กลิ่นหอมกรุ่นกระตุ้นต่อมความอยากอาหารของฉู่อี้ เขาเหลือบมองฟางซื่อและอวิ๋นโส่วจงด้วยแววตาเว้าวอน “ท่านลุง ท่านป้า หากพวกท่านไม่ตกลง เช่นนั้นข้าก็ไม่กินแล้ว”
เฮ้อ ต่อให้ลึกลับเพียงใดก็เป็เพียงเด็กคนหนึ่ง ฉี่ซานของพวกเขาอายุห่างจากฉู่อี้เพียงปีเดียว แต่กลับไม่ต้องแบกรับความกังวลอะไรเลยแม้แต่น้อย
ส่วนฉู่อี้อายุก็ยังน้อย ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาเป็ผู้ช่วยชีวิตเขาไว้ ครั้งนี้เขาก็เป็ฝ่ายช่วยชีวิตครอบครัวของพวกเขาแทน
สายสัมพันธ์ของคนทั้งสองฝ่ายไม่อาจตัดขาดได้อีก หากพยายามตีตัวออกหาก มีแต่จะยิ่งเร่งให้ผู้ไม่หวังดีเกิดความสงสัย
บางทีเื่ที่ครอบครัวของพวกเขาช่วยชีวิตฉู่อี้ อาจจะรู้ไปถึงหูของผู้มีอิทธิพลบางคนในเมืองหลวงแล้วก็เป็ได้
“เ้าเด็กคนนี้ ไยถึงดื้อรั้นเช่นนี้”
“เซ่าชิง นั่งลงเถิด” ในที่สุดสามีภรรยาคู่นั้นก็ยอมแพ้ คนทั้งสี่จึงนั่งล้อมวงกินข้าวด้วยกัน
ผักและเนื้อสัตว์ล้วนขนส่งมาจากอำเภอใกล้เคียง ซึ่งเป็คนของฉู่อี้จัดการให้ทั้งหมด
“รีบกินเถิด ซี่โครงในหม้อตุ๋นอยู่นานจนเปื่อยแล้ว เห็ดหอมกับเห็ดหูหนูก็กินได้แล้ว”
เนื่องจากอยู่ติดกับเขตโรคระบาด คนตระกูลอวิ๋นจึงไม่ได้ใส่ต้นหอมหรือกระเทียมลงไปปรุงรส แต่เน้นไปที่การเคี่ยวน้ำแกงให้ออกรสชาติแทน หลังจากตักออกมาแล้วก็สามารถกินได้ทันที
“อย่ากินเผ็ดมากนัก ผสมกับน้ำแกงใสกินไปด้วย ที่นี่ก็ยังถือว่าเป็เขตโรคระบาด” เมื่อเห็นฉู่อี้ตักซี่โครงขึ้นมากินอย่างเอร็ดอร่อย อวิ๋นเจียวอดไม่ได้ที่จะเอ่ยเตือน
ไม่ว่าจะเป็องครักษ์ของฉู่อี้ ทหารที่รับผิดชอบควบคุมโรคระบาด หรือแม้แต่นายอำเภอและนายกองประจำกองทหารรักษาการณ์ที่ตั้งค่ายอยู่ห่างๆ พอได้ยินคำพูดของอวิ๋นเจียวต่างก็พากันคิดในใจ
โธ่เอ๊ย... คุณหนูน้อย ท่านยังรู้ตัวอีกหรือว่าที่นี่คือเขตโรคระบาด ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายเช่นนี้ หากไม่รู้คงคิดว่าพวกท่านมาพักผ่อนหย่อนใจกันเป็แน่ กลิ่นหอมลอยฟุ้งเตะจมูกน่าอร่อยยิ่งนัก
ฉู่อี้ได้รับความห่วงใยจากอวิ๋นเจียว ทั้งยังมีฟางซื่อและอวิ๋นโส่วจงคอยตักกับข้าวให้ไม่หยุดหย่อน เขาก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจยิ่งนัก
