บาสที่ยืนทำตัวเล็กตัวลีบแอบฟังคนทั้งสองคนพูดคุยกันอยู่พยายามเงี่ยหูฟังบทสนทนาที่เงียบลง เขายืนรออีกสักครู่ว่าจะมีใครเอ่ยอะไรออกมาอีกหรือไม่แต่ทุกอย่างก็ยังคงเงียบเช่นเดิมไม่มีใครที่เอื้อนเอ่ยอะไรออกมาอีก เขาจึงค่อยๆก้าวเดินออกไปจากที่ซ่อนตัวเพื่อกลับไปที่ให้ถึงที่โต๊ะก่อนที่แทนจะกลับมาเพราะไม่อย่างนั้นคงถูกจับได้เป็แน่ว่าแอบตามมาเสือก
“ว่ามา” ยังไม่ทันที่จะได้ทิ้งตัวนั่งจนเต็มก้น สายตาของทุกคนในกลุ่มก็พุ่งมาที่เขาอย่างพร้อมเพรียงเพื่อรอฟังประเด็นเผ็ดร้อนระหว่างแทนกับเรนจากเขา
“เอาแบบรวบรัดตัดตอนให้เข้าใจตรงกันทีเดียวเลยนะ”
“อือ”
เื่เสือกนี่มันไม่เข้าใครออกใครจริงๆนะ แต่เข้าพวกเขาเต็มๆแบบไม่ยอมออกไปไหนเลยแหละ
“เรนมาขอโอกาสไอ้แทน” นี่ก็สรุปแบบตรงประเด็นเน้นๆ เอาแต่เนื้อไม่มีน้ำกันเลยทีเดียว
“ตอนทิ้งไปไม่เห็นหัว พอมาตอนนี้มาขอโอกาส” ขิมพูดไปเบะปากไป มือก็จับหลอดคนน้ำแข็งกับน้ำที่เหลืออยู่ในแก้วเสียแรงจนเจสต้องมองตามเพราะกลัวว่ามันจะกระเด็นมาโดนตัวเองเข้า
หงุดหงิดได้แต่อย่าให้เดือนร้อนคนอื่นนะคะหญิง
“มีอะไรอีกมั้ย มึงเห็นอะไรบ้างหรือเปล่า”
“ไม่เห็นอะ กูไม่กล้าโผล่หน้าออกไปกลัวไอ้แทนมันเห็นเลยแอบฟังอย่างเดียว”
“ไม่ใช่บีบน้ำตงน้ำตาใส่เพื่อนกูนะ เดี๋ยวอิแทนก็ใจอ่อนอีก” ขิมว่าอย่างเซ็งๆ
“แล้วทำไมอยู่ดีๆมันถึงอยากจะกลับมามีแสงในชีวิตอิแทนขึ้นมาวะ หรือมันเห็นเพื่อนเราเป็ของตายจริงๆ” คำพูดของเจสซี่ทำให้ทุกคนที่นั่งอยู่อดที่จะคิดตามไม่ได้
“แต่กูว่ากูได้กลิ่นอื่น ที่ไม่ใช่กลิ่นของตาย” สกาวฟ้าเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าที่มั่นอกมั่นใจ
“กลิ่นอะไรวะ” ทิมมี่ถามขึ้นมาด้วยความสงสัย “กลิ่นตดอิเจสหรอ” ก่อนจะยิงมุกไปหนึ่งทีเพื่อให้บรรยากาศที่ดูเหมือนจะตึงเครียดตรงหน้าผ่อนคลายลงพร้อมกับยู่หน้าเหมือนว่าเหม็นจริงๆ
“หุบปากไปมึงน่ะ” ริมฝีปากหนาเม้มเข้ากันทันที เมื่อเจสซี่ทำท่าวาดวงสวิงแขนเหมือนจะฟาดมือลงมาที่ปากของเขา มือทั้งสองข้างถูกยกขึ้นเหนือหัวอย่างยอมแพ้ เจสจึงลดมือลงแล้วหันไปตั้งใจฟังเพื่อนสาวสุดเท่พูดต่อ
“กูได้กลิ่นคนหวงของ” พูดจบก็ยักคิ้วขึ้นหนึ่งทีเพื่อความคูล
“กลิ่นเดียวกับกูค่า” ขิมบอกพร้อมกับยกมือขึ้นมาตีกับฟ้าเมื่อเห็นว่าเขาทั้งคู่มีความคิดเห็นที่ตรงกัน
“แต่มันหวงอิเเทนหรืออิปลื้มล่ะ” เจสซี่ยกมือขึ้นมาเหมือนขออนุญาตออกความคิดเห็น ก่อนจะลดมือลงเมื่อทิ้งะเิเสร็จ ทำให้ทุกคนที่ร่วมวงสนทนาอยู่ต้องทำหน้าคิดหนักอีกรอบเพราะคำถามที่เจสซี่ทิ้งบอมเอาไว้
“ปลื้มมั้ยอะ กับอิแทนมันคงไม่อะไรเท่าไรหรอกมั้ง ถ้าจะอะไรคงอะไรไปนานละ” คนพูดก็ไม่ใช่ใครที่ไหนสกาวฟ้าที่เสนอทฤษฎีกลิ่นหวงขึ้นมานั่นเอง
“จริง” และเขาก็ยังคงมีขิมเป็ลูกทีมที่ดีเสมอ
