บทที่ 68 เื่ราวที่ไม่มีบันทึกไว้ในชาติก่อน
ผู้เฒ่าอีกท่านเองก็รีบพูดเช่นกัน “ข้าเห็นด้วย แทนที่จะเลือกผู้ที่มีคุณสมบัติที่ดี มีความสามารถและอาจประสบความสำเร็จจากคนนอกสายเืไว้ เหตุใดไม่ยอมแลกกับยาอายุวัฒนะมากหน่อย เพื่อฝึกฝนผู้ที่มีพร์ของเราเองในตระกูลหลินเล่า? หากมียาอายุวัฒนะเหล่านี้ มันก็เพียงพอที่จะฟื้นฟูความแข็งแกร่งโดยรวมของตระกูลหลินให้เพิ่มขึ้นได้ใน่เวลาอันสั้นอยู่แล้ว”
หลินเหยาถูกผู้เฒ่าสองท่านนี้ต่อว่าก็เงียบราวกับคนใบ้ ไม่นานนางก็ได้สติ เถียงกลับอย่างไม่ลดละว่า “ถึงแม้จะเป็เช่นนี้ เป็ที่รู้กันว่าตระกูลลู่ก็ได้เปรียบอยู่ดี!” ในขณะที่พูดก็ชำเลืองมองไปทางลู่อวี่ที่ทำราวกับเื่นี้ไม่เกี่ยวกับตัวเองด้วยความรังเกียจ
ในตระกูลลู่เองก็มีผู้ที่ไม่พอใจกับคำพูดของหลินเหยาเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะเมื่อเห็นหลีชิวเยวี่ยไม่เอ่ยปากพูดอะไรออกมา เห็นได้ชัดว่ากำลังสงสัยความสามารถนายน้อยของตน ดังนั้นถึงพูดออกมาว่า “ถึงแม้ไม่รู้ว่าเทพโอสถท่านนั้นที่ผู้าุโกล่าวถึงจะเป็จอมเทพจากที่ใด แต่นายน้อยตระกูลลู่ของเราก็เป็ผู้หนึ่งที่มีความสามารถพิเศษเฉพาะตัวที่แตกต่างจากคนอื่นๆ เป็คนปรุงโอสถขั้นห้าที่อายุยี่สิบปีสมชื่อ เื่นี้ไม่ได้มีเพียงผู้เดียวที่เป็พยานให้ได้ มันไม่มีความจำเป็ต้องให้คนนอกมาชี้นิ้วสั่ง ยิ่งไปกว่านั้น การปรุงยาอายุวัฒนะให้ใครสักคนมันก็ไม่ใช่งานง่ายๆ แม้ว่านายน้อยของเราจะปรุงยาอายุวัฒนะได้ ก็ต้องให้นายน้อยของเราเต็มใจทำให้ มันไม่ใช่ว่าตระกูลลู่ของเราขอปรุงยาอายุวัฒนะให้พวกเ้า!”
