Chapter 17
Tricky, trick me and I don’t trust you
ท่ามกลางความเงียบสงบแม้ภายนอกจะพลุกพล่านมากเพียงใดก็ตาม จิตใจที่แสนคดงอไม่อาจมองออกผ่านสายตาอันเรียบเฉยที่มันหยิบยกมาบังหน้า เสียงถอนหายใจอันแ่เบาดังขึ้น ดวงตาคมละสายตาจากสองสิ่งในมือ สองสิ่งล้ำค่าที่คู่รักให้แทนกันไว้เตือนใจ บ่งบอกถึงความผูกพันมากมายมหาศาลของทั้งสอง ทว่ามันแสนสะอิดสะเอียนในสายตาของเขาเสียเหลือเกิน
มันคว้าถุงกำมะหยี่ขนาดเล็กมาไว้ในมือ คลายเชือกที่รูดปิดปากถุงอยู่ออก ก่อนจะใส่แหวนวงเล็กทั้งสองวงเข้าไปข้างใน โยนมันไปให้พ้นทางด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัว สองชีวิตลับหายไปหลงเหลือไว้เพียงแต่สองสิ่งนี้เท่านั้น ใจจริงอยากทิ้งแต่อีกใจก็ไม่อาจละมันไป หนึ่งในนั้นเป็ของของคนที่เขารัก แม้ความเกลียดจะท่วมท้นเพียงใดหากแต่บางครั้งความรักยังคงนำหน้าขาดลอยเสมอ
เก็บรักษาไว้อย่างดีราวกับของดูต่างหน้า โทสะเพียงชั่ววูบมลายทุกอย่างจนสิ้นไปไม่เหลือแม้แต่ผุยผงแห่งความอาวรณ์ ไร้หยดน้ำตาของความเสียใจ มีแต่ต้องก้มหน้ารับสิ่งที่ก่อไว้และจัดการผลที่ตามมาให้สิ้นซาก เขาทำมันลงไปแล้วและไม่อาจแก้ไข ทางนี้คงเป็ทางเดียวที่เหลือรอดให้คนมีชนักติดหลังอันโตปักอยู่แบบเขา ช่างมันเถอะ ยังไงซะพวกตำรวจก็ตามหลังเขาอยู่หนึ่งก้าวเสมอ หรืออาจจะเป็สิบเก้าด้วยซ้ำ
มั่นใจน่ะมันดี หากแต่มันเป็การหลงระเริงและนิ่งนอนเมื่อไหร่ เมื่อนั้นไม่นาน หินก้อนั์ที่ซุกไว้ใต้พรมผืนบาง มันพร้อมจะออกมาแสดงตัวเสมอ ไม่ช้าก็เร็ว
แมททิวก้มตัวลอดผ่านเทปกั้นสีเหลืองเข้าไปยังในที่เกิดเหตุ ไม่ต้องเดาก็พอรู้ว่าเขากำลังอยู่ที่ไหน ที่บ้านจัสตินในตอนนี้เงียบไร้ผู้คน มี่แรกในวันที่พบศพเท่านั้นที่เพื่อนบ้านมามุงดูกัน ท่าทางคงแตกตื่นไม่น้อยที่ตำรวจยกโขยงกันมายังชุมชนที่ออกจะเงียบสงบแบบนี้ แต่พักเดียวก็ล่าถอยกันไปเพราะคนตายไม่ได้สนิทชิดเชื้อกับใคร จัสตินตัวคนเดียว แมททิวเองไม่รู้หรอกว่าเขามีเพื่อนฝูงหรือญาติพี่น้องหรือเปล่า ครั้นจะถามก็คงไม่ได้คำตอบสักเท่าไหร่
แดนมาค้นที่นี่เบื้องต้นเื่หลักฐานที่จะใช้ในการชันสูตรคร่าวๆ แต่หมอนั่นก็ยุ่งเกินกว่าจะค้นอย่างละเอียด แมททิวจึงอาสามาดูต่อเองเพราะเห็นว่ามันเกี่ยวข้องกับคดีของทีมสามอย่างชัดเจน แม้จะจัสตินจะเป็เพียงหางแถวของเื่นี้ แต่มันอาจเป็หนทางไปต่อให้ได้สืบอะไรบ้างอยู่เหมือนกัน เื่การตายก่อนที่จะเจอกับตำรวจนั้นมันยังคงเคลือบแคลงอยู่