“แล้วพวกมึงว่าไอ้ปลื้มมันอะไรกับเพื่อนเราหรือแฟนเก่ามันมากกว่ากันวะ” คือพูดก็พูดเถอะนะความสัมพันธ์ถ่านไฟเก่านี่มันน่ากลัวสำหรับทุกคู่จริงๆ เพราะอย่างไงเขาก็คือคนที่เคยถูกรักมาก่อนต่อให้เลิกกันแบบเลวร้ายแค่ไหนลึกๆมันก็ยังมีเส้นความผูกพันบางๆหลงเหลือเอาไว้อยู่ดี
“น่าจะเพื่อนเราว่ะ จากที่เห็นมันก็ไม่ได้สนใจเรนขนาดนั้นแล้วนะ ดูจะอะไรกับเพื่อนเรามากกว่าอีก”
เหตุการณ์วันนั้นที่ร้านข้าวทำให้ทิมมี่คิดว่าปลื้มน่าจะไม่ได้มีความรู้สึกอะไรที่ลึกซึ้งให้กับเรนอีกแล้ว เพราะทั้งจากการกระทำ คำพูดและสายตาที่ปลื้มใช้มองเรนในวันนั้นมันเหมือนคนที่กำลังอยู่ในอารมณ์ของความหึงหวงอย่างไงก็ไม่รู้ แต่ไม่ใช่ว่าปลื้มหึงหวงเรนนะ มันเหมือนปลื้มหึงหวงแทนมากกว่า
“หรืออิเรนมันจะรู้สึกถึงซัมติงระหว่างปลื้มแทนเหมือนพวกเราวะ ไม่ได้การละกูว่ากูต้องรีบแท็กทีมกับอิน้องจีนกำจัดเสี้ยนหนามอันใหญ่อันนี้แล้ว”
“แต่ถ้าจีนรู้เื่แทนกับเรน เขาจะไม่เลิกเชียร์ปลื้มแทนหรอวะ”
“จริงว่ะ”
“ทางนั้นอาจจะแยกแยะได้ก็ได้”
“ถ้าสมมติเป็มึง อิแทนไม่ใช่เพื่อนมึง มึงจะแยกแยะได้มั้ยอิบาส”
“...”
“ไม่ใช่ทุกคนที่รับได้ค่ะ แต่คนที่รับได้มันก็คงจะมีแหละมั้ง”
ในที่สุดสัปดาห์แห่งการสอบมิดเทอมก็กำลังจะผ่านพ้นไปเสียที ใน่สอบที่ผ่านมานั้นทำให้แทนและปลื้มเจอกันน้อยลงไปกว่าเดิมอีก ทั้งที่ปกติเองก็ไม่ค่อยจะได้เจอกันบ่อยสักเท่าไรอยู่แล้วเพราะต่างคนต่างก็วุ่นวายอยู่กับการอ่านหนังสือและตารางสอบของตัวเอง ไม่ใช่แค่ทั้งสองหนุ่มที่ไม่ค่อยได้เจอหน้ากันแต่กลุ่มเพื่อนของทั้งสองคนเองก็ห่างหายกันไปเช่นกัน พอวันสอบวันสุดท้ายมาถึงจึงนัดเจอกันเสียหน่อยก่อนที่จะต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับไปพักผ่อน
“ทำไรอะ” แทนที่กำลังนั่งคุยอยู่กับบาสสะดุ้งตัวอย่างแรงด้วยความใ เขาจับชีทในมือขึ้นฟาดใส่หน้าของคนที่โผล่มาไม่ให้สุ้มให้เสียงจนเ้าตัวร้องโอดครวญเหมือนจะเป็จะตายลงตรงนั้น “รุนแรงไปป่ะ ถ้ากูหมดหล่อไม่มีคนเอาขึ้นมามึงต้องรับผิดชอบกูไปตลอดชีวิตเลยนะ”
“แค่ชีทบางๆหายใจแรงหน่อยก็ปลิวแล้วมันจะไปทำให้มึงหมดหล่อได้อย่างไง”
“บางแค่ไหนกูก็เจ็บอยู่ดี”
“เจ็บก็ดี สมน้ำหน้า” แทนพูดขึ้นโดยไม่แม้แต่จะมองหน้าของปลื้มด้วยซ้ำ ร่างสูงจึงหยุดโวยวายแล้วทิ้งตัวนั่งลงด้านข้างกับแทนเงียบๆ
“่นี้มึงสองคนดูสนิทกันนะ” เก่งที่เดินตามหลังปลื้มมาทักขึ้น
“ทิมมี่กับจีนก็ดูสนิทกันนะมึงไม่ทักพวกมันบ้างล่ะ กอดกันกลมเลยน่ะ” ร่างบางหันไปมองหน้าเก่งก่อนจะเบนสายตามองไปยังโต๊ะตัวถัดไปที่มีเพื่อนของเขาและโอเมก้าน่ารักคนหนึ่งนั่งอยู่ ถ้าแค่นั่งข้างกันเฉยๆมันก็ไม่น่าแซวเท่าไรหรอกแต่มีซบมีกอดเอวกันด้วยอันนี้มันก็เลยอดแซวไม่ได้จริงๆ
“อะไร” จีนถามกลับเมื่อรู้ตัวว่าถูกพาดพิงถึง
“คู่นั้นเขาชัดเจนว่าจีบกัน แต่มึงสองคนอะยังไง” สกาวฟ้ายกนิ้วขึ้นมาชี้หน้าของแทนกับปลื้มสลับกัน