พูดได้อย่างมีศักดิ์ศรีจริงๆ เมื่อลู่อวี่ได้ยินก็แอบชื่นชมในใจเงียบๆ ถึงแม้ไม่ได้หันหน้ากลับมามอง ฟังจากน้ำเสียงก็พอจะรู้ว่าคือลู่เหว่ยเฉิน เป็ลุงในตระกูลของเขาผู้นั้นที่ตอนนี้เป็คนปรุงโอสถขั้นเจ็ด คิดว่าหากเขาให้คำแนะนำไปอีกเสียหน่อย และใช้เวลาอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ตระกูลลู่ก็จะมีคนปรุงโอสถขั้นหกเพิ่มมาอีกคน
ในเวลานี้ทุกคนจากเกาะหลิงหวาเซียนไม่ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา ในฐานะลูกศิษย์คนที่สี่ เนี่ยชิงหลวนเป็คนที่หัวแข็งที่สุด โดยปกติมักจะไม่ยอมเสียเปรียบแม้แต่น้อย แต่เหตุผลที่เขาไม่พูดในครั้งนี้ก็เป็ผลมาจากคำสั่งเด็ดขาดของหลิงหวาฮูหยิน หลีชิวเยวี่ยเมื่อครู่นี้
ถึงแม้หลีชิวเยวี่ยจะไม่เชื่อเลยว่าลู่อวี่สามารถปรุงยาอายุวัฒนะที่ตัวเอง้าออกมาได้ เพราะั้แ่นางมาถึงก็ยังไม่เคยนำสูตรยามาให้อีกฝ่ายดูเลย ยิ่งไปกว่านั้นการกระทำของตระกูลหลินและตระกูลลู่ก็อยู่ในสายตาของนางมาตลอด และรู้ว่าเป็ไปไม่ได้ที่ทั้งสองตระกูลจะมาหลอกลวงนางแน่นอน เพราะเื่นี้เพื่อเห็นแก่นายน้อยท่านหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากได้ยินสิ่งที่ลู่เหว่ยเฉินพูดเมื่อครู่นี้ นางก็ยิ่งเข้าใจ แม้ว่าเื่นี้จะทำไม่สำเร็จก็ตาม แต่ก็คงจะไม่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายกระด้างกระเดื่องต่อกันมากนัก ไม่อย่างนั้นคงจบไม่สวยแน่ ดังนั้น เมื่อเนี่ยชิงหลวนกำลังจะเอ่ยปากพูดก็รีบห้ามไว้ทันที
ลู่อวี่เองก็นั่งอยู่ตรงนั้นโดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ เขาดื่มชาวิเศษเป็ครั้งคราว ทำราวกับว่ารอบตัวไม่มีผู้ใด และเป็เพียงอากาศธาตุเท่านั้น ท่าทางของเขาที่ทำราวกับว่าอยู่คนเดียว ทำให้ลูกศิษย์สามสี่คนในสำนักบนเกาะหลิงหวาเซียนไม่พอใจนัก หลินเหยายิ่งถลึงตามองลู่อวี่ไม่กะพริบ ทำราวกับจ้องเขม็งมองแล้วคนจะตายเสียอย่างนั้น
เื่เช่นนี้ลู่อวี่ก็เคยพบเจอบ่อยๆ ในชาติก่อน เพราะเมื่อชาติก่อนเขามีอายุได้ประมาณ 200 ปีก็มีพลังยุทธ์่ปลายขั้นหวนสู่สัจธรรมแล้ว เพียงคิดก็รู้ว่า สำหรับคนหัวโบราณคร่ำครึเ่าั้ที่มีอายุหลายร้อยหรือเป็พันปี อายุของลู่อวี่ก็ไม่ต่างจากเด็กน้อย ทั้งในสายตาของคนเ่าั้และในสายตาของผู้ใหญ่ ดังนั้นหลังจากรู้ว่าพลังยุทธ์ของเขาอยู่ในขั้นเกิดเทพเ้าแล้ว เื่ที่ถูกคนเหล่านี้สงสัยในอายุของเขาก็เริ่มดีขึ้น
ดังนั้นเมื่อตอนนี้มาเผชิญหน้ากับความสงสัยจากคนของเกาะหลิงหวาเซียน เขาก็ไม่สะทกสะท้านเช่นเดิม อีกทั้งยังไม่รู้สึกโกรธด้วย เขาไม่ได้มีอารมณ์โมโหใดๆ เลยแม้แต่น้อย เพราะมีประสบการณ์มาแล้ว เคยพบเจอกับเหตุการณ์มาก็มากมาย อีกอย่างคนเหล่านี้จะเชื่อหรือไม่ มันก็ไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับเขา ไม่คุ้มค่าเลยหากเขาจะมาสิ้นเปลืองสภาพจิตใจอะไรตรงนี้!