แมททิวเริ่มสอดส่องไปทั่วตัวบ้าน ไม่รู้ว่าจะเรียกโชคดีดีหรือไม่ที่ของในบ้านนั้นน้อยจนแทบไม่มีอะไรให้ดูมากนัก กองเืกองใหญ่ในครัวถูกเคลียร์ไปั้แ่วันแรก เศษแก้วที่เดาว่าคงใช้ต่อสู้กับคนร้ายก็ถูกแดนเก็บเอาไปตรวจหาดีเอ็นเอแล้วเรียบร้อย เผื่อว่าบางชิ้นจะมีหยดเืของไอ้ฉิบหายนั่นติดอยู่บ้าง แต่พอเอาเข้าจริงถ้าได้ผลมาแล้วก็ไม่รู้ว่าจะเทียบกับใครอยู่ดี
มีห้องเพียงแค่สองให้ตรวจดู เมื่อครู่แวะผ่านห้องน้ำแล้ว เหลือเพียงแต่ห้องนอน แต่เขาคิดว่าคงเอาไว้ท้ายสุด อยากจะดูส่วนรับแขกและส่วนครัวเพิ่มมากกว่า ยังสงสัยไม่หายว่ามันรู้ได้ยังไงว่าจัสตินนัดกับเขา จะว่าบังเอิญแต่มันออกจะพอดิบพอดีไปหน่อย อันที่จริงแมททิวเองมีข้อสงสัยในใจอยู่ แต่ก็ยังไม่กล้าฟันธงอะไรมาก ถ้าเป็แบบนั้นจริงคงจะยากกว่าเดิมอีกเท่า
มันอ้างว้างเสียจริง บ้านหลังนี้ตอนที่อันย่าตายใหม่ๆดูจะอบอุ่นกว่านี้หลายเท่า ไม่ได้ฝุ่นจับหนาเตอะหรือมีของระเกะระกะเช่นนี้ แต่เขาพอจะเข้าใจดีถึงจิตใจของจัสติน คงจะรู้สึกสูญเสียจนหาอะไรเทียบไม่ได้ แมททิวเดินวนไปมาระหว่างส่วนรับแขกและส่วนครัวอยู่นานสองนานจนต้องตั้งสติ ขืนเดินวนไปมาอยู่แบบนี้คงเสียเวลา เขาเริ่มจะหยิบยกข้อสงสัยในใจขึ้นมาขบคิดดูบ้างแล้ว บางทีมันอาจเป็ประโยชน์ในเวลาที่อับจนหนทางเช่นนี้
“แล้วมันจะอยู่ตรงไหนวะ”
ชายหนุ่มสบถกับตัวเอง ถ้ามันจะเข้าเค้าแบบที่เขาคิด แล้วไอ้สิ่งนั้นที่เขาว่ามีมันควรอยู่ตรงไหนกัน และถ้ามันมีจริงๆละก็ คนคนนั้นที่เฝ้าเฟ้นหากันมานานมันจะต้องสนิทชิดเชื้อและเคยเข้านอกออกในบ้านหลังนี้แน่ๆ นายตำรวจหนุ่มเริ่มกวาดสายตามองทีละจุดอย่างใจเย็น ก้มๆเงยๆทุกซอกมุมของสองส่วนนั้นไม่ให้เล็ดลอดสายตาไปแม้แต่นิดเดียว จนกระทั่ง
“แม่งเอ๊ย”
สบถรอบนี้ไม่ใช่การสิ้นหวังแบบคราวก่อน หากแต่มันมีไอ้นั่นอยู่จริงๆแบบที่เขาว่าอยู่ มันแอบอย่างแเีอยู่ใต้โซฟาเดี่ยวตัวหนึ่งหน้าทีวี
เครื่องดักฟัง
ใช่ เขาคิดไว้ในหัวแล้วว่ามันต้องมีเครื่องดักฟังติดอยู่ที่นี่ แมททิวค่อยๆหงายโซฟาตัวนั้นขึ้นอย่างระมัดระวัง บางทีไอ้บ้านั่นมันอาจจะกำลังตั้งใจฟังอยู่ก็ได้ เพราะไฟสีเขียวบนเครื่องขนาดจิ๋วยังคงกะพริบอยู่ราวกับจะบ่งบอกว่ามันส่งสัญญาณและทำหน้าที่ของมันอยู่เสมอ
