ในงานเลี้ยงร้อยบุปผา ไทเฮาได้ยินมาเช่นกันว่าซ่งอี้เฉินโอบกอดอู๋เจาหรงเดินจากไป และกระทำสัมพันธ์สวาทส่วนตัวริมทางเดิน ยามนั้นนางไม่พอใจอย่างยิ่ง ทว่านางไม่อยากเอ่ยถึงเื่นี้เท่าใดนักจึงสั่งให้เหยียนเฉิงเซี่ยงหาซิ่วหนี่ว์เข้าวังหลวง ประการแรกเพื่อกระจายความโปรดปรานที่ซ่งอี้เฉินมีต่ออู๋เจาหรง ประการที่สองเพื่อถือโอกาสเตือนซ่งอี้เฉินว่าเนื้อสัตว์และผักมิใช่สิ่งต้องห้าม[1]
ยามนี้ทั้งสองคนได้หยิบยกเื่นี้ออกมาอย่างชัดเจนแล้ว อู๋เจาหรงกลับผลักความรับผิดชอบไปแบบเนียนๆ ไทเฮาจึงเกิดโทสะขึ้นมาทันที ไทเฮาตรัสด้วยน้ำเสียงเดือดดาลว่า “ฝ่าาเป็บุรุษ การกระทำมักหยาบกระด้างไม่เหมาะสม ในฐานะที่เป็นางสนมก็ควรแนะนำในสิ่งที่ดียามจำเป็ เมื่อครู่นับว่าเห็นพ้องแล้ว อู๋เจาหรง เ้าทำเื่เช่นนี้ออกมา นึกไม่ถึงว่ายังกล้าปัดความรับผิดชอบอีก!”
ทันทีที่อู๋เจาหรงได้ยิน สีเืบนใบหน้าพลันซีดจางจนหมดสิ้น นางคุกเข่าลงกราบทูลเสียงดังทันที “ทูลไทเฮา หม่อมฉัน…...หม่อมฉัน…...ผิดไปแล้วเพคะ”
ไทเฮามองนางคุกเข่าพลางขดตัวอยู่บนพื้นโดยที่ไม่สามารถระงับความเดือดดาลในใจได้ จากนั้นจึงหันศีรษะลากคนมาติดร่างแหไปด้วย “เต๋อเฟย เ้าดูแลตำหนักหลังอย่างไร!”
“หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ!” เต๋อเฟยรีบคุกเข่าบนพื้นพลางแอบกล่าวโทษอู๋เจาหรงที่ไม่รู้จักกาลเทศะ ได้รับความเอ็นดูจากฝ่าาแล้วยังไม่รู้จักละอาย เรียกร้องเกินควร ช่างน่าสะอิดสะเอียนเสียจริง เท่านี้ก็พอทำเนายังเกี่ยวพันมาถึงนางอีก
เต๋อเฟยติดตามไทเฮามาหลายปี ในใจย่อมรู้ดีว่าการที่ไทเฮาทรงระบายโทสะลงกับผู้อื่นเช่นนี้ มิใช่ว่าพระนางจะดุด่าคำสองคำแล้วจบ ยังต้องมีบทลงโทษตามมาด้วยอย่างแน่นอน นางเพิ่งกุมอำนาจจัดการตำหนักหลัง หากถูกเพิกถอนอีกครั้งก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ใดแล้ว
หากตกไปอยู่ในมือฮวารั่วซีอีกหน นางก็ยิ่งทำใจไม่ได้!