เพราะอย่างไรเสีย หลายๆ ครั้งก็มีคนจำนวนมากที่ไม่เชื่อมั่นในตัวเขาอยู่แล้ว แต่สุดท้ายปรมาจารย์เช่นเขา ก็ทำให้คนพวกนั้นตกตะลึงอ้าปากค้างได้ บางทีความรู้สึกราวกับปาฏิหาริย์ก็ทำให้ตัวเองหลงใหลการปรุงโอสถจนโงหัวไม่ขึ้นเช่นนี้ ดูราวกับว่าชาติก่อนตัวเองจะมีประสบการณ์ไม่มากพอ เพราะความสำเร็จน้อยๆ นี้ถึงได้ลากตัวเองให้มาหลงผิด
ผู้เฒ่าใหญ่ตระกูลหลิน หลินตงผิงจับตาดูลู่อวี่อยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อเวลานี้เห็นเขายังคงทำท่าเฉยเมยเหมือนเดิม ก็อดที่จะรู้สึกหวั่นไหวขึ้นมาไม่ได้ ตอนนี้กลุ่มของหลิงหวาฮูหยินถูกเขาหนิงชุยเฟิงปฏิเสธมาแล้ว นิสัยอย่างผู้าุโท่านนี้ คงไม่มีทางไปก้มหัวร้องขอให้ปรุงยาให้อีก ส่วนคนปรุงโอสถท่านอื่นๆ คงมีทางเป็ไปได้ไม่มากที่จะปรุงยาอายุวัฒนะนี้ออกมาให้ เทียนตูที่กว้างใหญ่ ความหวังสุดท้ายก็คงจะตกอยู่ที่ผู้ที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้แล้ว
ดังนั้นเขาจึงทำเป็กระแอมไอส่งเสียงออกมา และตัดบทวิพากษ์วิจารณ์ รอจนกระทั่งทุกคนเงียบกันแล้ว และหันไปมองที่เขา ถึงถามลู่อวี่อย่างเป็มิตรว่า “นายน้อยลู่นั่งฟังมาก็นานแล้ว แต่ไม่แสดงความคิดเห็นใด ไม่ทราบว่า นายน้อยลู่เชี่ยวชาญในการปรุงยาอายุวัฒนะจำพวกนี้หรือไม่!”
ถึงแม้ยังไม่เห็นรายละเอียดในสูตรยา แต่ลู่อวี่ก็ทำได้มากกว่าครึ่ง เพราะสูตรยาในมือของหลิงหวาฮูหยิน ก็คือหนึ่งในสูตรยาที่เขาคิดค้นขึ้นมาโดยเฉพาะในตอนนั้น ดังนั้นจึงไม่แสดงท่าทีถ่อมตนใดๆ ถึงแม้คนเหล่านี้จะไม่เชื่อมั่นในตัวเขา และทำให้เขารู้สึกไม่พอใจไม่น้อย แต่บัดนี้ถึงเวลาสร้างชื่อเสียงให้ตนเองแล้ว ในเวลาเดียวกัน หากเป็สูตรยาที่ตัวเขาคิดค้นขึ้นมาโดยเฉพาะ เช่นนั้นแล้ว มันน่าจะได้เก็บเกี่ยวบางสิ่งที่ไม่คาดคิดได้ แต่สูตรยาในตอนนั้นตนเองได้เพิ่มตัวยาไปอีกไม่น้อย ต่อให้ตระกูลหลินจะขึ้นมาเป็อันดับหนึ่งในเจ็ดตระกูลใหญ่ และสองปีมานี้ก็เริ่มเสาะแสวงหาวัตถุดิบยาและสะสมจากทั่วสารทิศ แต่มีส่วนน้อยมากที่จะถูกตาต้องใจพวกเขา ดังนั้นเขาจึงตั้งตารอคอยวัตถุดิบยาที่หลิงหวาฮูหยินเตรียมมาไม่น้อย
ดังนั้นลู่อวี่จึงพยักหน้าตอบตกลง “ตราบใดที่มันไม่เกินขั้นห้าก็ไม่มีปัญหา มันเป็เพียงยาอายุวัฒนะขั้นหกเท่านั้น! แต่ข้าอยากจะถามผู้าุโหลิงหวาสักนิดว่า ปรมาจารย์ปรุงโอสถไร้เทียมทานที่ท่านพูดถึงผู้นั้น คือยอดฝีมือคนใด? ข้าน้อยเป็เพียงกบในกะลาและอยากรู้อยากเห็นนัก!”