“คู่ไหน ใครคู่” แต่จีนก็โวยวายขึ้นมาเสียก่อน “พวกมึงมาเอาเพื่อนมึงไปเลยนะ รัดกูเป็งูเหลือมเลยเนี่ย”
“ขอเติมพลังหน่อย พึ่งสอบเสร็จมาเหมือนพลังชีวิตจะหมด” ทิมมี่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เหนื่อยหน่ายเหมือนคนใกล้หมดแรงตรงข้ามกับแขนที่โอบรัดรอบเอวบางเอาไว้แน่นชนิดที่อีกคนดิ้นอย่างไงก็ไม่หลุดแถมยิ่งดิ้นก็ยิ่งรัดแน่นขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย สุดท้ายจีนก็ต้องยอมแพ้นั่งนิ่งๆให้อัลฟ่าตัวโตกอดอยู่อย่างนั้น
“ตีกันแบบนี้เขาว่าลูกดกนะคะ หัวปีท้ายปีกันเลยทีเดียว”
“รออุ้มหลานแล้วนะเนี่ย” พีคเอ่ยขึ้นมาเสริมคำพูดของเจส
“สนใจอยากอุ้มลูกของเราบ้างมั้ยคะ”
“ขอโทษนะแต่กูเป็หมันอะเจส”
“แรงมากนะแช่งตัวเองให้เป็หมันเพื่อปฏิเสธกูอะอิพีค”
“หยุดไร้สาระกันสักนาทีได้มั้ย” หญิงสาวคนสวยของกลุ่มยกมือขึ้นห้าม “ขอถามหน่อย ตกลงปลื้มแทนนี่คือยังไงอะ”
“ก็ปลื้มแทนไง” ร่างสูงของอัลฟ่ากลิ่นสนพูดออกมาด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม
“ใช่หรอไม่ใช่ว่าชอบแทนหรอ” เก่งหันไปตีมือกับพีคเมื่อพูดจบ โดยมีเจสซี่ปรบมือเสริมขึ้นมาทำท่าทำทางจะควักเงินให้เหมือนเป็แม่ยกเพราะเก่งพูดจาถูกอกถูกใจ
“กูระ...”
“กลับกันยัง” แทนพูดขัดขึ้นมาก่อนที่ปลื้มจะพูดจบ
“มึงอยากกลับแล้วหรอ”
“อือ กูมีเื่อยากคุยกับมึงหน่อย”
เมื่อได้ยินแบบนั้นเพื่อนๆที่นั่งอยู่ก็พากันหูผึ่งขึ้นมาทันที
“เื่ไรวะ”
“ไว้ค่อยไปคุยบนรถแล้วกัน”
“ได้ๆ”
“แน่ะ มีความลับอะไรที่รู้กันแค่สองคนหรอคะ” ขิมเป็หน่วยกล้าตายของสหายจอมขี้เสือกเอ่ยถามขึ้นมา
“ไม่บอก” แทนตอบมาเพียงเท่านั้นก่อนจะลุกขึ้นแล้วดึงปลื้มให้ลุกตามไป
“ว่าแต่ทำไมมันถึงกลับด้วยกันวะ” พีคที่ยังไม่ละสายตาออกไปจากแผ่นหลังของคนสองคนที่เดินไปไกลมากแล้วพูดขึ้น
“ก็เมื่อเช้าปลื้มมันมาส่งแทนที่คณะ” บาสเป็คนตอบข้อสงสัยนั้น
“อ๋อ ไม่เบานะเนี่ยเพื่อนกูอะ”
“ไปรับไปส่ง มีพัฒนาการว่ะ” เก่งหันไปยักคิ้วให้พีค ไม่เสียชื่อที่เป็ลูกคู่กัน
“มึงว่าอิแทนกับอิปลื้มมันจะบอกพวกเราเมื่อไรว่ามันกิ๊กกันอยู่อะ”
“อยากบอกเมื่อไรก็คงบอกเองแหละ”
“เหมือนมึงกับอิทิมมี่อะหรอคะ”
“ขอร้องเลยเจส แล้วพวกมึงก็ช่วยมาเอาเพื่อนพวกมึงออกไปจากกูสักที” โอเมก้าฝีปากแซ่บยู่หน้าขัดใจก่อนจะพยายามใช้มือดันหัวของร่างสูงที่นั่งกอดตนเองอยู่ออก
“เล่นตัวมากระวังกูถอดใจคืนนะ” ร่างสูงพูดขู่หวังให้อีกคนลดพยศลงได้บ้าง
“ก็เื่ของมึงสิ” แต่เหมือนเขาจะหวังมากไป
เมื่อได้คำตอบที่ไม่น่าพึงพอใจแขนหนาจึงเพิ่มแรงรัดให้มากขึ้นจนคนในอ้อมกอดอึดอัดและฟาดฝ่ามือลงบนแขนของเขาจนแดงเถือกไปหมด ความแสบที่แล่นริ้วไปทั่วท่อนแขนทำให้ทิมมี่ต้องยอมแพ้และผ่อนแรงในการกอดลง ทำเพียงแค่คล้องแขนเอาไว้หลวมๆเท่านั้น
“เรามาคิดแผนการง้างปากมันสองคนกันดีมั้ย”
