หลี่จิ่งหนานมีสีหน้าเศร้าหมอง “เดิมทีแม่ทัพประจำการอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ ชาวหมานอี๋แถบนั้นต่างก็เกรงกลัวเขามาก หากมิใช่เพราะเราเสียมณฑลโม่โจวไป เสด็จพ่อก็คงจะไม่ส่งเขามาประจำการทางเหนือเช่นนี้…”
มองดูเด็กอายุแปดขวบกังวลเื่บ้านเมือง หวาชิงเสวี่ยก็รู้สึกสับสนทั้งเศร้าใจอย่างประหลาดภายในใจ
“แล้วแม่ทัพที่ประจำการอยู่ที่นี่ล่ะ?” หวาชิงเสวี่ยถาม
“ตายไปแล้ว” ดวงตาของหลี่จิ่งหนานจ้องมองเปลวไฟแ่เบาในเตา “ครั้งหนึ่งเคยได้ยินเสด็จแม่ตรัสกับท่านน้าว่า หากเปรียบเทียบกันระหว่างฝ่ายบุ๋นกับฝ่ายบู๊ เสด็จพ่อทรงให้ความสำคัญกับฝ่ายบุ๋น แต่กลับละเลยฝ่ายบู๊ ทำให้แคว้นต้าฉีอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ไม่มีแม่ทัพที่สามารถใช้การได้เลยแม้แต่คนเดียว”
ฮ่องเต้ถูกคนวิพากษ์วิจารณ์เช่นนี้ หลี่จิ่งหนานผู้เป็องค์รัชทายาทย่อมรู้สึกไม่สบายใจ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในตอนนั้น สีหน้าของเขาก็หม่นหมองลง
“ท่านน้าก็ตำหนิเสด็จพ่อเช่นกัน ทั้งที่ศึกมณฑลโม่โจวยังสามารถส่งกองทัพไปเสริมได้อีก แต่เสด็จพ่อกลับเลือกที่จะเจรจาสงบศึก ยอมยกมณฑลทั้งสามให้กับชาวเหลียวไป”
หวาชิงเสวี่ยขมวดคิ้ว ฮองเฮาตรัสเช่นนั้นก็พอว่า แต่น้องชายของฮองเฮาก็ยังพูดเช่นนี้อีกด้วย นี่จะไม่เป็ความผิดร้ายแรงหรอกหรือ?
หลี่จิ่งหนานหันมามองหวาชิงเสวี่ย กล่าวว่า “ตอนนั้นข้ายังเด็กนัก แอบได้ยินเื่เหล่านี้จึงนำไปกราบทูลเสด็จพ่อ...”
หวาชิงเสวี่ยประหลาดใจ “แล้วเสด็จพ่อของเ้ามีปฏิกิริยาอย่างไร?”
“พระองค์มิได้ตรัสสิ่งใด เพียงแต่ทรงแย้มพระสรวล แล้วก็กลับไปตรวจฎีกาต่อ” น้ำเสียงของหลี่จิ่งหนานมีความมั่นใจอย่างหนึ่ง “เสด็จพ่อของข้าไม่ผิดพลาดแน่ พระองค์ทรงเป็โอรส์ พระองค์ย่อมถูกต้องอยู่แล้ว”
หวาชิงเสวี่ยเห็นใบหน้าของหลี่จิ่งหนานมีท่าทางที่เกินวัย ก็รู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก นางพยักหน้า “อืม! เสด็จพ่อของเ้าต้องถูกต้องอยู่แล้ว”
หลี่จิ่งหนานหัวเราะเยาะนาง “เ้าจะไปรู้อะไร”
หวาชิงเสวี่ยเอียงศีรษะครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ตอบว่า “กษัตริย์บางพระองค์ใฝ่ฝันที่จะขยายอาณาเขต กษัตริย์บางพระองค์ใฝ่ฝันถึงความสงบสุขของบ้านเมือง เสด็จพ่อของเ้ามิได้ผิดพลาด ความดีความชอบในการขยายอาณาเขตที่บันทึกไว้ในพงศาวดารนั้นดูยิ่งใหญ่ก็จริง แต่หาก้าให้ชื่อเสียงเลื่องลือไปชั่วลูกชั่วหลาน สิ่งสำคัญคือประชาชนอยู่เย็นเป็สุขหรือไม่ต่างหาก”
หลี่จิ่งหนานเบะปาก “หากไม่มีกองทัพที่แข็งแกร่งปกป้องบ้านเมือง ประชาชนจะอยู่เย็นเป็สุขได้อย่างไร?”
