“อะไรน่ะ?” นาทีนี้ทุกคนต่างเบิกตากว้างด้วยความใ พร้อมเอามือป้องปาก
“หลิวกังผู้อยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 8 สูงสุดถูกซัดกระเด็นในหนึ่งกระบวนท่า แต่เย่เฟิงผู้นั้นกลับนิ่งไม่ไหวติง เช่นนั้นพลังของเย่เฟิงผู้นี้แข็งแกร่งแค่ไหนกันแน่?”
“นั่นสิ! ผู้ที่สู้กับเย่เฟิงล้วนถูกซัดกระเด็นในหนึ่งกระบวนท่า เห็นชัดว่าเขายังปล่อยพลังออกมาไม่หมด”
ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่าง ๆ นานา ส่วนองค์าาจ้าวที่สังเกตการณ์อยู่บนอัฒจันทร์หลักก็อดหรี่ตาลงเล็กน้อยไม่ได้ “พลังกายของเย่เฟิงแกร่งมาก หนึ่งการโจมตีของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 3 ทั่วไปมีพลังประมาณ 140,000 จิน หากข้าเดาไม่ผิด หมัดนี้ของเย่เฟิงมีพลังเกินสามแสนจิน พลังเช่นนี้แม้เป็ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้สูงสุด ในด้านพลังก็ถือว่าด้อยกว่าเย่เฟิง!”
ขณะที่องค์าาจ้าวกล่าวเช่นนั้น ในใจเขาก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ เขาไม่เคยพบเจอผู้ใดที่มีพลังกายแกร่งกล้าเท่าเย่เฟิงมาก่อน
“พลังกายเกินสามแสนจิน แม้พลังกายของข้าในตอนนี้จะอยู่ระดับสูงสุด แต่ก็มีแค่ 250,000 จินเท่านั้น ชายผู้นี้อยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 3 แต่พลังกายกลับแข็งแกร่งกว่าข้าที่อยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 9 เห็นทีถ้ามีโอกาสคงต้องกำจัดคนผู้นี้ให้ได้ ไม่เช่นนั้นเขาจะกลายเป็หายนะของข้า!”
แม้เสียงขององค์าาจ้าวจะเบา แต่จ้าวหยางที่อยู่ข้าง ๆ ก็ยังคงได้ยิน เขาเองก็ใไม่แพ้กัน และความมุ่งมั่นที่จะฆ่าเย่เฟิงก็เพิ่มพูนขึ้น
บัดนี้เขาจ้าวหยางอยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 9 ห่างจากจุดสูงสุดอีกนิดเดียว แต่ในด้านพลังกาย จ้าวหยางยังคงด้อยกว่าเย่เฟิงหลายเท่า นี่ทำให้จ้าวหยางรู้สึกไม่ชอบใจ
แม้ขั้นยุทธ์แท้จะแบ่งเป็เก้าขั้น แต่มนุษย์มักจะแบ่งขั้นยุทธ์แท้ที่ 9 ออกเป็สองระดับ หนึ่งคือผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 9 ทั่วไป สองคือผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 9 ที่บ่มเพาะพลังถึงสภาวะสูงสุด จึงถูกเรียกว่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้สูงสุด ส่วนจ้าวหยางเพิ่งทะลวงขั้นยุทธ์แท้ที่ 9 ได้เมื่อหลายวันก่อน แต่ซือคงเสวียนและเว่ยเจิ้นเทียนคือผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้สูงสุด
“อ่อนหัด แค่หนึ่งกระบวนท่าก็รับมือไม่ได้!”