“มึงอย่าพูดเหมือนมึงไม่รู้จักอิแทนสิเจส”
“ถ้ามันไม่อยากพูดต่อให้มึงเอาตีนไปง้างปากมัน มันก็ไม่พูดหรอก” ขิมก็ช่างพูดซะเห็นภาพ
“แต่ถ้าเราร่วมมือกันพวกมันอาจจะยอมบอกก็ได้นะ”
“ถามจริงนะกับข้อสอบที่ทำไปเมื่อเช้ามึงตั้งใจแบบนี้มั้ยวะเจส”
“จีนเดี๋ยวกูจะช่วยมึงหาผัวเอง คณะกูนะคนหล่อ คนแซ่บเยอะมาก อิทิมมี่นี่ไก่กาไปเลย”
“จริงป่ะ” คนตัวเล็กทำตาโตเป็ประกาย
ทิมมี่คว่ำปากให้กับท่าทางที่คนในอ้อมแขนแสดงออกมาก่อนจะยกมือขึ้นมาปิดใบหน้าเล็กของอีกคนเอาไว้ด้วยความมันเขี้ยว
ทีแบบนี้ล่ะดี๊ด๊าขึ้นมาเชียวนะ
“ว่าแต่มึงมีแผนอะไรที่จะทำให้สองคนนั้นมันยอมพูดวะเจส”
“สุมหัวค่ะ”
เจสซี่กวักมือเรียกทุกคนให้มารวมกันก่อนจะเริ่มพูดถึงแผนการที่ตนเองคิดขึ้นมาให้ทุกคนฟัง มีทั้งคนที่คิดว่าเวิร์คและไม่เวิร์คจึงช่วยกันเสนอนั่นนี่จนในที่สุดก็ได้ออกมาสองแผน พวกเขาตกลงนัดหมายเวลาที่จะลงมือปฏิบัติการกันเหมือนเป็ภารกิจยิ่งใหญ่ก่อนจะแยกย้ายกันกลับไปพักผ่อน
อันที่จริงก็ไม่ได้อยากจะบีบบังคับให้เพื่อนพูดอะไรมากมายหรอก เพียงแค่อยากหาเื่สนุกทำกันก็เท่านั้นสุดท้ายแล้วถ้าคนทั้งคู่ไม่ยอมบอกแล้วเลือกที่จะเก็บมันไว้เป็เื่ส่วนตัวพวกเขาก็เคารพการตัดสินใจนั้นอยู่แล้ว
“แทน”
มือหนาเอื้อมไปสะกิดที่หัวไหล่บางของคนที่กำลังนอนหลับเอนหัวพิงกระจกรถอยู่เพื่อปลุกให้อีกคนตื่น ด้านคนที่หลับพอถูกรบกวนเวลานอนเปลือกตาบางก็เริ่มขยับไปมาก่อนจะค่อยๆเปิดขึ้น ร่างบางกะพริบตาอยู่หลายครั้งเพื่อปรับสายตาให้ชินกับแสงก่อนจะค่อยๆหันไปมองหน้าของปลื้มที่มองเขาอยู่
“ถึงบ้านแล้ว”
“อือ”
อัลฟ่าหนุ่มทั้งสองคนเดินทอดน่องเข้าไปในบ้าน แทนตรงไปยังโซนของห้องครัวก่อนจะเทน้ำใส่แก้วและยกดื่มด้วยท่าทางที่ดูรีบร้อน เพื่อดับความกระหายที่เกิดขึ้นหลังตื่นนอน ปลื้มเองก็เดินตามไปเช่นกันแต่เขายื่นมือผ่านร่างของคนตรงหน้าไปเปิดตู้เย็นและหยิบขวดน้ำออกมาหนึ่งขวด แล้วยกมันกระดกดื่มต่อหน้าอีกคน แทนไม่รู้ว่าตัวเองเป็อะไรทำไมถึงได้ชอบแอบมองลูกกระเดือกของอีกคนนักก็ไม่รู้
“จับได้นะไม่หวง” ปลื้มเอ่ยขึ้นมายิ้มๆเมื่อเห็นว่าอีกคนเอาแต่จับจ้องมาที่ลำคอของเขาอย่างไม่วางตา “หรือจะทำมากกว่าจับก็ไม่ติดขัดอะไร”
“เปลี่ยนเป็กัดให้หลุดออกมาแทนได้มั้ย” แทนถามหน้ามึนพร้อมกับวางแก้วน้ำในมือลง
“เป็หมาหรอเราอะ”
“มึงสิหมา”
“โอ๊ย! ไอ้ปลื้ม”
ปรรณกรโวยวายออกมาเสียงดังลั่นบ้านเมื่ออยู่ดีๆคนตรงหน้าก็ก้มหน้าลงมากัดแก้มของเขาเต็มแรงจนรู้สึกเจ็บ
“กัดแก้มกูทำเหี้ยไรเนี่ย”
“มันเขี้ยว ก็มึงชอบว่ากูเป็หมา หมามันก็ต้องกัดดิ แต่ระวังจะโดนหมาเลียปากด้วยแล้วกัน”
“สัด” แล้วร่างสูงก็โดนชกไปหนึ่งหมัดที่หัวไหล่ซ้ายแทนการให้รางวัล
“ไหนมีอะไรจะพูดว่ามาสิ” พอขึ้นไปบนรถเขาทั้งสองก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันอย่างที่แทนบอกไว้เลย เพราะร่างบางเอาแต่หลับยาวจนมาถึงที่บ้าน
