เมื่อถูกแซะกลับไป จิ่งฝานก็หาได้สนใจไม่ แล้วหมุนกายเดินนำหน้าไป ฝีเท้าเหยียบลงบนพื้นส่งเสียงดัง ‘แจ๊บๆ’
หิมะตกหนักเกินไป
ถึงแม้พวกเด็กรับใช้จะจัดการไปรอบหนึ่งแล้ว แต่ก็ถูกปกคลุมลงมาใหม่อย่างรวดเร็ว ตอนนี้ทับถมกันหนาถึงหนึ่งนิ้วแล้ว พอเหยียบลงไปยังไม่ทันถึงพื้น หิมะก็เข้ามาในรองเท้าแล้ว
แต่ละก้าวเดินส่งเสียงเสนาะกังวานออกมา ในความเงียบงันไม่พูดจาของคนทั้งสองนี้ก็ยิ่งดังเสนาะเด่นชัดขึ้นอีก
หากมองมาจากที่ไกลๆ จะต้องเห็นได้ว่าหลังกำแพงสีเทาเป็ชั้นๆ อิฐดำ กระเบื้องแดง รวมถึงหิมะขาวโพลนทั่วพื้นที่นี้มีเงาร่างสูงตรงสองสาย หนึ่งหน้าหนึ่งหลัง หนึ่งดำหนึ่งฟ้า รอบข้างเงียบสงัดไร้เสียง นานๆ ครั้งถึงจะมีเสียงนกจากที่ไกลๆ เบาจนแทบไม่ได้ยิน ทิวทัศน์งดงามราวกับบทกลอนและภาพวาด บรรยากาศดึงดูดใจผู้คน ไม่ต้องพูดถึงเื่การมองภาพความงามนี้จากที่ไกลๆ แม้แต่พวกจิ่งฝานที่เป็คนในอันงดงามนี้ก็ยังรู้สึกทอดกายทอดใจไปในความเงียบสงบเช่นนี้
ไม่มีการสนทนาหรือการประสานสายตาสื่อสารใดๆ แค่เดินไปเรื่อยๆ เช่นนี้เพื่อ ซึมซับทัศนียภาพที่งดงามที่สุด หลงจมลึกไปกับความเงียบสงบที่แสนดึงดูดนี้
พวกเขาเดินมาถึงห้องหนังสืออย่างรวดเร็ว อ๋าวหรานกลับรู้สึกเสียดายที่เส้นทางนี้สั้นเกินไป เมื่อก่อนตอนที่ยังอยู่ในโลกยุคปัจจุบัน บางครั้งยามโพล้เพล้ก็นั่งอยู่บนรถประจำทางที่ขยับโยกไปมา เปิดหน้าต่างรับลม แล้วก็คิดว่าอยากจะนั่งโยกไปโยกมาเรื่อยๆ บนรถประจำทางนี้ตลอดไปอย่างล่องลอยสบายใจราวกับจะหลีกหนีเื่ปวดหัวทุกอย่าง และทำเหมือนว่าทั้งโลกนี้เป็ของเราเพียงคนเดียว
ความรู้สึกเช่นนี้ไม่ได้มีมานานแล้ว แต่ครั้งนี้กลับมีความรู้สึกเช่นนี้อย่างรุนแรงขึ้นมาอีกครั้ง
——
ห้องหนังสือหนาวกว่าห้องนอนอยู่สักหน่อย ถึงแม้ก่อนที่ทั้งสองจะมา พวกหญิงรับใช้จะรีบเตรียมกระถางไฟไว้แล้วก็ตาม แต่บรรยากาศความหนาวเย็นยังวนเวียนอยู่อย่างชัดเจน จิ่งฝานหยิบหนังสือมาสองสามเล่มแล้วก็เดินไปที่ตั่งนิ่มๆ ที่อยู่ด้านข้าง หิมะที่เกาะรองเท้าละลายไปหมดแล้ว รองเท้ายาวสีดำจึงถูกหิมะทำให้กลายเป็สีเข้มขึ้นไปอีก คิดว่าคงจะเปียกไปหมดแล้ว