เหยียนอู๋อวี้สังเกตเห็นว่าไทเฮาเบนสายตามองมาที่ตนเอง นางจึงกราบทูลทันที “หม่อมฉันปรนนิบัติฝ่าา หม่อมฉันปฏิบัติตามกฎในวังอย่างเคร่งครัด เนื่องจากหม่อมฉันร่างกายอ่อนแอเกินไป ฝ่าาจึงเอ็นดูแกมสงสาร ทุกวันคอยปลอบโยนกันด้วยคำพูดดีๆ ไทเฮา ไทเฮาได้โปรดสืบหาความจริงพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของหม่อมฉันด้วยเพคะ”
ไทเฮาฟังคำพูดนี้ของนาง ทว่ากลับมิได้ซักไซ้ไล่เลียง เหยียนอู๋อวี้เข้าวังมาได้ไม่กี่เดือนกลับเกิดเื่ราวมากมาย ไทเฮารู้ชัดเจนแจ่มแจ้งว่าเพราะอุปนิสัยไม่ยอมคนของนาง ร่างกายทนทุกข์มาไม่น้อย ทั้งถูกวางพิษ ถูกตีด้วยไม้ หากคำนวณอย่างละเอียด ่เวลาดีๆ มีน้อยจริงๆ
ดังนั้นเมื่อเหยียนอู๋อวี้เอ่ยจบ ไทเฮาจึงกระชากเสียงฮึเ็าใส่นาง
ฮวารั่วซีรีบก้าวไปข้างหน้า ทูลปลอบโยนด้วยคำพูดดีๆ “ฝ่าาเป็โอรสัอย่างแท้จริง สิ่งชั่วร้ายนอกรีตเข้าใกล้ไม่ได้ง่ายๆ ทรงเป็คนดีทวยเทพคุ้มครองเพคะ ถึงจะน่ากลัวแต่ไม่มีอันตราย ไทเฮาโปรดระงับโทสะ รอหมอหลวงซางออกมาแล้วค่อยถามสถานการณ์ให้แน่ชัดดีกว่าเพคะ!”
แม่นมซูโน้มน้าวอยู่ด้านข้างเช่นกัน “หมอหลวงซางวิชาแพทย์เป็เลิศ ต้องมีวิธีรักษาฝ่าาอย่างแน่นอนเพคะ ไทเฮาโปรดรักษาพระวรกาย ฝ่าาฟื้นขึ้นมาจะได้ไม่เป็กังวลเกี่ยวกับพระวรกายของไทเฮา”
ไทเฮาคล้ายจะฟังคำพูดแล้ว นางค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกช้าๆ ทว่าแววตากลับหยุดอยู่บนร่างของฮวารั่วซีราวกับกำลังค้นหาบางอย่าง จากนั้นจึงหันหน้าไปมองเหยียนอู๋อวี้กับอู๋เจาหรงแล้วตรัสเสียงเข้มว่า “พวกเ้าทั้งสองใช้เสน่ห์ล่อลวง หากฝ่าาไม่เป็อันใดก็ลงโทษเพียงเล็กน้อย หากเกิดเื่ พวกเ้าเตรียมชดใช้ด้วยชีวิตของทั้งตระกูลเพื่อเตือนมิให้ผู้อื่นเอาเป็เยี่ยงอย่าง”
ชั่วขณะนั้นไม่มีผู้ใดกล้าเปล่งเสียงออกมาอีก
หากเกิดเื่กับซ่งอี้เฉิน พวกนางคงแย่แน่ๆ ไม่ต้องกล่าวถึงพระเชษฐา พระอนุชาอดีตฮ่องเต้ จวนเสียนอ๋องเองก็มีคนจับจ้องตาเป็มัน แม้ยามนี้เขากำลังเอาแต่สุขสำราญ ทว่าผู้ใดจะไปรู้ว่าแท้จริงแล้วเขามิได้เป็เช่นนั้นจริง! และยังมีแผนการอยู่ในใจ?
ทันใดนั้นประตูห้องพลันเปิดออก ซางจือิเดินออกมา
ทันทีที่ซางจือิปรากฏตัว แววตาของทุกคนต่างหยุดอยู่บนร่างเขาด้วยใบหน้าที่ไม่อาจปกปิดความกังวลและความตึงเครียดเอาไว้ได้
ไทเฮาเองก็ยากจะปกปิดความกังวลบนใบหน้าเช่นเดียวกัน พระนางตรัสถามทันที “หมอหลวงซาง ฝ่าาเป็อย่างไรบ้าง?”