หลินเหยาเบะปากอยู่ไม่ไกลออกไป หัวเราะและพึมพำขึ้น “ได้แต่ขี้โม้ ยังไม่ได้ดูสูตรยาแม้แต่น้อย แต่กลับบอกว่าปรุงยาออกมาให้ได้ ประเดี๋ยวรอเ้าทำล้มเหลวก่อนเถิด ดูสิว่ายังกล้าเรียกตัวเองว่าคนปรุงโอสถขั้นห้าได้อีกหรือไม่ แม้แต่ยาอายุวัฒนะขั้นหกยังปรุงออกมาไม่ได้!”
แม้ว่านางจะพูดพึมพำเสียงเบาก็ตาม แต่คนในห้องโถงเป็ผู้ที่มีประสาทการรับเสียงที่ยอดเยี่ยมทั้งสิ้น ดูราวกับว่าทุกคนจะได้ยิน ลู่อวี่ก็เช่นเดียวกัน เขารู้ว่า แม่สาวน้อยผู้นี้กำลังโกรธเขาอยู่ จึงไม่เก็บเอามาใส่ใจ ทว่าเป็นายหญิงตระกูลหลินที่เป็ฝ่ายถลึงตามองบุตรสาวอย่างตำหนิ
เมื่อหลิงหวาฮูหยินเห็นลู่อวี่ทำท่าทางไม่สนใจเลยแม้แต่น้อยนิด ก็แอบพยักหน้าในใจเงียบๆ คนปรุงโอสถขั้นห้าที่อายุยังน้อยแต่ไม่มีท่าทีหยิ่งยโสใดๆ ไม่ว่าจะให้ทำอะไรหรือจัดการสิ่งใด ก็ไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่ง เขาไม่ถ่อมตัวจนดูต่ำต้อย ดูมีน้ำใจเลยทีเดียว แม้ว่าจะไม่ค่อยเชื่อมั่นในการปรุงยาอายุวัฒนะของลู่อวี่ แต่อุปนิสัยก็เข้าตานางไม่น้อย หากเขามีใจให้ศิษย์น้องเล็กในสำนักของนางจริงๆ ก็ไม่ใช่ว่าจะทำให้สมปรารถนาไม่ได้
“ผู้าุโท่านนี้มีชื่อว่าอะไรก็มีน้อยคนที่จะรู้ อันที่จริง เนื่องจากความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ในการเล่นแร่แปรธาตุของเขา ทุกคนที่รู้จักเขาจึงเรียกเขาด้วยความเคารพว่าเทพโอสถ ดังนั้นนานวันเข้าจึงไม่มีใครเอ่ยชื่อของเขาอีก บางทีพวกเ้าอาจคิดว่าผู้าุโท่านนี้เป็เพียงนักเล่นแร่แปรธาตุ ต่อให้มีความสามารถสูงเพียงใดแล้วอย่างไรใช่หรือไม่? นั่นถือว่าเป็ความผิดพลาดใหญ่หลวง เพราะผู้าุโท่านนี้ประสบความสำเร็จในการบำเพ็ญด้วยยาอายุวัฒนะ เขาใช้เวลาเพียงไม่ถึงสองร้อยปีจากผู้บำเพ็ญเพียรสันโดษที่ไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามฝึกฝนมาจนถึง่ปลายขั้นหวนสู่สัจธรรม ที่ข้าเล่ามาพวกเ้าก็คงััได้ว่าผู้าุโท่านนี้เก่งกาจมากเพียงใดแล้วใช่หรือไม่!”
เมื่อหลิงหวาฮูหยินเห็นว่าทุกคนทำหน้าหวาดกลัวและตื่นตระหนก แม้แต่คนที่มีพลังยุทธ์สูงที่สุดสองสามท่าน ก็หน้าถอดสีไปตามๆ กัน ฝึกฝนมาสองร้อยปีก็มาถึงขั้นหวนสู่สัจธรรม ทันทีที่ได้ยินคำพูดนี้ พวกเขาก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวทันใด มันเป็ไปไม่ได้ แต่ต่อให้ในใจคิดเช่นนี้ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับปรมาจารย์ขั้นเกิดเทพเ้าท่านหนึ่ง ต่อให้ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแล้ว เพราะบุคคลที่บำเพ็ญเพียรมาถึงขั้นนี้ได้ คนใดบ้างที่ไม่หยิ่งยโสวางตัวสูงกว่าใครอื่น แล้วจะไปคุยโวต่อผู้อื่นราวกับคนข้างถนนได้อย่างไร?