เก้าอี้ที่ถูกจัดไว้อย่างเป็ระเบียบถูกมือหนาจับมันให้หันหน้าเข้าหาแทนที่ยืนอยู่ ก่อนร่างสูงจะทิ้งตัวนั่งลงไขว้ห้างเอนหลังพิงกับพนักพิงด้วยท่าทีที่สบายจะได้คุยกับอีกคนได้สะดวกขึ้น
“กูอยากคุยกับมึงเื่เรน” แทนบอกพร้อมกับออกแรงดันตัวเองให้ขึ้นไปนั่งหย่อนขาอยู่บนเคาน์เตอร์
“มีอะไรหรือเปล่า”
“หลายวันก่อนเรนมาหากู...” ยิ่งแทนเว้น่ประโยคที่จะพูดนานเท่าไรปลื้มก็ยิ่งใจไม่ดีมากขึ้นเท่านั้น “เขาบอกกูว่าเขาเลิกกับมึงเพราะมึงไม่รักเขา”
“เฮอะ” อัลฟ่าหนุ่มแค่นเสียงหัวเราะออกมาทันทีเมื่อได้ยินแบบนั้น “แล้วมึงคิดว่าไง”
“คิดว่าไม่มึงก็เรนที่กำลังปั่นหัวกูอยู่”
“กูไม่เคยโกหกมึง” ปลื้มไหวไหล่ตอบ
“งั้นมึงบอกกูได้มั้ยว่าสาเหตุที่มึงกับเรนเลิกกันคืออะไร” มันจะเหมือนกับที่เรนบอกกับเขาหรือเปล่า
“กูจะบอกความจริงกับมึงเลยนะ” อัลฟ่าเ้าของกลิ่นสนมีท่าทีที่ดูจริงจังขึ้นมากกว่าเดิมอีกนิด “กูก็ไม่รู้”
“ฮืม?”
“กูเองก็ไม่รู้ว่าสาเหตุที่เลิกกันจริงๆคืออะไรกูถึงบอกกับคนอื่นไม่ได้ไงว่าทำไมกูกับเรนถึงเลิกกัน”
“แม้แต่ตัวมึงเองก็ยังไม่รู้?”
“อือ”
“แสดงว่าเรนเป็คนบอกเลิกมึงหรอ”
“ใช่”
“กูขอถามมึงบ้าง”
“ถามว่า”
“มึงกับเรนเป็คนรู้จักกันแบบไหนเขาถึงได้ดูเข้าหามึงจัง”
แขนหนาถูกยกขึ้นมากอดอกไว้พร้อมกับดวงตาคมที่หรี่ลงเหมือนกำลังจับผิดคนตรงหน้า
“ก็รู้จักกันในระดับหนึ่ง” ดวงตากลมพยายามหลบสายตาของอีกคนที่มองมา โดยไม่รู้ตัวเลยว่านั่นยิ่งทำให้ตัวเองดูมีพิรุธมากขึ้น
“แล้วทำไมต้องหลบตา”
“แล้วทำไมมึงต้องจ้องเหมือนจับผิดกูขนาดนั้นด้วย” แทนเอ่ยย้อน
“ก็มันน่าสงสัย มึงกับเรนดูเหมือนมีอะไรกัน ตอนที่กูคบกับเรนกูไม่เห็นจะรู้เลยว่ามึงกับเรนรู้จักกัน” ทั้งที่เรนก็เคยพาเขาไปเจอกับเพื่อนในกลุ่มอยู่บ่อยๆ “แต่พอเลิกกันถึงได้รู้ว่ามึงกับเรนเจอกันบ่อยเชียว ทั้งที่ตลาดต้นไม้ โรงอาหารคณะแล้วเรนก็ยังไปคุยกับมึงเื่เลิกกับกูอีก ปกติถ้าไม่สนิทเราคงไม่เล่าเื่อะไรแบบนี้ให้แค่เพื่อนที่รู้จักกันเฉยๆฟังหรอกมั้ง”
แทนถอนหายใจออกมา เขาจับจ้องไปยังพื้นกระเบื้องที่ว่างเปล่าในหัวก็กำลังใช้ความคิดเพื่อตัดสินใจเื่อะไรบางอย่าง ไม่รู้ว่าเื่ที่ตัวเองกำลังคิดอยู่ควรพูดออกไปดีหรือเปล่าและก็ไม่รู้ว่าถ้าพูดออกไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
ร่างบางค่อยๆเงยหน้าขึ้นแล้วสบตากับปลื้มอีกครั้ง ร่างสูงเองก็จ้องกลับเหมือน้าคำตอบที่ชัดเจนเช่นกัน
แต่ที่จริงแล้วในใจของปลื้มตอนนี้มันตีกันไปหมด ใจหนึ่งมันก็อยากรู้แต่อีกใจมันก็กลัวที่จะรู้สับสนวุ่นวายจนเหงื่อเริ่มซึมออกมาตามไรผม
“กูเคยชอบเรน”
ทีปกรรู้สึกเหมือนตัวเองเป็คนหูดับไปชั่วขณะหลังจากที่ได้ยินประโยคที่แทนพูดออกมาเหมือนหูเขาปิดรับทุกการได้ยินหลังจากนั้น
“ไม่มีใครอยากเห็นคนที่ตัวเองชอบเจ็บตัวหรอก”
“...”