แมททิวล้วงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกง กดถ่ายรูปเอาไว้แทนที่จะแกะออก เพราะไม่เช่นนั้นอีกฝั่งมันรู้แน่ว่าตำรวจรู้แล้วว่ามันกำลังทำอะไร แบบนั้นคงจะระมัดระวังตัวยิ่งกว่าเก่า แมททิวเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกงดังเดิม ยืนมองนิ่งและถอนหายใจออกมาหนึ่งที ถ้าฉลาดถึงขนาดติดเครื่องดักฟังที่บ้านพยานได้ขนาดนี้ล่ะก็ ไม่แปลกเลยที่มันจะฆ่าคนเยอะปานนี้แล้วเขาจับมันไม่ได้ และอีกอย่างคือมันต้องรู้จักกับจัสติน และจัสตินเองก็รู้ว่ามันเป็ใคร เผลอๆคงรู้อีกว่ามันเป็คนทำเื่ทั้งหมดนี้
แมททิวเดินดูในบ้านอีกพักหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจออกมา เขารีบบึ่งรถกลับสถานีทันที คิดไว้แล้วว่าต้องทำยังไงต่อ แต่คงต้องแจ้งเพื่อนร่วมทีมเบื้องต้นว่าตัวเองไปเจออะไรมา ยังเหลือห้องนอนอีกห้องที่ยังไม่ได้ค้นดู บางทีมันอาจมีอะไรเพิ่มเติมกว่านี้ก็ได้ นี่จะเป็สัญญาณว่าเขากำลังเข้าใกล้มันหรือเปล่านะ ขอให้สำเร็จทีเถอะ เพราะชีวิตวนเวียนอยู่กับมันนานเกินไปแล้ว คนแบบนั้นควรถูกลากคอมาเข้าคุกได้สักที
สายตาคู่หนึ่งกำลังมองคนสองคนผ่านหน้าต่างที่ขุ่นมัว เด็กหนุ่มเรือนผมสีมะฮอกกานีเงื้อขวานจามลงบนท่อนฟืน ขณะที่อีกคนกำลังยกถังสังกะสีรดน้ำที่แปลงผักแปลงใหม่อยู่ มันลอบมองจูเลียนเป็พิเศษ ยิ้มมุมปากอย่างพอใจเมื่อผลลัพธ์ทุกอย่างออกมาเป็ดังที่คาดไว้ เด็กนั่นแอบเข้ามาในห้องมันจริงๆ
ประตูที่มันตั้งใจจะไม่ล็อก เมื่อกลับมาก็พบว่ามันถูกล็อกอยู่ แถมฝุ่นหนาเตอะใต้เตียงที่จงใจเอาปืนกระบอกเก่าไปวางไว้ก็มีรอยลากออกมาอย่างชัดเจน มุมของการวางรูปเบียทริซที่ใต้หมอนเองก็เช่นกัน มันเปลี่ยนไปจนคนที่จ้องจะจับผิดอยู่สังเกตได้ไม่ยาก ทว่ามันไม่ได้ร้อนใจอะไรที่รู้ว่าจูเลียนแอบเข้ามา กลับกันมันพอใจมากที่เป็แบบนั้น มันไม่สนหรอกว่าเด็กนั่นจะคิดอะไร มันแค่อยากจะเพิ่มความเชื่อมั่นในใจจูเลียนเข้าไปอีก ว่าทั้งหมดคือมัน
“ฉันจะออกไปข้างนอก”
ทั้งสองคนเงยหน้ามองมันพร้อมกัน มันพูดเพียงแค่นั้นก็เดินลับหายเข้าไปในป่า ทิ้งไว้เพียงแต่คนทั้งคู่เช่นเดิม จูเลียนก้มหน้าก้มตาทำตัวปกติต่อ ทั้งที่ในใจนั้นเต้นระส่ำไม่เป็จังหวะ กลัวเหลือเกินว่ามันจะจับได้เื่ที่แอบเข้าห้อง แต่ถ้ามันไม่แย้งอะไรขึ้นมาเขาก็โล่งใจ ต่างกันกับอีกคนที่พอคนเป็พ่อลับหายไปก็จามขวานลงกับท่อนไม้ทิ้งไว้และเดินตรงมาหาจูเลียนทันที
“ใหมดเลย”