“มันน่าเหลือเชื่อจริงๆ? แม้แต่การปรุงโอสถเล่นแร่แปรธาตุในยุคเจริญรุ่งเรืองที่สุดในสมัยโบราณ ก็ไม่มีใครมีความสามารถน่าทึ่งถึงเพียงนี้ ถูกผู้าุโท่านกล่าวถึงเช่นนี้ แม้แต่ข้าน้อยก็ยังอยากจะเข้าไปคารวะผู้าุโท่านนี้ด้วยเช่นเดียวกัน!” นายหญิงตระกูลหลินเซี่ยจวิน มีสีหน้าประหลาดใจและเต็มไปด้วยความชื่นชม ไม่มีอาการเสแสร้งแม้แต่นิดเดียว
“ความรวดเร็วเช่นนี้ ไม่กล้าพูดว่าในอดีตเคยปรากฏมาก่อน หลังจากนั้นก็ไม่มีใครที่จะเหมือน ข้าขอกล่าวไว้ตรงนี้เลยว่าช่างเป็บุคคลที่ล้ำค่าและพบเจอได้ยากนัก!” ผู้เฒ่าใหญ่ตระกูลหลินพูดด้วยความเสียดาย หลังจากเงียบไปสักพัก ก็นึกถึงเื่หนึ่งขึ้นมาได้ ก่อนกล่าวขึ้น “อ้อใช่สิ ผู้าุโหลิงหวา ในเมื่อนายน้อยลู่บอกแล้วว่าสามารถปรุงยาอายุวัฒนะให้ได้ ไม่สู้นำสูตรยาออกมาให้นายน้อยลู่ดูเล่า เช่นนี้จะได้พิสูจน์กันได้ เพราะที่นั่งอยู่ตรงนี้ก็ไม่ได้มีผู้าุโเพียงท่านเดียว เกรงว่าคงมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ไม่เชื่อว่านายน้อยลู่สามารถปรุงยาอายุวัฒนะจำพวกนี้ออกมาให้ได้ แต่จะพิสูจน์อย่างไรนั้นก็ต้องให้นายน้อยลู่ดูสูตรยาก่อนถึงจะยืนยันได้!”
หลิงหวาฮูหยินลังเลอยู่สักพัก ก่อนที่จะส่ายหน้า ถึงแม้ว่านางจะไม่เคยเห็นลู่อวี่ปรุงยาอายุวัฒนะมาก่อน แต่นางเชื่อมั่นในการตัดสินใจของตัวเอง ชนรุ่นหลังผู้หนึ่งที่อายุน้อยเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไร ก็ไม่มีทางปรุงยาอายุวัฒนะที่จอมเทพโอสถคิดค้นขึ้นมาเฉพาะได้ สูตรยานี้แม้แต่าาโอสถของเขาหนิงชุยเฟิงยังไม่กล้าลงมือปรุงยาให้
แม้ว่าาาโอสถของเขาหนิงชุยเฟิงจะไม่คู่ควรแม้แต่จะเป็เด็กดูไฟให้จอมเทพ แต่ในเขตแดนของเทียนตู ในเื่การปรุงโอสถ ถือว่าเขาเป็มือหนึ่งในเทียนตูแล้วจะให้เด็กหนุ่มที่ยังอายุไม่ถึงยี่สิบปีผู้หนึ่งมาเทียบเคียงได้อย่างไร?