เย่เฟิงมองหลิวกังพลางเหยียดยิ้มอย่างเ็าด้วยสีหน้าเย้ยหยัน เขาไม่ชอบยั่วยุผู้อื่น แต่หากผู้อื่นเป็ฝ่ายยั่วยุเขาก่อน เช่นนั้นเขาเย่เฟิงจะลงมือจัดการอย่างไร้ซึ่งความปรานีใด ๆ
คนของตระกูลหลิวที่อยู่ในที่แห่งนี้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นต่างก็ตาเผยประกายเย็นเยือก
ไม่นานศึกที่หนึ่งก็จบลง สิบคนตกรอบ อีกสิบคนเข้ารอบ ซึ่งในนี้มีซือคงเสวียน หวงเหยียนิ เว่ยเจิ้นเทียน เหลียงปู้ผั่ว และเย่เฟิงที่ผ่านเข้ารอบโดยไร้ความกังวลใด ๆ ส่วนคนอื่น ๆ กลับผ่านเข้ารอบอย่างยากลำบาก กระทั่งมีสองคนถูกฆ่าตายคาเวทีประลอง
รอบต่อไปยังคงเป็ศึกจับฉลาก แบ่งเป็ห้ากลุ่ม รอบนี้จะถูกคัดออกห้าคน ส่วนอีกห้าคนจะได้เข้ารอบสุดท้าย
ศึกต่อสู้เช่นนี้มีกฎที่เรียบง่าย สามารถทดสอบความสามารถของผู้ฝึกยุทธ์ได้ดีและยุติธรรมที่สุด จึงไม่มีผู้ใดกล้าบ่นเลยแม้แต่น้อย
รอบนี้ซือคงเสวียนจับได้คู่กับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 9 จากราชวงศ์ฉี ซึ่งคู่ต่อสู้ของเขามีฝีมือพอตัว ย่อมไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ จึงเลือกที่จะสู้กับซือคงเสวียน แต่ถึงอย่างนั้นเขายังคงถูกซือคงเสวียนซัดกระเด็นในสามกระบวนท่า เขาจำต้องเป็ฝ่ายยอมแพ้ไป
“ซือคงเสวียนร้ายกาจมาก แม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 9 ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ในความคิดข้า อันดับที่หนึ่งของการประลองยุทธ์เลือกคู่ครั้งนี้ต้องเป็ของซือคงเสวียนแน่!”
ผู้คนมองเงาร่างนั้นบนเวทีประลองด้วยสายตาเลื่อมใสศรัทธา ความแข็งแกร่งของซือคงเสวียนเป็ที่ประจักษ์ แม้เขาชิงอันดับที่หนึ่งไปครองก็เป็เื่สมเหตุสมผลแล้ว
ส่วนเว่ยเจิ้นเทียน คู่ต่อสู้ของเขาคือผู้มีฝีมือร้ายกาจคนหนึ่ง ย่อมไม่มีทางยอมแพ้ง่าย ๆ ศึกของทั้งสองจึงดุเดือด การโจมตีของเว่ยเจิ้นเทียนบ้าคลั่ง ซึ่งเขาปลุกิญญาาขั้นครามคู่ เขาได้ปลดปล่อยิญญาาสิงโตเกล็ดทองขั้นครามของตนออกมา สิงโตแผดเสียงคำรามพร้อมปลดปล่อยพลังอสูร และเขี้ยวของมันพร้อมฉีกกระชากทุกสิ่ง
ไม่ถึงสิบกระบวนท่าดี ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นถูกิญญาาสิงโตเกล็ดทองขั้นครามของเว่ยเจิ้นเทียนซัดจนกระอักเื จึงจำต้องเป็ฝ่ายยอมแพ้ก่อน
“เว่ยเจิ้นเทียนสมกับเป็หัวหน้าสี่อัจฉริยะบุรุษ พลังต่อสู้ย่อมไม่ใช่คนธรรมดาจะทัดเทียม เขาแข็งแกร่งเกินไปแล้ว ไม่รู้ว่าระหว่างเว่ยเจิ้นเทียนกับซือคงเสวียนใครจะแกร่งกว่ากัน?”