จูเลียนเอ่ยหลังจากที่หันไปพบว่าแฟรงค์มายืนข้างหลังั้แ่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ อีกคนเพียงส่งยิ้มบางๆ ทว่าแววตากลับชอบกลผิดปกติเล็กน้อย
“ให้ผมช่วยมั้ย” แฟรงค์ขยับตัวเข้ามาใกล้และนั่งยองลงข้างๆ
“ไม่เป็ไรหรอก ฉันทำใกล้จะเสร็จแล้ว นายเสร็จงานของตัวเองแล้วหรอ” จูเลียนเอ่ยถาม
“อื้ม” แฟรงค์ตอบเพียงสั้นๆและยังคงนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน ดวงตาคมมองตามมือเล็กทุกการขยับจนเ้าตัวรู้สึกได้ทันที
“มีอะไรหรือเปล่า” จูเลียนชะงักหยุดทุกอย่าง ก่อนจะเงยหน้ามองคนที่มองอยู่ก่อนแล้ว แฟรงค์ส่ายหน้าและยิ้มบางๆ รีบซ่อนสายตาจับผิดและแปรเปลี่ยนเป็เรียบเฉยทันที ทว่าจูเลียนสังเกตเห็นทัน
“รอบนี้ลงแครอท คงจะอีกนานเลยเนอะกว่าจะได้กิน” คนตัวเล็กกว่าก้มหน้าก้มตาพรวนดินต่อ ทำทีเป็ชวนคุยให้บรรยากาศไม่อึดอัดมากนัก
“จูล”
“หือ”
“มองหน้าผมหน่อย”
จูเลียนใเล็กน้อยกับคำพูดของอีกคน หากแต่ก็ยอมละมือจากสิ่งที่ทำอยู่และเงยหน้าสบตากับแฟรงค์ตามที่เขาบอก สายตาจับผิดหวนกลับมาอีกครั้ง คราวนี้ดูท่าว่าแฟรงค์จะไม่ได้อยากซ่อนมันให้มิดสักเท่าไหร่
“จูลได้แอบเข้าไปในห้องพ่อหรือเปล่า”
สิ้นคำถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยทำเอาคนฟังตอบไม่ออก จูเลียนขมวดคิ้วแสร้งทำงงงวยตบตาอีกคนเต็มที่ ทว่าสายตาจับผิดยังคงอยู่เช่นเดิม ความเงียบปกคลุมทันทีอย่างไม่ต้องสงสัย
“เปล่านะ ฉันจะเข้าไปทำไมล่ะ” จูเลียนพึ่งรู้ว่าการพยายามข่มน้ำเสียงให้ปกติมันยากขนาดนี้ ยิ่งพอจ้องลึกลงไปในดวงตาสีมรกตนั่นยิ่งแล้วใหญ่ แฟรงค์ยังนิ่งและดูไม่ไว้วางใจเขาสุดๆ ปากกระจับไม่เอื้อนเอ่ยใดๆ จูเลียนอยากให้เขาพูดออกมาเสียมากกว่าเงียบแบบนี้ซะอีก
“นั่นสิเนอะ จูลคงไม่มีธุระอะไรให้เข้าไปอยู่แล้ว ผมนี่ก็ถามแปลกจัง”
เขาเปลี่ยนมาเป็พูดกลั้วหัวเราะอย่างหน้าตาเฉยจนคนมีพิรุธแบบจูเลียนงุนงงกว่าเก่า แม้คำว่าธุระในประโยคที่แฟรงค์เอ่ยมานั้นจะเสียดแทงใจจูเลียนเข้าเต็มๆก็ตาม เด็กหนุ่มตีสีหน้าราบเรียบเปื้อนรอยยิ้มตามเดิม เอื้อมมือเกลี่ยนิ้วโป้งปาดเม็ดเหงื่อบนหน้าผากมนของอีกคนออกอย่างเบามือดังเคย ทว่ามันกลับไม่ทำให้จูเลียนเบาใจลงสักนิด
“แค่เผื่อว่ากำลังคิดอยู่น่ะ ก็อยากจะบอกไว้ว่าอย่าเสี่ยงขนาดนั้นเลย เขาอันตรายกว่าที่คิดหลายเท่า” นิ้วเรียวยังคงเกลี่ยไล้ขณะปากเอ่ยประโยคเมื่อครู่ออกมา มันเป็การเตือนที่รู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลย ราวกับว่าภายใต้กระท่อมหลังนี้จูเลียนไม่สามารถอ่านใจใครออกได้สักคน คนที่ดูว่าอ่านง่ายแบบแฟรงค์เองก็ดันมาพูดอะไรชอบกลแบบนี้เสียได้