“เข้ามานั่ง รองเท้าเปียกหมดแล้ว” จิ่งฝานด้านหนึ่งพูดอย่างสบายๆ แล้ววางหนังสือลงบนโต๊ะเตี้ยๆ ที่อยู่บนตั่ง ส่วนอีกด้านหนึ่งก็ถอดรองเท้าแล้วนั่งขัดสมาธิอยู่บนตั่ง
เมื่อสลัดภาพบรรยากาศแสนงดงามออกแล้ว อ๋าวหรานก็สลัดรองเท้าที่มีหิมะเกาะอยู่ออกไป รู้สึกได้ถึงความเย็นเฉียบจากหิมะที่ละลาย อีกทั้งรู้สึกชาๆ ตัวสั่นเล็กน้อยแล้วรีบเดินไปเบื้องหน้า พอไปถึงตั่งก็นั่งลงทันที
เมื่อถอดรองเท้าแล้วถึงเพิ่งค้นพบว่าตลอดทางที่เดินมานี้...ฝ่าเท้าได้ถูกความเย็นนานเสียจนซีดขาวแล้ว ส่วนด้านข้างก็ขึ้นสีแดง คาดว่าคงถูกน้ำแข็งกัด อ๋าวหรานเดิมทีคิดจะเช็ดเท้าที่เปียกกับขากางเกง แต่จะทำอย่างไรได้เมื่อขากางเกงเองก็ชื้นด้วยเหมือนกัน หากจะนั่งขัดสมาธิทั้งอย่างนี้เลยก็เกรงว่าผ้าห่มนุ่มนิ่มที่ปูอยู่บนตั่งนี้ก็อาจจะถูกทำให้เปียกไปด้วย
คิดเล็กน้อย อ๋าวหรานจึงดึงชายเสื้อคลุมยาวขึ้นมาผูกเป็ปมไว้ที่เอว แล้วพับขากางเกงขึ้นทบแล้วทบเล่าจนเห็นน่องครึ่งหนึ่ง จากนั้นจึงนั่งขัดสมาธิเลียนแบบจิ่งฝาน เขาหยิบหนังสือบนโต๊ะขึ้นมาเล่มหนึ่ง แค่พลิกผ่านๆ ก็รู้ได้ว่าจิ่งฝานเป็คนเขียน เพราะความใกล้ชิดที่ผ่านมาจึงทำให้เขาคุ้นเคยกับตัวอักษรและลักษณะการบรรยายของอีกฝ่ายเป็อย่างดี
จิ่งฝานในตอนนี้ไม่ใช่แค่การพูดเท่านั้น บางครั้งที่เขียนหนังสือก็ยังใช้คำกระชับอย่างยิ่ง ไม่เคยพูดมากเกินไปแม้แต่คำเดียว แต่หนังสือที่อยู่ในมือนี้ชัดเจนว่ามีคำ ‘ไร้สาระ’ อยู่มากทีเดียว เขียนบรรยายความรู้สึกต่อทัศนียภาพและความคิดความรู้สึกที่มีต่อเื่ต่างๆ ไว้ค่อนข้างมาก เมื่อเทียบกับคนจริงๆ ตรงหน้านี้ การแสดงออกในหนังสือกลับดูมีชีวิตชีวากว่ามาก อ๋าวหรานจึงอดตั้งใจอ่านอย่างจริงจังไม่ได้