เมื่อผู้คนเห็นเว่ยเจิ้นเทียนเอาชนะคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดายต่างก็ใ พลางคิดไปว่าเว่ยเจิ้นเทียนนั้นมีสิทธิ์สู้กับซือคงเสวียน
หวงเหยียนิก็ขึ้นเวทีประลองเช่นกัน ตบะของเขาอยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 9 เหมือนจ้าวหยาง คู่ต่อสู้ของเขาก็เช่นกัน แต่หวงเหยียนิเอาชนะอีกฝ่ายได้ใน 20 กระบวนท่า
จากนั้นเป็ตาของเย่เฟิง ซึ่งตอนที่ผลฉลากของเขาปรากฏ ทุกคนในที่แห่งนั้นต่างก็ตกตะลึง
“ไม่นึกว่าเย่เฟิงจะจับได้คู่กับเหลียงปู้ผั่ว ช่างน่าเหลือเชื่อมาก เหลียงปู้ผั่วเป็ใคร แล้วคนอย่างเย่เฟิงจะสู้ได้อย่างไร เขาน่าจะแพ้เหลียงปู้ผั่วภายในสามกระบวนท่าเป็แน่” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งกล่าวด้วยความรู้สึกยินดีปรีดาในความโชคร้ายของผู้อื่น เขานั้นหวังว่าเย่เฟิงจะตกรอบ
“ใช่ เหลียงปู้ผั่วคือหนึ่งในสี่อัจฉริยะบุรุษ แล้วเย่เฟิงจะสู้ด้วยได้อย่างไร? ข้าว่าเย่เฟิงต้องแพ้ในหนึ่งกระบวนท่าแน่!” คนผู้หนึ่งกล่าวเช่นนั้น ซึ่งไม่มีผู้ใดคิดว่าเย่เฟิงจะเอาชนะศึกนี้ได้ กลับกันต่างคิดว่าเย่เฟิงจะต้องเป็ฝ่ายพ่ายแพ้
“น้องหญิง ดวงของเย่เฟิงผู้นั้นจบสิ้นแล้ว เจอกับเหลียงปู้ผั่วเช่นนี้ เขาแพ้แน่นอน”
บนอัฒจันทร์หลัก จ้าวหยางกล่าวกับจ้าวซินอี๋ด้วยน้ำเสียงดูแคลน แต่จ้าวซินอี๋ไม่สนใจ นางยังคงแน่วแน่ ในเมื่อเย่เฟิงเดินมาถึงจุดนี้ นางเชื่อว่าเขาเอาชนะเหลียงปู้ผั่วได้แน่นอน
“พี่เหลียง ในเมื่อเ้าเจอกับสวะนี่ เช่นนั้นฝากเก็บเขาแทนเราสองคนที แต่ไม่ต้องถึงกับตาย เดี๋ยวเราสองคนจะจัดการเขาต่อเอง!”
ตอนที่เหลียงปู้ผั่วและเย่เฟิงเดินขึ้นเวทีประลอง จู่ ๆ หวงเหยียนิที่อยู่ใกล้ ๆ ก็กล่าวเช่นนั้นกับเหลียงปู้ผั่ว ราวกับว่าเย่เฟิงคือเหยื่อของพวกเขาที่สามารถฆ่าเมื่อใดก็ได้
“ปล่อยให้เป็หน้าที่ข้า ข้าต้องเอาชนะเขาให้ได้!” เหลียงปู้ผั่วตอบกลับอย่างไม่ลังเล ในความคิดเขานั้น เย่เฟิงที่อยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 3 เปราะบางมากเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา แน่นอนว่าจะสามารถเอาชนะได้อย่างง่ายดาย
“ไอ้หนู เจอกับข้าคือความโชคร้ายของเ้า!” เหลียงปู้ผั่วกล่าวพลางเหยียดยิ้มอย่างชั่วร้าย
เย่เฟิงทำตัวกำเริบเสิบสานมากที่เมืองลอยฟ้า แต่เหลียงปู้ผั่วกลับคิดว่าเย่เฟิงอาศัยพลังของคนอื่น หาไม่เช่นนั้นเย่เฟิงไม่มีทางทำเื่เช่นนั้นได้
“งั้นหรือ?” เย่เฟิงกล่าวด้วยเสียงเรียบเฉย เขาไม่เคยมีความแค้นกับเหลียงปู้ผั่ว แต่จากบทสนทนาของอีกฝ่ายกับเว่ยเจิ้นเทียนและหวงเหยียนิ เขาก็กลายเป็ศัตรูของอีกฝ่ายไปโดยปริยาย
“อะไรกัน? หรือเ้าคิดว่าตัวเองมีพลังมากพอจะเอาชนะ?”