เขามีความสุขกับ่เวลาเช่นนี้เป็อย่างมาก หวังว่าเวลาจะเดินช้าลงอีกสักหน่อย เพราะที่นี่มีสิ่งที่เขาโหยหาและไขว่คว้าแต่ไม่เคยได้รับมาโดยตลอด นั่นก็คือความรักใคร่และความอบอุ่นจากครอบครัว
ฉู่อี้รู้ดีว่าสามีภรรยาตระกูลอวิ๋นกำลังกังวลเื่ใด ระหว่างรับประทานอาหารเขาจึงแสร้งพูดถึงสถานการณ์ในเมืองหลวงอย่างไม่ใส่ใจนัก พลางกล่าวถึงทัศนคติและการปฏิบัติต่อเขาและตระกูลอวิ๋นของฮ่องเต้
โดยนัยแล้วก็คือตระกูลอวิ๋นคบหากับเขาเช่นนี้ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด ฮ่องเต้ไม่มีทางเอาผิดโหวที่อายุยังน้อยและไม่ได้มีผลงานโดดเด่นอะไรเช่นเขา
“พรุ่งนี้เช้าต้องส่งหมอเข้าไปตรวจสอบสถานการณ์ในหมู่บ้านสักหน่อย”
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ คนของฉู่อี้ก็มาเก็บกวาด ทั้งสี่คนเดินเข้าไปในกระโจม มีองครักษ์เฝ้าอยู่ด้านนอกไม่ต้องกลัวว่าจะมีคนมาแอบฟัง
“อืม เื่หมอ ปล่อยให้นายอำเภอเปาชิงเป็คนจัดการก็แล้วกัน”
เปาชิง... อวิ๋นเจียวกระตุกมุมปาก พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่หัวเราะออกมา
หากเปาเจิ่ง เปาชิงเทียนที่เป็ขุนนางที่มีชื่อเสียงผู้ซื่อสัตย์ในสมัยราชวงศ์ซ่งรู้เื่นี้เข้า ไม่รู้ว่าจะข้ามเวลามาตีเขาหรือไม่?
“ทางที่ดีให้หมอคนเดิมเข้าไปในหมู่บ้าน เพราะพวกเขาทั้งสองกินยาของข้าไปแล้ว โอกาสติดเชื้อมีน้อยมาก ยิ่งไปกว่านั้นยาของข้า...”
ฉู่อี้พยักหน้า “อืม เช่นนั้นก็ให้หมอที่เรารับมาเมื่อวานเข้าไปตรวจดูก็แล้วกัน” เขารู้ดีว่ายาชนิดนี้มีค่า ควรค่าแก่การประหยัด
“ท่านลุง ท่านป้า เจียวเอ๋อร์ ความดีความชอบในการควบคุมโรคระบาดครั้งนี้ ข้าตั้งใจจะยกให้นายอำเภอกับนายกองประจำกองทหารรักษาการณ์ รวมถึงเื่ที่ครอบครัวของพวกท่านนำยาป้องกันโรคระบาดออกมาแจกจ่ายด้วยเช่นกัน ข้าขอให้พวกท่านสละความดีความชอบนี้ให้กับพวกเขา”
อวิ๋นโส่วจงรีบเอ่ย “ตกลง พวกเราไม่ได้หวังความดีความชอบอะไรอยู่แล้ว ยาเม็ดพวกนั้นเดิมทีก็ควรปิดเป็ความลับ”
สามีภรรยาตระกูลอวิ๋นรู้เพียงแต่อวิ๋นเจียวนำยาป้องกันโรคระบาดออกมาแจกจ่ายก็กังวลใจไม่น้อยอยู่แล้ว หากพวกเขารู้ว่านางมียาที่สามารถรักษาโรคระบาดได้ คงยิ่งกังวลใจกว่านี้เป็แน่
“ใช่แล้ว พวกเราไม่ได้หวังความดีความชอบอันใด แต่นายอำเภอผู้นั้นช่างน่ารังเกียจนัก เหตุใดท่านจึงต้องยกความดีความชอบเช่นนี้ให้เขาด้วย?”