คนที่ถูกบันทึกการเดินทางดึงดูดไปนั้นไม่ได้มีโอกาสเห็นดวงตาอันแดงก่ำราวกับสีเืของคนตรงหน้าที่กำลังจ้องมองขาทั้งสองข้างของเขาที่ยกขึ้นมานั่งขัดสมาธิ ราวกับปีศาจร้ายที่กำจัดทุกอย่างให้สิ้นซากแล้วปีนขึ้นมาจากนรกโดยเอาความ้าล่าเหยื่อขึ้นมาด้วย
มีเพียงการบีบคนตรงหน้าให้แตกละเอียด ฉีกกระชากจนเห็นเืเท่านั้นจึงจะสามารถผ่อนคลายลงได้
เมื่อก่อนอ๋าวหรานมักจะเป็คนสบายๆ อยู่เสมอ แต่เมื่อมายังโลกใบนี้...โดยเฉพาะเมื่อต้องมาอาศัยอยู่ในตระกูลจิ่งที่ให้ความสำคัญกับกฎระเบียบเช่นนี้ แน่นอนว่าเขาก็ต้องเข้าเมืองตาหลิ่วแล้วหลิ่วตาตาม อยู่ในกฎระเบียบด้วย ถึงจะไม่ได้เคร่งครัดขนาดนั้น แต่การแต่งกาย ท่าทาง การพูดล้วนเรียบร้อยอยู่ในระเบียบเป็อย่างดี การกระทำเช่นตอนนี้ที่แสนจะสบายๆ และเป็ตัวของตัวเองนั้นเขาไม่เคยทำเลยแม้แต่นิดเดียว
“เ้า...พออยู่ต่อหน้าข้าก็ยิ่งไร้ระเบียบมากขึ้นแล้ว” มุมหนังสือในมือของจิ่งฝานถูกบีบจนเริ่มเปลี่ยนรูป ช่างน่าเสียดายกระดาษพวกนั้นเสียจริง
อ๋าวหรานแย้มยิ้ม “ข้าไม่มีมานานแล้วต่างหาก พวกเราล้วนสนิทสนมกันถึงเพียงนี้แล้ว เหตุใดยังสนใจเื่พวกนี้อยู่อีก? ข้าไม่เชื่อว่าเ้าจะอยู่ในกฎระเบียบได้ตลอดเวลา”
แน่นอน...ว่าไม่
สายตาของจิ่งฝานเหมือนจะมองไปบนตัวหนังสือแต่ละแถว พลิกหน้ากระดาษไปอย่างไม่ใส่ใจ “ตอนอยู่ต่อหน้าพวกเซียงเซียงก็เป็เช่นนี้หรือ?”
อ๋าวหรานกลอกตามองบน “คำพูดของเ้านี่ไม่ไร้สาระไปหน่อยหรือ? เซียงเซียงเป็สตรี ข้าจะไม่อายบ้างได้อย่างไร!”
“เช่นนั้นศิษย์พี่เ้าเล่า?”
“อืม...ศิษย์พี่ข้า?” อ๋าวหรานแค่คิดว่าตัวเองจะทำตัวสบายๆ เช่นนี้ต่อหน้าเหยียนเฟิงเกอก็รู้สึกกระดากแล้ว “ศิษย์พี่ข้านั้นไม่ว่ากับผู้ใดก็ล้วนมีระยะห่าง ถึงแม้เขาจะใกล้ชิดกับข้ามากอยู่สักหน่อย แต่ก็เป็เพียงความใกล้ชิดทางใจ หากเกิดเื่อันใดขึ้นก็จะปกป้องข้าก่อน แต่ถ้าจะให้เขามาเล่นหัวไร้สาระกับข้านั้น คิดว่าอย่าเลยจะดีกว่า”
มุมหนังสือในมือของจิ่งฝานค่อยๆ คลายออก อ๋าวหรานจึงพูดต่อว่า “ถ้าเป็จิ่งจื่อคงพอได้ เ้าเด็กนั่นเกรงว่าน่าจะไร้ระเบียบยิ่งกว่าข้า”
แควก...