“ปลื้มไม่คิดแบบนั้นหรอ”
คำพูดของเรนในวันนั้นดังขึ้นมาในหัวของปลื้ม
“กูเคยชอบเรน”
ที่แท้ทั้งสองคนก็ใจตรงกันส่วนเขามันก็แค่คนโง่ที่หลงเข้ามาในความสัมพันธ์นี้สินะ
“ละ...” ปลื้มรู้สึกเหมือนว่าเขากำลังหาเสียงของตัวเองไม่เจอ “แล้วมึงกับกูคืออะไรวะ”
“มันก็แค่เคย”
“...”
“กูก็แค่เคยชอบ แต่ตอนนี้ไม่ได้ชอบแล้ว”
แทนรีบอธิบายทันทีเมื่อเห็นสีหน้าของอีกคน ไม่รู้เลยว่าเข้าใจผิดไปถึงขั้นไหนแล้ว เพราะแบบนี้ไงถึงไม่อยากบอกั้แ่แรก
“เรนปฏิเสธกู” เรียกแบบนั้นได้มั้ยนะ ในเมื่อเขาไม่เคยบอกคนตัวเล็กออกไปตรงๆสักครั้งว่าตัวเองรู้สึกอย่างไรในตอนนั้น “แล้วก็ไปคบกับมึง”
“นี่มันเื่เหี้ยอะไรกันวะ”
“คงเป็รักสามเศร้ามั้ง” ร่างบางก้มหน้าพูดออกมาเสียงเบาพร้อมกับแค่นยิ้มมุมปาก
ตลกชะมัด ความสัมพันธ์เหี้ยอะไรวะของพวกเขาทั้งสามคนมันช่างตลกจริงๆ
“มึงรู้จักกับเรนตอนไหน”
หลังจากที่ต่างฝ่ายต่างเงียบใส่กันไปพักใหญ่ ปลื้มก็เป็คนที่เอ่ยพูดออกมาก่อน จนทำให้ความเงียบและความอึดอัดที่ก่อตัวขึ้นมาทลายลง
“ตอนเข้าปีหนึ่งใหม่ๆ หลังจากกลับมาจากเกาะพะงันประมาณสองอาทิตย์มั้ง”
่เวลานั้นมันก่อนที่เขาจะรู้จักกับเรนซะอีก เขาจำได้แม่นเลยว่าตัวเองเจอกับเรนหลังสอบมิดเทอมตอนปีหนึ่ง เป็ตัวเขาเองที่ตามจีบเรนอยู่สามเดือนกว่าก่อนที่เราทั้งสองคนจะตัดสินใจคบกัน
นั่นเท่ากับว่าปลื้มเป็คนที่มาทีหลัง
“มึงคงโกรธกูมากเลยสินะ” ไอ้เหี้ยที่ไหนก็ไม่รู้ที่อยู่ดีๆก็โผล่มาแย่งเรนไป
“มาก อยากวิ่งไปต่อยหน้าสักที”
“แล้วทำไมไม่มาต่อย”
“กูมีสิทธิ์หรือไง เรนจะเลือกคบใครมันก็เป็สิทธิ์ของเขาไม่ใช่หรอ” ยิ่งพูดถึงก็ยิ่งทำให้ภาพความเสียใจและโกรธแค้นในตอนนั้นชัดเจนขึ้น “คนที่แอบรักแบบกูน่ะไม่มีสิทธิ์ไปทำแบบนั้นกับคนที่เขาเลือกหรอก”
“ขอโทษนะ กูแม่งไม่รู้ต้องขอโทษมึงอีกกี่ครั้งเลยว่ะ” ทั้งที่เป็คนที่แย่งเขามาพอดูแลรักษาไว้ไม่ได้ก็ยังพาลไปต่อยหน้าเขาอีก แม่งโคตรจะเหี้ย
ฝ่ามือหนากำเข้าหากันแน่นจนนิ้วขึ้นข้อขาว เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมความสัมพันธ์ของเขาทั้งสามคนมันถึงได้ยุ่งเหยิงกันไปหมด ทำไมโลกไม่เหวี่ยงพวกเขาให้ไปไกลกันกว่านี้หน่อยวะ ทำไมถึงได้เหวี่ยงให้มากองรวมกันอยู่ตรงนี้
“เก็บคำขอโทษมึงคืนไปเถอะเพราะเื่ของความรู้สึกมันไม่มีใครผิดใครถูกหรอก”
“...”