คิดได้ไม่นานนางจึงกล่าวขึ้น “ช่างเถิด ในเมื่อาาโอสถของเขาหนิงชุยเฟิงยังไม่สามารถปรุงยาอายุวัฒนะนี้ออกมาให้ได้ เช่นนั้นข้าคงต้องออกเดินทางไกล ไปค้นหาดูนอกเทียนตูแล้ว เมื่อครั้งที่ออกไปท่องยุทธภพก็ได้ผูกมิตรไมตรีกับสหายไว้ไม่น้อย หากติดต่อกับพวกเขา แล้วปรุงยาอายุวัฒนะนี้ออกมาคิดว่าก็คงไม่ใช่เื่ยาก ข้าจะเดินทางโดยเรือเหาะเงิน อาการาเ็ขอจงเสวียนก็ยังพอรักษาให้อาการคงที่สักระยะ หากจะเสียเวลาไปสักหน่อยก็คงไม่เป็อะไร!”
เห็นได้ชัดว่าหลิงหวาฮูหยินไม่เชื่อมั่นในตัวลู่อวี่ มันทำให้คนของตระกูลลู่ไม่พอใจเป็อันมาก แต่กลับพูดอะไรไม่ได้
ลู่อวี่ที่คาดหวังกับยาวิเศษเ่าั้ที่อยู่ในมือหลิงหวาฮูหยินมาก ไม่มีทางเลยที่เขาจะให้เนื้อหมูติดมันที่มาหาถึงที่ของตัวเองหลุดมือไปแน่ ดังนั้นจึงยิ้มจางๆ และพูดว่า “แม้ว่าข้าน้อยจะอายุน้อย แต่ก็ไม่ชอบถูกใครเหยียดหยาม สู้ให้ข้าน้อยลองเดาตัวยาที่ผู้าุโกลั่นออกมาหน่อยดีหรือไม่?”
“อ้อ? แล้วเ้าจะเดาอย่างไรเล่า?” คิ้วที่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อยของหลิงหวาฮูหยินคลายออกจากกัน พร้อมกับเอ่ยถามด้วยความสนใจ และกล่าวต่อไปอีกว่า “หากเ้าเดาถูก และเดาจนทำให้ข้าพอใจ ข้าก็จะส่งมอบสูตรยานี้ให้เ้าได้ปรุงยา แน่นอนว่าราคาค่าตอบแทน หากสมเหตุสมผลก็แล้วแต่เ้าจะเสนอมา เพียงไม่ทำให้อาการาเ็ของลูกศิษย์ข้ายืดเยื้อเป็พอ”
ลู่อวี่แอบกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ และกล่าวขึ้น “บังเอิญข้าก็รู้จักยาอายุวัฒนะขั้นหกที่รักษาอาการทางจิตใจอยู่จำพวกหนึ่ง มันมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น หากข้าเดาไม่ผิด ยาอายุวัฒนะนี้น่าจะเป็ยาอายุวัฒนะจำพวกนั้นที่ผู้าุโท่าน้า!”
เมื่อหลินเหยาเห็นว่าลู่อวี่พูดมานานแล้ว แต่ก็ยังไม่บอกชื่อยาออกมาเสียที นางที่เป็คนใจร้อนก็อดที่จะถามออกมาไม่ได้ “ยาอายุวัฒนะอะไร? เ้าก็อย่าเอาแต่คุยโว บอกชื่อยาด้วยสิ!”
เนี่ยชิงหลวนที่นั่งอยู่ติดกันก็ดึงแขนนางไปทีหนึ่ง ศิษย์ตัวน้อยถูกตามใจจนเสียคนแล้วจริงๆ เื่นี้มันเกี่ยวโยงไปถึงความเป็ความตายของศิษย์พี่ เหตุใดยังจะมาโกรธเขาในเวลานี้อีกเล่า? จะว่าไปทั้งสองคนนี้ก็ไม่ได้มีความแค้นเคืองมากถึงขั้นไม่อยากอยู่ร่วมใต้ฟ้าเดียวกัน เพื่อหลีกเลี่ยงอาจารย์และหลีกเลี่ยงการทำให้ลู่อวี่อารมณ์เสีย จนมีผลกระทบต่อการปรุงยาอายุวัฒนะ นางถึงได้รีบเข้าไปห้ามปรามหลินเหยา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้