ฉู่อี้หัวเราะ “ก็เพราะข้ารับของขวัญจากพวกเขามาอย่างไรเล่า เ้าไม่รู้หรือไงว่ามีทั้งอัญมณีสองหีบใหญ่ กับตั๋วเงินอีกหลายหมื่นตำลึงเชียวนะ”
อวิ๋นเจียวจ้องมองเขาด้วยสายตาไม่พอใจ แต่นางรู้ดีว่าฉู่อี้ไม่น่าจะโลภเงินทองเพียงน้อยนิดเช่นนี้ เขาย่อมมีเป้าหมายของตนเอง
อวิ๋นโส่วจงรีบพูดไกล่เกลี่ย “เจียวเอ๋อร์ เซ่าชิงมีแผนการของเขา เ้าอย่าได้กังวลไปเลย”
อวิ๋นเจียวเม้มปากแน่น ไม่เอ่ยอะไรอีก ฉู่อี้ไม่ได้อธิบายอะไร เพียงลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวลา “ท่านลุง ท่านป้า ดึกมากแล้ว พวกท่านพักผ่อนเถิด หากมีเื่ใดก็เรียกองครักษ์ที่อยู่ด้านนอกได้เลย”
“ตกลง เ้าก็รีบไปพักผ่อนเถิด”
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าไปส่งเขาหน่อย” กล่าวจบอวิ๋นเจียวก็เดินตามฉู่อี้ออกไปจากกระโจม
“ว่าวกระดาษที่ท่านให้ข้าสวยมาก ตุ๊กตาก็สวยมากเช่นกัน น่าเสียดายที่ข้ารักษาไว้ไม่ดี พวกมันพังหมดแล้ว”
ก่อนที่พวกเขาจะถูกคนของที่ว่าการอำเภอจิ่วจิ้นบุกค้นบ้าน พวกเขาย้ายเพียงของมีค่าไปเก็บไว้ที่บ้านของอาจารย์ตั่งเท่านั้น ลืมว่าวกระดาษกับตุ๊กตาที่อยู่ในหีบไปเสียสนิท
เมื่อเห็นอวิ๋นเจียวก้มหน้าด้วยท่าทางหวาดกลัวว่าเขาจะโกรธ หัวใจของฉู่อี้ก็อ่อนโยนราวกับแสงจันทร์บนท้องฟ้า “ไม่เป็ไร ครั้งหน้าข้ากลับเมืองหลวงจะซื้อให้เ้าใหม่”
ของขวัญที่มอบให้อวิ๋นเจียวเขาต้องเลือกด้วยตัวเอง ไม่อยากปล่อยให้คนอื่นจัดการ
เด็กผู้ชายในยุคโบราณมักจะรู้เื่ความรักค่อนข้างเร็ว เพราะบุรุษและสตรีเมื่ออายุสิบสามถึงสิบสี่ปีก็เริ่มหมั้นหมายกัน พออายุสิบห้าถึงสิบหกปีก็แต่งงานมีครอบครัว นับว่าเป็เื่ปกติ หากใครอายุสิบเจ็ดถึงสิบแปดปียังไม่ได้แต่งงานก็จะถูกหัวเราะเยาะ
เพียงแต่ฉู่อี้รู้สึกว่าความรู้สึกที่เขามีต่ออวิ๋นเจียวนั้นไม่ใช่ความรักระหว่างชายหญิง เด็กคนนี้พึ่งอายุเพียงหกขวบเท่านั้น
เขาต้องขาดความรักใคร่จากครอบครัวเป็แน่ ดังนั้น... เขาถึงได้รู้สึกแตกต่างกับเด็กคนนี้ ไม่สิ... มันรู้สึกแตกต่างกับคนตระกูลอวิ๋น
“จริงหรือ? ท่านไม่โกรธข้าหรือ?” อวิ๋นเจียวเงยหน้าขึ้น ดวงตากลมโตเป็ประกายด้วยความคาดหวัง มันส่องแสงระยิบระยับภายใต้แสงจันทร์
ฉู่อี้อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปลูบผมของนางเบาๆ อวิ๋นเจียวเบะปากทันที “ทำไมพวกท่านถึงชอบลูบหัวข้ากันนัก ผมของข้ายุ่งหมดแล้ว”
เมื่อฉู่อี้ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจเล็กน้อย พวกท่านหรือ... “ยังมีใครชอบลูบหัวเ้าอีก ข้าจะไปจัดการเขาเอง”
อวิ๋นเจียวจ้องมองเขาด้วยสายตาแข็งกร้าว “หากท่านกล้าแตะต้องพี่ใหญ่ของข้าแม้แต่นิดเดียว ข้าจะจัดการท่านเอง!”