“มันมีแค่รู้สึก”
“...”
“กับไม่รู้สึก”
“...”
“แค่นั้นแหละ”
แทนะโลงมาจากเคาน์เตอร์เขาเดินเข้าไปหาร่างสูงที่ยังนั่งก้มหน้ามองมือของงตัวเองอยู่ มือเรียววางลงบนหัวไหล่หนาก่อนจะออกแรงบีบเบาๆเพื่อให้อีกคนรู้สึกผ่อนคลายลง
“เื่ของมึงกับเรน เื่ของกูกับเรน มันไม่เกี่ยวกับเื่ของเราหรอก” พวกเราก็แค่ต้องเห็นแก่ตัวกันหน่อยก็เท่านั้นเอง
ก็แค่ต้องก้าวข้ามความรู้สึกของเรนไปให้ได้ ต้องใจร้ายกับเรนมากหน่อย แต่จะทำอย่างไงได้เราไม่สามารถใจดีกับคนทั้งโลกได้นี่นา ที่สำคัญถ้าต้องเลือกระหว่างใจดีกับคนอื่นหรือใจดีกับตัวเอง เราก็ควรเลือกตัวเองก่อนไม่ใช่หรือไง
มือหนาวางทับลงบนมือบางที่จับไหล่ของเขาอยู่ก่อนจะดึงมันมากุมเอาไว้ ในหัวนึกถึงคำพูดที่เรนเคยพูดเอาไว้กับเขาว่ารู้สึกกับแทนอย่างไร ปลื้มลังเลว่าเขาควรที่จะบอกแทนออกไปดีหรือไม่ แต่สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะเก็บมันไว้กับตัวเอง
ร่างสูงออกแรงกระตุกแขนเรียวให้เข้าหาตัวจนร่างบางเซลงมานั่งทับบนตักเขา แทนตั้งใจจะหันไปต่อว่าปลื้มที่ทำแบบนั้น แต่ก็ถูกริมฝีปากหยักทาบทับลงมาเสียก่อน ฟันคมขบลงที่ริมฝีปากล่างของคนบนตักคล้ายบอกให้เปิดปากออกซึ่งแทนก็ยินยอมที่จะทำมันและปล่อยให้อีกคนส่งลิ้นเข้ามากวาดต้อนอยู่ในปากของเขา
“อะฮึม” เสียงกระแอมขึ้นด้านหลังปลื้มทำให้แทนต้องเสตาไปมอง “ขอโทษที่มาขัดจังหวะนะครับ”
พอเห็นว่าเป็ใครแทนก็รีบทุบมือลงบนหลังปลื้มทันที ร่างสูงจำต้องผละริมฝีปากออกไปด้วยความไม่เข้าใจ ใบหน้าหล่อหงิกงอจนดูออกว่ากำลังหงุดหงิด ก่อนจะค่อยๆหันไปมองคนที่บังอาจเข้ามาขัดจังหวะเขา และเมื่อได้เห็นหน้าตาของใครคนนั้นอย่างเต็มตาคิ้วเข้มที่เคยขมวดเข้าหากันก็เลิกขึ้นสูงด้วยความแปลกใจในทันที
นั่นมัน...
“ไอ้ไวท์”
“พี่ปลาบ”
เสียงทุ้มของคนทั้งสองคนที่ดังขึ้นมาพร้อมกัน ทำให้แทนต้องมองหน้าของทั้งคู่สลับกันไปมา
ทำไมต้องทำหน้าใกันขนาดนั้นด้วยว่าแต่ปลื้มรู้จักชื่อของแฟนน้องชายเขาได้อย่างไรแล้วปลาบคือใคร
“กูปลื้ม ไอ้ปลาบมันคงจะบินมานั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้หรอก”
“ล้อเล่นน่า” อีกคนเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้มตาปิดแบบที่ชอบทำ
“มึงรู้จักแฟนน้องกูด้วยหรอ”
เื่บังเอิญบนโลกใบนี้มันจะเกิดขึ้นในชีวิตของพวกเขาสักกี่ครั้งกันนะ
“แฟนน้องมึง?”