อ๋าวหรานมองดูกระดาษที่ถูกฉีกไปครึ่งหนึ่งก็รู้สึกสงสารขึ้นมา “พี่ชาย มือเ้ารู้จักหนักเบาบ้างหรือไม่? หนังสือดีๆ ถูกเ้าฉีกขาดไปครึ่งหน้า ตอนนี้ก็ไม่สมบูรณ์แล้ว น่าเสียดายที่ไม่มีเทปติดกระดาษ”
จิ่งฝานโยนหนังสือในมือใส่เขา ชัดเจนว่าไม่อยากจะสนใจ สักพักก็ถามขึ้นว่า “เทปติดกระดาษคืออะไร? เหตุใดถึงไม่เคยได้ยิน”
“...”
“ไว้ติดกระดาษ...ก็คล้ายๆ กาว”
อ๋าวหรานตอบพอให้ผ่านๆ ไป โชคดีที่อีกฝ่ายก็ไม่จี้ถาม
คนทั้งสองเงียบลงอีกครั้ง แต่บรรยากาศก็ยังสบายๆ อ๋าวหรานรีบอ่านหนังสือในมือต่อ บันทึกการเดินทางเล่มแรกของจิ่งฝานใช้คำสวยงามค่อนข้างมาก เมื่อตัดพวกนี้ออกไปเขาก็อ่านได้อย่างรวดเร็ว แต่พอพลิกไปเรื่อยๆ ก็อดโกรธขึ้นมาไม่ได้ “ตาแก่นี่มันอะไรกัน? หน้าไม่อายเกินไปแล้ว!”
จิ่งฝานเงยหน้ามองเขา อ๋าวหรานขมวดคิ้วเข้าด้วยกัน ในดวงตาดำขลับเต็มไปด้วยความโกรธเคือง “เหตุใดเ้าถึงโง่งมเยี่ยงนี้? รู้จักพลิกแพลงบ้างหรือไม่!”
เหมือนจะทนเสียงบ่นไม่หยุดของอ๋าวหรานไม่ไหว จิ่งฝานจึงดึงบันทึกการเดินทางในมือเขาไปแล้วพลิกไปประมาณสองหน้า ฉากที่ทั้งคุ้นเคยและแปลกหน้าในเวลาเดียวกันก็ปรากฏขึ้นในหัว นี่เป็ครั้งแรกที่เขาลงจากเขาไปรักษาคน ที่ที่ไปค่อนข้างห่างไกล รายละเอียดบางอย่างไม่ต้องพูดถึง ตอนที่เขาอายุยังน้อยนั้นกลับมาก็ลืมไปเยอะแล้ว
พวกเขาที่ออกเดินทางไปเพื่อรักษาคนนั้นจะรักษาให้เปล่าโดยไม่คิดเงินแม้แต่สตางค์เดียว และได้รับความขอบคุณจากคนที่ถูกช่วยเหลืออย่างมาก พวกเขาแทบจะคุกเข่าเป็วัวเป็ม้าเพื่อตอบแทนรับใช้เลยทีเดียว แต่ก็มีพวกคนไม่ดีด้วยเช่นกัน เห็นผู้อื่นใจดีแล้วก็ได้คืบจะเอาศอก ใช้วิธีการชั่วร้ายเพื่อหาประโยชน์ใส่ตัว
คนที่อ๋าวหรานโกรธนั้นคือคนที่จิ่งฝานช่วยไว้เป็คนที่สามในการเดินทางตรวจรักษาคน สองคนแรกนั้นเป็แม่ม่ายและลูกกำพร้าที่เสียเสาหลักของครอบครัวไป เมื่อได้รับการช่วยเหลือก็ทั้งโขกศีรษะและบอกว่าจะทดแทนคุณ ทำให้จิ่งฝานในตอนนั้นที่ยังเป็เพียงหนุ่มน้อยแสนบริสุทธิ์ราวกับดอกบัวทำอะไรไม่ถูก เขาจึงรู้สึกกลัวไม่น้อยและไม่อยากเจอคนที่เอาแต่เรียกเขาว่า ‘ท่านเซียน’ แบบนี้อีก แล้ว์ก็ทำตามความ้าเขาจึงส่งคนที่ตรงกันข้ามอย่างสุดแสนมาให้
อ๋าวหรานชิงหนังสือกลับมา ในน้ำเสียงมีแต่ความโวยวาย “คนเช่นนี้เ้ายังช่วยเขาทำอะไร ซัดให้น่วมไปเลยแล้วเอาไปโยนทิ้งที่ใดก็ได้ เขาไม่มีทางขัดขืนเ้าได้หรอก!”