ซางจือิเดินไปข้างหน้า เขามองไทเฮาพลางมองนางสนมทุกคนคล้ายมีความลังเล ก่อนจะครุ่นคิดรอบหนึ่งแล้วทูลว่า “ดูเหมือนฝ่าา…...ถูกพิษพ่ะย่ะค่ะ...…”
เมื่อได้ยินเช่นนี้อู๋เจาหรงจึงเป่าปากโล่งอกแล้วะโใส่เหยียนอู๋อวี้ทันที “เหยียนฉายเหรินช่างกล้านัก เ้าถวายยาพิษอันใดให้ฝ่าากันแน่?”
เหยียนอู๋อวี้เห็นสีหน้าลังเลของซางจือิก็รู้ว่าเขาพบสาเหตุของอาการแล้ว เมื่อได้ยินเขาเอ่ยว่าถูกพิษ นางจึงสรุปในใจทันทีว่าที่ตนเองคาดเดานั้นไม่ผิด ขณะได้ยินอู๋เจาหรงกล่าวโทษ นางมิได้ตอบโต้กลับ เพียงแค่หมอบอยู่บนพื้นและะโซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่หยุด “หม่อมฉันไม่ได้ทำ หม่อมฉันไม่กล้าทำร้ายฝ่าาเพคะ!”
ไทเฮาถูกเสียงโวยวายใส่จนเจ็บหู “ทุกคนหุบปากเดี๋ยวนี้!”
อู๋เจาหรงเงียบเสียงทันที ส่วนเหยียนอู๋อวี้ย่อมไม่พูดให้มากความ ไทเฮาสังเกตเห็นว่าซางจือิคล้ายอ้ำๆ อึ้งๆ จึงรู้ว่าต้องมีบางอย่างซ่อนอยู่ในนั้นเป็แน่ พระนางถือโอกาสลุกขึ้นยืนพลางตรัสกับซางจือิ “อายเจียจะเข้าไปดูอาการฝ่าาสักหน่อย ซูเฟย เต๋อเฟย ประคองอายเจียเข้าไป”
ไทเฮาตรัสเช่นนั้นจบจึงหันศีรษะมาตรัสกับทุกคน “ทุกคนรออยู่ที่นี่ ไม่ต้องเข้ามาขวางมือขวางเท้า”
ซูเฟยกับเต๋อเฟยสบตากันก่อนจะพยุงไทเฮาทั้งซ้ายและขวาเข้าไปด้านในทันที
ซ่งอี้เฉินนอนอยู่บนเตียง ดวงตาทั้งสองข้างปิดสนิท บนใบหน้าไร้ซึ่งร่องรอยของการเจ็บป่วยแม้แต่น้อย ในทางกลับกันสีหน้าเขากลับดูดีเป็อย่างยิ่ง
“เหตุใดฮ่องเต้ยังไม่ฟื้น?” ไทเฮามองรูปร่างของซ่งอี้เฉินด้วยความเป็กังวลยิ่งกว่าเดิม อาการภายนอกหากสามารถมองเห็น ัั ฟังเสียงและซักถามได้ก็จะพบปัญหาอย่างแน่นอน ทว่าร่างกายของซ่งอี้เฉินกลับไม่เป็เช่นนั้นซึ่งทำได้ยากยิ่ง
เมื่อคิดถึงเื่เหล่านี้ ความคิดหนึ่งพลันผุดขึ้นมาในใจ พระนางหันศีรษะไปจ้องฮวารั่วซีเขม็ง แต่กลับตรัสถามซางจือิว่า “หมอหลวง ฝ่าาเป็อย่างไรบ้าง?”