“ฉันรู้ คงไม่กล้าทำอะไรแบบนั้นหรอก เกิดพ่อนายยิงฉันตายจะทำยังไง” จูเลียนแกล้งพูดทีเล่นทีจริงแม้ภายในอกจะสั่นเล็กน้อย
“อื้ม ผมไปผ่าฟืนต่อดีกว่า น้ำในถังหมดหรือยัง”
“เหลืออีกครึ่งหนึ่งน่ะ”
“ถ้าจะหมดแล้วบอกผมนะ เดี๋ยวไปตักด้วยกัน”
“อื้อ ขอบใจนะแฟรงค์”
เด็กหนุ่มพยักหน้ารับและลุกขึ้นยืน ตรงไปยังกองฟืนและทำงานของตัวเองต่อ ทิ้งไว้เพียงแต่ความสงสัยมากมายที่ก่อตัวหนาแน่นในหัวของจูเลียน คำพูดของแฟรงค์ราวกับว่าจะเตือนด้วยความห่วงใย แต่อีกนัยก็ดูเหมือนว่าจะเตือนเพราะไม่อยากให้ยุ่งมากกว่า แต่ช่างเถอะ ยังไงซะตราบใดที่เ้าของห้องไม่ได้เอ่ยอะไรจูเลียนเองก็คงจะทำไม่รู้ไม่ชี้ต่อไปนั่นแหละ
“นายคิดว่ายังไง”
“ฉันว่ามันก็แปลกแบบที่นายว่านั่นแหละ ยิ่งพอมีเื่จัสตินเข้ามาเอี่ยวฉันว่ามันก็ยิ่งแปลก”
แดนและพอลนั่งอยู่ในห้องเก็บหลักฐานด้วยกันใน่พักกลางวัน กล่องบะหมี่ตรงหน้าเปิดค้างทิ้งไว้จนเส้นแทบเย็นชืด เพราะคนกินทั้งสองมัวแต่วุ่นอยู่กับเื่ผลชันสูตรและหลักฐานที่งอกมาใหม่อย่างไม่ทันตั้งตัว สมมติฐานต่างๆที่ผลัดกันแลกเปลี่ยนในหัวจึงทยอยทับถมขึ้นไปอย่างไม่หยุดหย่อน
“นายคิดดูนะแดน อันย่าเป็ศพเดียวที่ไม่มีการต่อสู้ แต่ศพอื่นนี่เรียกว่าเละเทะได้เลย” พอลเอ่ยขณะในมือยังถือตะเกียบใช้แล้วทิ้งชี้ไปมา
“นายว่าเราโยงเื่ของจัสตินกับเื่ของทั้งแปดศพนั่นได้มั้ย” แดนถามกลับขณะพลิกซองซิปล็อกบรรจุหลักฐานที่เก็บมาจากคดีอื่นๆและคดีจัสตินที่วางกองอยู่ตรงหน้า
“ฉันว่าไม่โยงก็คงต้องโยงแหละ แต่ฉันก็แอบจนปัญญานิดหน่อย ่นี้หัวสมองไม่แล่นเลยว่ะ”
“เอาน่า แล้วนายตรวจคราบเืที่เศษแก้วกระเบื้องหรือยัง”
“ตรวจแล้ว แต่นายจะให้ฉันเทียบกับใครล่ะ ฉันไม่รู้เลยว่าควรเทียบกับใคร”
พอลถอนหายใจ คีบเส้นบะหมี่เข้าปากคำใหญ่ พอทิ้งไว้นานแล้วรสชาติแย่จนต้องนิ่วหน้า แดนเงยมองเพดาน ละสายตาจากกองหลักฐานและใช้ความคิดปะติดปะต่อเงียบๆ
“คดีที่เราทำมาก็ตั้งหลายคดี ถ้ามันออกแนวนี้ฉันว่าเป็ไปได้มั้ยที่มันจะรู้จักทั้งอันย่าทั้งจัสติน”
“ถ้างั้นก็แปลว่า” หมอหนุ่มตาโตทันทีที่เริ่มเข้าใจสิ่งที่อีกคนจะสื่อ
“เหลือแค่คนเดียวแล้วแหละพอล ฉันว่านายเทียบกับหมอนั่นก็ไม่ผิดนะ”