ไม่รอให้จิ่งฝานเอ่ยปาก อ๋าวหรานก็หรี่ตามองเขาทีหนึ่งด้วยความไม่สบอารมณ์กับความไม่เอาไหนของเขา “วรยุทธ์ของเ้านี่มีไว้ประดับเฉยๆ หรืออย่างไร? เรียนแล้วก็ไม่รู้จักเอาไปใช้”
จิ่งฝาน “...”
จะถือโทษที่อ๋าวหรานโกรธก็ไม่ได้ เพราะจิ่งฝานในวัยสิบห้าปีนั้นเป็นักบุญโดยแท้จริง
เฒ่าหลิวเป็ขอทานไม่เอาถ่านน่ารังเกียจที่ขึ้นชื่อในแถบนั้น เวลาปกติก็จะขโมยไก่เตะหมา ทำเื่สกปรกทุกอย่าง จนคนแถบนั้นล้วนระอากันไปทั่ว แต่จะไล่ก็ไล่ไม่ไปจึงพากันแอบหาวิธีจัดการเขาอย่างลับๆ จะได้สั่งสอนเขาสักที แต่คนผู้นี้ค่อนข้างเฉลียวฉลาด ฝีมือก็นับว่าไม่เลว ที่น่ากลัวกว่านั้นคือคนผู้นี้ยังมีพรรคพวกที่ไม่เอาถ่านน่ารังเกียจเช่นเดียวกับเขาอยู่มาก บางครั้งก็ชอบลักขโมยลูกของผู้อื่นไปขายอีกด้วย
ตอนที่จิ่งฝานเจอเฒ่าหลิวน่ารังเกียจผู้นี้นั้น คนผู้นี้กำลังแสร้งทำท่าขอทาน มีผื่นแดงเต็มตัวดูน่ากลัว นี่ไม่ใช่ของปลอม โรคผื่นแดงของเขามักจะกำเริบอยู่บ่อยๆ พอกำเริบขึ้นก็จะทำให้เขาคันจนทรมานแสนสาหัส เหตุผลที่เฒ่าหลิวน่ารังเกียจยากจนก็เพราะโรคนี้ไม่อาจรักษาที่ต้นเหตุได้ ทุกครั้งจึงทำได้เพียงซื้อยามา แต่ยานั้นแพงมาก หาเงินมาได้ยังไม่ทันได้เอาไปใช้อย่างสบายใจก็ต้องมาเสียไปกับค่ายาเสียแล้ว
จิ่งฝานในตอนนั้นเห็นเขายากจน เสื้อผ้าขาดเป็รูแถมยังป่วยอีก แน่นอนว่าต้องยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ส่วนเฒ่าหลิวน่ารังเกียจนั้นเห็นเขาเป็เพียงเด็กน้อยท่าทางร่ำรวยและหน้าตางดงาม เมื่อบอกเขาไปว่าตนเป็วิชาแพทย์ สามารถช่วยรักษาโรคผื่นคันของเขาได้ ในใจเขานั้นกลับหาเชื่อไม่
แต่สำหรับพวกค้ามนุษย์เช่นเขานี้ ตอนนี้มีเนื้อโอชายื่นเข้ามาตรงหน้า จะสนใจทำไมว่าเขาเป็วิชาแพทย์หรือไม่ หากล่อลวงไปได้ต้องขายได้ราคาดีแน่