เหลียงปู้ผั่วขมวดคิ้ว “ที่นี่คือการประลองยุทธ์เลือกคู่ ไม่อนุญาตให้ใช้พลังจากภายนอก เ้าอยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 3 หรือว่าไม่กลัวข้า?”
เย่เฟิงเผยรอยยิ้มจาง ๆ “ข้าเนี่ยนะกลัวเ้า? เ้าสำคัญตัวเองมากเกินไปแล้ว!”
“ข้าไม่อยากพล่ามไร้สาระ เริ่มเลยเถอะ!”
เย่เฟิงเอาสองมือไพล่หลัง ซึ่งสายตาของเขาราวกับไม่เห็นเหลียงปู้ผั่วอยู่ในสายตาแม้แต่นิดเดียว
“รนหาที่ตาย!”
เมื่อเหลียงปู้ผั่วเห็นเย่เฟิงไม่สนใจเขาก็บันดาลโทสะทันที จู่ ๆ พลังปราณพวยพุ่งออกจากร่าง ก่อนจะวาดฝ่ามือโจมตีเย่เฟิงอย่างไม่ลังเล ซึ่งเขาอยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 8 สูงสุด พลังฝ่ามือจึงทรงอานุภาพและสามารถทำลายทุกสิ่งได้
“เหลียงปู้ผั่วลงมือแล้ว เย่เฟิงผู้นี้ใจกล้ามาก ไม่นึกว่าจะทำให้เหลียงปู้ผั่วบันดาลโทสะ เขาจบเห่เป็แน่!” คนผู้หนึ่งกล่าวขึ้น เขาคิดว่าเย่เฟิงแกว่งเท้าหาเสี้ยน แม้แต่คนอื่น ๆ ก็ยังดูฉากตรงหน้าด้วยความสนอกสนใจ โดยที่คนส่วนใหญ่คิดว่าเย่เฟิงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหลียงปู้ผั่ว
“ไปให้พ้น!”
ดวงตาของเย่เฟิงเผยประกายเย็นเยือก จากนั้นเขาวาดฝ่ามือโจมตีเช่นกัน ซึ่งฝ่ามือนี้อัดแน่นไปด้วยพลังทำลายล้าง ทั้งยังมีพลังมหาศาลถึงสามแสนจิน
“ตูม!!!”
เสียงะเิดังกึกก้องทั่วฟ้าดิน คลื่นเสียงนั่นประหนึ่งเสียงฟ้าผ่าที่ดังก้องในหูของผู้คน ทำให้ผู้คนปวดหูกันถ้วนหน้า จากนั้นพวกเขาเห็นเหลียงปู้ผั่วตัวสั่นสะท้านหลังถูกโจมตีไปเมื่อครู่นี้ สีหน้าก็ยังบูดเบี้ยวจนน่าเกลียด
เหลียงปู้ผั่วรู้สึกว่ามีพลังทำลายล้างกำลังบุกรุกร่างกายเขา ทำให้อวัยวะภายในเสียหายอย่างหนัก จึงอดเซถอยหลังไปไม่ได้ ส่วนแขนข้างนั้นที่ปะทะกับฝ่ามือของเย่เฟิงก็สั่นเทาอย่างรุนแรง สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะถามเย่เฟิง “เป็ไปได้ยังไง? เ้าอยู่แค่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 3 แต่จะมีพลังมากขนาดนี้ได้ยังไง? หรือเ้าใช้พลังนั่นที่ตัวเองควบคุมไม่ได้?”
เย่เฟิงได้ยินเช่นนั้นก็เหยียดยิ้มอย่างเ็า “ตัวเองอ่อนหัดแต่ก็ยังหาข้ออ้างนู่นนี่ ข้ารู้สึกละอายใจแทนเ้าเสียจริง ๆ!”
“อย่าเพิ่งได้ใจไป เมื่อครู่ข้าแค่อุ่นเครื่อง ต่อจากนี้ข้าจะทำให้เ้ารู้ซึ้งถึงความแตกต่างระหว่างเ้ากับข้า!”
เหลียงปู้ผั่วกล่าวด้วยโทสะ ก่อนจะปลดปล่อยพลังเคล็ดวิชาที่น่าสะพรึงกลัวเข้าโจมตีเย่เฟิงอีกครั้ง!