มือเรียวหยิบจัดของในร้านเข้าชั้นอย่างคล่องแคล่ว แซมฮัมเพลงที่เปิดคลอเบาๆในร้านไปพลาง อากาศวันนี้ดูครึ้มฟ้าครึ้มฝนเล็กน้อย ไม่แปลกที่สายป่านนี้ท้องฟ้าจะไม่สดใสเท่าไหร่ คนในร้านก็เงียบเชียบตามไปด้วย
“อ้าว มากับฝนเลยนะ” เสียงกระดิ่งบนประตูร้านดังขึ้นพร้อมกับคนที่คุ้นเคย เสียงเปาะแปะจากด้านนอกเล็ดลอดเข้ามาพอให้รู้ว่าฝนตกแล้วเรียบร้อย มันมาพร้อมกับชายหนุ่มร่างสูงในชุดสบายๆ
“นั่นสิ ฉันลืมเอาร่มมาซะด้วย” อเล็กซ์เอ่ยพร้อมรอยยิ้ม มองซ้ายขวาเห็นว่าไม่มีใครนอกจากเขาและแซม
“เงียบแฮะวันนี้”
คนมาใหม่เริ่มออกเดินไปตามชั้นวางของ เลือกซื้อของที่ตั้งใจว่าจะมาเติมเข้าบ้าน ยาสีฟันและครีมอาบน้ำยี่ห้อเดิมถูกโยนใส่ตะกร้ารถเข็นทีละชิ้น แซมมองตามเพียงครู่ก็หันมาทำงานตัวเองต่อ ดูท่าอเล็กซ์คงชอบที่ไม่มีคน เพราะเขาจะได้เดินเลือกซื้อของได้เต็มที่
“ซื้อเยอะจัง เอ๊ะแล้วนั่น ไปโดนอะไรมาหรอ” แซมขมวดคิ้วสงสัยทันทีที่เห็นปลาสเตอร์แปะอยู่ตรงหางคิ้วของอเล็กซ์ คนถูกทักชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเอื้อมมือลูบที่แผลเบาๆ
“อ๋อ ฉันเปลี่ยนกระถางต้นไม้น่ะ แล้วดันเกี่ยวพลาดมันก็เลยตกลงมาถากๆตรงหางคิ้วไปนิดหน่อย”
“แบบนั้นก็เจ็บแย่เลยสิ” แซมเอ่ยด้วยความเป็ห่วงขณะกดคิดเงินของทีละชิ้นโดยมีอเล็กซ์ยกวางบนเคาท์เตอร์
“นิดหน่อยน่ะ ว่าแต่ขนมปังยี่ห้อที่ฉันชอบมันหมดหรอ”
“อ๋อใช่ ของจะมาส่งพรุ่งนี้น่ะ นายแวะมาพรุ่งนี้อีกรอบสิ”
“พรุ่งนี้ไม่รู้จะว่างหรือเปล่าเลย ลูกค้าร้านนายชอบกินยี่ห้อเดียวกับฉันเยอะซะด้วยสิ” อเล็กซ์กล่าวเสียงอ่อน
“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวฉันเก็บไว้ให้ลูกค้ากิตติมศักดิ์เอง”
แซมหัวเราะร่วน คนทั้งคู่ยืนคุยกันอยู่นานสองนานจนกระทั่งลูกค้าคนอื่นเริ่มทยอยเข้ามาหลังฝนตก อเล็กซ์จึงโบกมือลาแซมทันที ก่อนกลับเขาแวะที่โบสถ์ประจำ นั่งเก้าอี้ตัวเดิมที่เคยนั่ง ก้มหน้าหลับตาสวดภาวนากับพระเ้าแบบที่ทำมาเสมอ เขาตั้งใจให้จิตใจตัวเองสงบ ไม่ลืมจะขอเผื่อน้องสาวของตัวเองเช่นกัน
เขายังคงเก็บทุกอย่างไว้เหมือนเดิมราวกับอันย่ายังคงอยู่กับเขา มันยากเหลือเกินกับเื่ที่เกิดขึ้น อเล็กซ์ไม่ได้ไปที่สถานีตำรวจมานานแล้วนับั้แ่วันที่เดวิดพูดกับเขา เขาเริ่มจะปล่อยวางมันมากขึ้นกว่าเดิมแต่ไม่ได้ทิ้งมันไปเลย ยังคงรอคอยว่าสักวันจะมีใครจับมันได้ไม่ช้าก็เร็ว
จับปีศาจตนนั้นที่พรากอันย่าไปจากเขา