ซางจือิคุกเข่าลงพลางทูลอย่างนอบน้อม “ฝ่าาถูกพิษ มิใช่พิษธรรมดาแต่เป็พิษกู่พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ไทเฮาจึงมองฮวารั่วซีด้วยแววตาเฉียบคมขึ้นมา ฮวารั่วซีเห็นสถานการณ์นี้ นางพลันคุกเข่าลงทันทีแล้วทูลว่า “หม่อมฉันไม่ได้ทำเพคะ”
ไทเฮาไม่ได้ให้นางลุกขึ้นมา นางตรัสถามซางจือิต่อ “อายเจียเห็นว่าฝ่าามีความ้าทางเพศสูงผิดปกติ ไม่คาดคิดว่าจะเป็อาการถูกพิษ”
ซางจือิรีบทูลต่อ “ฝ่าาถูกพิษที่เรียกว่าพิษดอกท้อ พิษกู่นี้มีบันทึกไว้ในตำรับยาวิเศษหลิงอี เป็พิษกู่ชนิดหนึ่งที่หุบเขาหลิงอีทำขึ้นเพื่อช่วยให้สามีภรรยามีใจเดียวกันพ่ะย่ะค่ะ”
สามีภรรยามีใจเดียวกัน ไทเฮาเกิดความสงสัยในใจอีกครั้งจึงตรัสถาม “พูดให้ละเอียด”
ซางจือิตอบรับแล้วทูลต่ออีกว่า “พิษกู่ถูกถ่ายทอดผ่านการร่วมรักระหว่างผู้ที่ใช้พิษกู่กับผู้ที่ได้รับพิษกู่ หากใช้พิษกู่ได้สำเร็จ สีหน้าของสตรีจะแดงปลั่งราวกับดอกท้อเดือนสาม สวยงามเย้ายวนยิ่งกว่าเดิม ส่วนบุรุษจะดูอ่อนเยาว์ลงไปสิบกว่าปี โรคภัยไข้เจ็บหายสิ้น”
ไทเฮามองซ่งอี้เฉินที่ยังคงหมดสติคราหนึ่งอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งในเื่นี้ “ในเมื่อเป็เช่นนี้ ไฉนฝ่าาถึงได้หมดสติ?”
ซางจือิทูลตอบ “พิษกู่นี้ใช้ในบ้านคนทั่วไปเพื่อสร้างความปรองดองระหว่างสามีภรรยา ทว่าหากฮ่องเต้ถูกพิษกู่นี้จะเลวร้ายเป็อย่างยิ่ง ผู้ถูกพิษกู่จะร่วมกิจกรรมระหว่างสามีภรรยาได้เพียงแค่กับผู้ที่ใช้พิษกู่เท่านั้น หากมีความ้ากับผู้อื่นจะเปรียบเสมือนเป็การทรยศต่อผู้ใช้พิษกู่ พิษกู่นี้จะแทรกซึมเข้าสู่เส้นลมปราณทั้งแปดเส้นโดยทันที อันดับแรกจะหลับลึก ต่อมากายเนื้อจะกลืนกินพลังชี่และจิติญญา ภายในสามวันก็จะเสียชีวิตเพราะพิษพ่ะย่ะค่ะ”
ไทเฮาทรงเดือดดาลถึงขีดสุด นางนึกถึงคำพูดของเหยียนอู๋อวี้ ซ่งอี้เฉินอยู่ที่ตำหนักเฟิ่งชัยไม่ถึงหนึ่งก้านธูปก็หมดสติไปแล้ว หมอหลวงเป็พยานว่าซ่งอี้เฉินมิได้ทำเื่รักใคร่ในเวลานั้น เช่นนั้นก็สามารถล้างมลทินให้กับเหยียนอู๋อวี้ได้
ส่วนผู้ที่ใช้พิษกู่ก็ชัดเจนเหมือนหลุดออกมาจากภาพวาด!
ไทเฮาจิตใจเดือดพล่านด้วยความเกลียดชังจนแทบจะบีบแขนฮวารั่วซีกับเต๋อเฟยเป็รอยช้ำม่วง พระนางตรัสถามอย่างแช่มช้า “พิษกู่นี้จะถอนอย่างไร?”
เชิงอรรถ
[1] เนื้อสัตว์และผักมิใช่สิ่งต้องห้าม หมายถึง การกินไม่เลือก