่พบข้าคงทนไม่ได้หากเกิดอะไรขึ้นกับเขา!” โต้วเซียงหลันมุ่นคิ้วขมวด เอ่ยวาจาด้วยความวิตกกังวล