ฝนที่พึ่งหยุดตกไปทำเอาพื้นเฉอะแฉะและเดินยากนิดหน่อย โชคดีที่เจย์ลีนใส่รองเท้าสีเข้มมา ไม่ต้องกลัวว่าจะเลอะเทอะเหมือนคราวก่อน เขาเดินตามหลังนายตำรวจหนุ่มคนเดิมอยู่ไม่ห่าง เข้าวันที่สามแล้วที่กลับมาโรงงานไม้ร้างแห่งนี้ มันคงจะไม่มีที่อื่นให้ไปสักเท่าไหร่ เพราะงั้นการฝากความหวังอันริบหรี่ไว้ที่ที่แห่งนี้มันคงไม่ใช่เื่ที่เรียกว่าสิ้นหวังมากนัก
ทว่าเหมือนโชคจะเข้าข้างยังไงยังงั้น เดวิดหยุดชะงักทันทีไม่แพ้กับเจย์ลีน ทั้งสองหันมองหน้ากันและยิ้มกว้างออกมาอย่างดีใจ
“คุณรอตรงนี้ ผมเข้าไปคุยกับเขาเอง” เดวิดว่า
“แน่ใจหรอ”
“เขาเป็ใครก็ไม่รู้ รอตรงนี้ เข้าใจนะ”
เจย์ลีนพยักหน้าแต่โดยดี เดวิดค่อยๆเดินเข้าไปหาชายคนนั้นที่ยืนอยู่ไม่ไกล เขากำลังก้มเก็บขยะบนพื้นใส่ถุงดำขนาดใหญ่
“ขอโทษนะครับ”
“สะ สวัสดีครับคุณตำรวจ” เขาดูใเล็กน้อยที่เห็นคนแปลกหน้าในที่แบบนี้ ยิ่งเป็คนแปลกหน้าที่สวมชุดตำรวจของรัฐด้วยยิ่งแล้วใหญ่ ชายวัยกลางคนละมือจากสิ่งที่ทำอยู่และหันมาหาเดวิดเต็มตัว
“ขอรบกวนอะไรสักครู่จะได้มั้ยครับ ผมเดวิด มาจากฝ่ายสืบสวนสอบสวนของกรมตำรวจ” นายตำรวจผิวแทนแนะนำตัวอย่างสุภาพ ดูแล้วชายคนนี้ไม่ใช่คนไร้บ้านอย่างแน่นอนจากการแต่งตัวและบุคลิกภายนอก
“ครับ ผมโจนาธานครับ เป็เ้าของที่นี่” เมื่อได้ยินคำว่าเ้าของที่นี่เดวิดก็ตาลุกวาวทันที นั่นแปลว่าเขาจะต้องรู้จักที่แห่งนี้ดีกว่าคนนอกอย่างเขาหลายเท่า
“มีอะไรให้ช่วยหรอครับ” เขาถามย้ำอีกทีเมื่อเห็นว่าเดวิดเงียบไป ที่เป็แบบนั้นเพราะเดวิดไม่คิดว่าจะได้เจอคนที่เป็ถึงเ้าของ เขาคาดไว้ว่าจะได้เจอแค่คนไร้บ้านคนอื่นก็ยังดี แต่วันนี้ถือเป็โชคดีมากที่ได้อะไรเยอะกว่าที่คาดไว้
“ผมมาตามหาคนครับ คุณพอจะรู้จัก…”
เดวิดอธิบายรูปพรรณสัณฐานของคนที่กำลังตามหาให้กับโจนาธานฟังแบบที่ชายแก่เ้าของร้านของมือสองบอกมา อีกคนพยักหน้ารับฟังพร้อมครุ่นคิดตามทีละนิด เขานิ่งเงียบทว่าเดวิดลุ้นในใจเหลือเกินว่าขอให้เขารู้จักทีเถิด
“อืม อ๋อ ผมนึกออกแล้ว คุณน่าจะหมายถึงบาเอลแน่ๆเลย” เขาเอ่ยทันทีที่นึกออก ใบหน้าคมของนายตำรวจหนุ่มผุดยิ้มทันที
“ใช่ใช่มั้ยครับ คุณรู้จักเขาใช่มั้ย”
“ครับ เขาเคยทำงานที่โรงไม้ของผมนี่แหละสมัยมันยังเปิด แต่พอเลิกกิจการเขาก็ลำบากน่าดูเลย ชอบแวะมาแอบนอนที่นี่บ่อยๆ ผมเองก็ไม่ได้ว่าอะไรนักหรอก แค่ขอให้ดูแลความสะอาดให้ แต่ดูซิเนี่ยพาเพื่อนฝูงมาทำโรงงานผมเละเทะไปหมด” เขาว่าพลางส่ายหัวอย่างเอือมระอา