ช่างเป็เด็กน้อยที่รักและปกป้องครอบครัวเสียจริง เพียงแต่คนที่นางปกป้องไม่ใช่เขา ฉู่อี้รู้สึกปวดใจราวกับกินน้ำส้มเข้าไปทั้งไห
“เอาล่ะ ท่านกลับดีๆ นะเ้าคะ ข้าจะกลับแล้ว” อวิ๋นเจียวทิ้งฉู่อี้ไว้เื้ั จากนั้นก็เดินกลับไปที่กระโจมของครอบครัวนางด้วยท่าทางไม่พอใจ
ฉู่อี้มองตามร่างของนางพลางเผยรอยยิ้มออกมา
เช้าวันรุ่งขึ้น ฉู่อี้มาร่วมโต๊ะอาหารเช้าแม้ไม่ได้รับเชิญ เนื่องจากมีวัตถุดิบชั้นดี ฟางซื่อจึงทำโจ๊กผักใส่เนื้อและซาลาเปา
ทหารที่เฝ้ายามอยู่บริเวณนั้นเห็นแล้วต่างก็พากันตะลึง บ้าไปแล้ว พวกเขาแน่ใจหรือว่าไม่ได้มาเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ?
หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จ จางหลิงก็เดินเข้ามารายงาน “ท่านโหว หมอไปตรวจดูแล้ว ชาวบ้านที่รอดชีวิตอาการดีขึ้นมากขอรับ!”
“จริงหรือ? วิเศษนัก!” ข่าวนี้ทำให้อวิ๋นเจียวและคนอื่นๆ ต่างรู้สึกดีใจ เพราะจะอย่างไรนี่ก็คือชีวิตของผู้คนมากมายเชียวนะ!
“ไม่ต้องให้หมอทั้งสองคนออกมาแล้ว บอกให้เปาชิงส่งคนเข้าไปช่วยเหลือหมอทั้งสองคน และช่วยพวกเขากางกระโจมในหมู่บ้านด้วย บอกพวกเขาไปว่าเป็คำสั่งของเซี่ยโหว”
ที่ปรึกษาที่อยู่ข้างกายฉู่อี้คือเซี่ยโหว ซึ่งเคยเป็ที่ปรึกษาผู้จงรักภักดีของอดีตท่านโหวฉู่เผยเหวิน เขาคอยให้คำปรึกษาให้คำแนะนำและจัดการเื่ราวต่างๆ ให้กับฉู่อี้เป็เื่ปกติ
ในสายตาคนทั่วไปฉู่อี้เป็เพียงเด็กหนุ่มที่ไม่สนใจเื่ราวใดๆ ครั้งนี้เขาออกตัวช่วยเหลือ หากไม่โยนความดีความชอบครั้งนี้ให้เซี่ยโหวรับหน้าแทน เกรงว่าคงมีบางคนในเมืองหลวงเริ่มกังวลและคิดกันไปไกล
จางหลิงรับคำ “ขอรับ ท่านโหว”