ใบหน้าหล่อละสายตาออกมาจากใบหน้าที่คุ้นเคยของลูกพี่ลูกน้องมามองหน้าของคนที่นั่งอยู่บนตักแทน
“ใช่ คนนี้แฟนทีนเองพี่เขย” ทีนที่เดินตามหลังมาเอ่ยขึ้นพร้อมกับใบหน้าน่ารักที่โผล่พ้นมาจากไหล่ของคนรัก ก่อนจะวางคางเรียวเทินไว้บนไหล่หนา
“โลกกลมสัด” ปลื้มอดที่จะพึมพำกับตัวเองไม่ได้
“โลกมันก็กลมนานแล้วมั้ย” แทนเอ่ยขึ้น ก่อนจะดันตัวเองให้ลุกขึ้นยืนตามปกติ “ว่าแต่ปลาบคือใครวะ”
“พี่ชายของกูเอง”
“แล้วทำไมเธอถึงเรียกพี่ปลื้มว่าพี่ปลาบอะ สองคนนี้หน้าตาเหมือนกันมากเลยหรอ” ทีนหันไปถามแฟนซามอยของตัวเอง
“เหมือนกันมากจนแทบแยกไม่ออกเลยแหละ ขนาดแม้ไวท์ยังเคยจำสลับกันเลย”
“มันมีพี่น้องที่หน้าตาเหมือนกันขนาดนั้นอยู่จริงหรอ”
“มีสิ ก็พี่ปลาบเป็ฝาแฝดของพี่ปลื้มจะไม่ให้เหมือนกันขนาดนั้นได้อย่างไง”
“มึงมีฝาแฝดด้วยหรอ” ปกติคนจะพูดถึงปลื้มว่าเป็ลูกชายคนเล็กของท่านทูตก็คิดว่าจะมีแค่พี่ชายซะอีก
“ใช่ปลาบเป็แฝดพี่ ส่วนกูเป็แฝดน้อง ชื่อมันเลยมาก่อนกูไง ปลาบปลื้ม แบบนี้อะ” ปลื้มอธิบาย
หลายคนมักจะเข้าใจว่าปลื้มมีพี่ชายแต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่า ปลาบ ทีฆทัศน์แฝดพี่ของปลื้มก็คือลูกชายคนโตของบ้านกิตติไพศาริณนั่นเอง
“แต่พี่ไม่รู้จักก็ไม่แปลกหรอก” ไวท์บอกก่อนจะเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ตรงข้ามกับด้านหลังของปลื้ม “พี่ปลาบน่ะไปอยู่ที่ฝรั่งเศสั้แ่เด็กนานๆทีถึงจะบินกลับมาที่ไทย”
“ใช่ มันไปอยู่เป็เพื่อนพ่อั้แ่เด็กส่วนกูก็อยู่ที่นี่กับแม่”
เนื่องจากในตอนที่พวกเขายังเด็กพ่อของเขาต้องไปประจำอยู่ที่ฝรั่งเศสหลายปี แม่ก็กลัวว่าพ่อจะเหงาครอบครัวเราจึงตกลงกันที่จะให้ปลาบย้ายไปอยู่กับพ่อที่ต่างประเทศและให้เขาอยู่เป็เพื่อนแม่ที่ไทย
“แต่พ่อพี่ปลื้มก็กลับมาอยู่ที่นี่แล้วไม่ใช่หรอ ทำไมพี่ปลาบถึงไม่กลับมาด้วยล่ะ”
“มันเรียนมหาลัยอยู่ที่นั่นน่ะเลยไม่ได้กลับมาด้วย”
“อ๋อ แล้วเธอเป็ไรกับพี่ปลื้มอะ” คนตัวเล็กยกนิ้วขึ้นมาชี้แฟนตัวเองสลับกับคนที่เรียกว่าพี่เขยไปมา “ถึงได้รู้เื่ในครอบครัวพี่เขาขนาดนั้น”
“เป็ลูกพี่ลูกน้องกันน่ะ แม่ไวท์เป็น้องสาวของแม่พี่ปลื้ม”
“อย่างนี้นี่เอง” ทีนพยักหน้าเข้าใจ
“แล้วเราน่ะจะกลับมาบ้านทำไมไม่บอก” แทนหันไปถามน้องชายตนเอง
“อะไรอะ เดี๋ยวนี้จะกลับบ้านต้องบอกก่อนด้วยหรอ นี่ก็บ้านทีนเหมือนกันนะลืมหรือไง”
“ก็น่าจะบอกกันหน่อย”
“ทำไม บอกก่อนจะไม่ได้เห็นอะไรแบบนี้หรือไง”
“บอกก่อนก็เห็นอะไรแบบนี้อยู่ดี” ปลื้มแกล้งหันไปพูดกับทีนจนโดนฝ่ามือบางฟาดเข้าให้เต็มแขน
“พึ่งรู้ว่าพี่คบกับพี่แทน เห็นตอนแรกคุณป้าบอกแฟนพี่เป็โอเมก้านี่นา”
“...”
“...”
“เราว่าเธอน่าจะหิวนะ หาอะไรยัดปากหน่อยมั้ยเผื่อจะได้หยุดพูดสักที” ทีนกัดฟันพูดพร้อมกับส่งรอยยิ้มกว้างไปให้แฟนหนุ่มของตนเอง โดยขณะที่พูดดวงตากลมโตก็ถลึงตามองแฟนหนุ่มของตัวเองไปด้วย
“ไวท์พูดอะไรผิดไปใช่มั้ย” เด็กหนุ่มหันไปกระซิบกระซาบถามกับแฟนตัวเองหลังจากสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของคนที่อายุมากกว่าทั้งสองคน
“อ่าฮะ”
“ควรแก้ไขมั้ย”
“อย่าเลยเดี๋ยวมันจะแย่ลงกว่าเดิม”
“โอเค”