“แล้วคุณพอจะทราบมั้ยครับว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนแล้ว”
“จริงสิ เขาไม่ได้มาที่นี่สักพักแล้วนะ เห็นว่าจะไปอยู่กับญาติห่างๆแถวถนนตัดใหม่น่ะ”
“ถนนตัดใหม่หรอครับ” เดวิดขมวดคิ้ว อีกคนพยักหน้ายืนยันคำตอบ นายตำรวจหนุ่มไม่ชอบแถวนั้นสักเท่าไหร่หากแต่รับฟังข้อมูลจากชายตรงหน้าต่อ
“คุณพอมีกระดาษกับปากกามั้ยล่ะ ผมวาดแผนที่ให้ได้นะ”
“มีครับมี”
เดวิดล้วงสมุดจดเล่มเล็กและปากกาคู่ใจยื่นส่งให้เขาและขยับไปใกล้ โจนาธานวาดมันพร้อมอธิบายทีละนิด เขาดูให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่และไร้ซึ่งพิษภัยใดๆ
“ประมาณนี้แหละคุณ บาเอลน่ะสังเกตง่าย คุณไปแถวนั้นแล้วถามหาชื่อเขาผมว่าคนแถวนั้นก็น่าจะรู้จัก”
“ขอบคุณมากนะครับ ขอบคุณมากจริงๆ” เดวิดรับสมุดจดและปากกาคืนมา ก้มหัวขอบคุณเขา โจนาธานโบกมือเป็เชิงว่าไม่เป็ไร ก่อนจะหันหลังก้มตัวเก็บเศษขยะที่เกลื่อนกลาดบนพื้นต่อ
“ได้เื่ยังไงบ้างครับ” เจย์ลีนถามทันทีที่เดวิดเดินกลับมา สีหน้าเดวิดดูดีใจจนเจย์ลีนเองก็พอตื่นเต้นไปด้วย
“เจอแล้วคุณ เราอาจต้องไปต่อนิดหน่อยแต่เจอเขาแล้ว”
“จริงหรอ ดีใจจัง”
เจย์ลีนเกาะแขนนายตำรวจหนุ่มและะโด้วยความดีใจอย่างลืมตัว ใบหน้ากลมเปื้อนยิ้มแห่งความสุข เดวิดนิ่งไปเล็กน้อย เจย์ลีนเองก็ชะงักลงและรีบปล่อยมือออกจากแขนของเขา เม้มปากแน่นดวงตาส่ายไปมาอย่างมีพิรุธและอายเล็กน้อยที่ทำท่าแบบนั้นใส่เขา
“ขอโทษทีครับ ผมลืมตัวน่ะ แล้วเรา เราจะไปกันวันนี้เลยมั้ย”
“คงต้องเป็พรุ่งนี้แทน เหมือนแมททิวจะส่งข้อความมาว่าเสร็จแล้วให้รีบกลับมา ท่าทางจะมีเื่ด่วนน่ะ”
“น่าเสียดายจัง แต่ไม่เป็ไร ผมเข้าใจดี งั้นเรารีบกลับกันเถอะ”
เจย์ลีนหน้าหงอยนิดหน่อยแต่ก็เข้าใจเขาดีอย่างที่ปากบอก เดวิดพยักหน้ารับแม้ที่จริงอยากจะไปแถวนั้นให้เร็วที่สุด แต่ดูท่าเื่ที่แมททิวว่าด่วนคงจะด่วนอย่างที่ว่าจริงๆ เขาจึงเดินนำไปที่รถก่อนโดยมีเจย์ลีนเดินตามมาห่างๆ สักพักก็ขนาบข้างเขา
“พรุ่งนี้เราจะไปที่นั่นแต่เช้านะ ผมสัญญา”
เจย์ลีนหันมองเขาและพยักหน้ารับเชิงบอกว่าไม่ต้องเป็ห่วง เจย์ลีนเข้าใจดีว่างานของเขาที่รับผิดชอบอยู่มันล้นมือเพียงใด แค่รู้ทางที่จะต้องไปมันก็มากพอแล้ว ไม่ต้องคอยงมอะไรราวกับตาบอดก็ดีแค่ไหน ได้แต่หวังว่าสิ่งที่ต้องเจอในพรุ่งนี้จะพาเขาไปสู่สิ่งที่รอคอยอยู่เสียทีเถิด