หวาชิงเสวี่ยรู้สึกว่าความคิดของหลี่จิ่งหนานนั้นสุดโต่งเกินไป นางกังวลว่าหลี่จิ่งหนานจะขึ้นครองราชย์แล้วเอาแต่ฝ่ายบู๊ไม่สนใจฝ่ายบุ๋น จึงอดเป็ห่วงไม่ได้ “กองทัพที่แข็งแกร่งย่อมสำคัญ แต่เ้าลองคิดดู หากเอ่ยถึงแว่นแคว้นใดที่ดีที่สุด ใครจะตัดสินด้วยขนาดของอาณาเขตหรือความแข็งแกร่งของกองทัพกัน? ทุกคนล้วนต้องตัดสินด้วยความมั่งคั่งอยู่เย็นเป็สุขของประชาชน ความซื่อสัตย์สุจริตของขุนนาง ความสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้คน สรุปก็คือเศรษฐกิจ การเมือง และบรรยากาศทางสังคม สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับกองทัพเพียงอย่างเดียว”
หลังจากพูดจบ นางก็กลัวว่าหลี่จิ่งหนานจะไม่ยอมฟังต่อ จึงรีบเสริมว่า “ยิ่งไปกว่านั้น เสด็จพ่อของเ้าก็มิได้ละเลยเื่บู๊โดยสิ้นเชิง เพียงแต่พระองค์โชคไม่ดีที่ต้องเผชิญกับยุคที่ศัตรูรายล้อม แม้จะมีทหารมากมายในมือก็รับมือไม่ไหว!”
สีหน้าของหลี่จิ่งหนานจึงผ่อนคลายลง ค่อยๆ มีรอยยิ้มปรากฏขึ้น “อืม...ข้าก็รู้สึกว่า เสด็จพ่อทำสิ่งใด ย่อมต้องมีเหตุผลของพระองค์”
...
คืนนี้ หลี่จิ่งหนานหลับสบายเป็พิเศษ ไม่ฝันร้ายจนละเมอพูดเื่ไม่เป็เื่ และไม่พลิกตัวไปมาตลอดทั้งคืน
เด็กในวัยนี้ เมื่อหลับไปแล้วก็น่าจะหลับสนิท แต่หลี่จิ่งหนานกลับสะดุ้งตื่นง่าย
่ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้เขาหลับสนิทกว่าตอนที่มาถึงเมืองเหรินชิวใหม่ๆ หวาชิงเสวี่ยยกความดีความชอบให้ตนเอง...
เอาล่ะ ที่จริงนางเข้าใจดีว่า อาการของหลี่จิ่งหนานเป็กระบวนการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม
แต่มองดูใบหน้าเล็กๆ ที่กำลังหลับฝันดีของเขา หวาชิงเสวี่ยก็รู้สึกว่า คำพูดของนางต้องเป็ผลที่ทำให้หลี่จิ่งหนานยอมรับพ่อของเขาจากก้นบึ้งของหัวใจ เขาถึงสลัดความกังวลในใจออกไปได้ และหลับสนิทเช่นนี้
หวาชิงเสวี่ยรู้สึกดีใจมาก
มองดูเด็กน้อยที่หลับสนิทอยู่ข้างๆ นางรู้สึกถึงความสุขอย่างเปี่ยมล้น
หวาชิงเสวี่ยไม่เคยคิดเลยว่า ความสุขของนางจะเกิดจากการมองดูใบหน้าที่หลับใหลของเด็ก บางที โชคชะตาอาจจะสร้างสายใยบางอย่างที่มองไม่เห็นระหว่างนางกับเขาก็เป็ได้?
...เพียงแต่ สายใยนี้ อาจจะหายไปในเวลาอันใกล้นี้
หัวใจของหวาชิงเสวี่ยรู้สึกหนักอึ้ง
แม่ทัพฟู่ผู้นั้น ไม่คิดจะพานางไปด้วยกัน…
แม้แม่ทัพผู้นั้นจะพานางไปด้วย แล้วอย่างไรเล่า? สักวันหนึ่งหลี่จิ่งหนานก็ต้องกลับไปยังวังหลวงที่แสนไกล…
หวาชิงเสวี่ยไม่มีความคิดที่จะเข้าวัง เพราะนางไม่อยากตกเป็ทาสรับใช้ และไม่อยากอ้างตัวว่าเป็ผู้มีพระคุณเพื่ออยู่ในวังหลวง อีกทั้งการทำแบบนั้นมันน่ากระอักกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูก แม้แต่ท่าทีของฮ่องเต้และฮองเฮาก็ยังไม่อาจคาดเดาได้
นางรู้ว่าคนในที่แห่งนี้ให้ความสำคัญกับศักดิ์ศรีของราชวงศ์มาก เพื่อรักษาหน้าตาของราชวงศ์ พวกเขาสามารถทำเื่ที่น่าเหลือเชื่อได้มากมาย
หลี่จิ่งหนานเคยเล่าเื่เล็กๆ เื่หนึ่งให้ฟัง เมื่อตอนที่เขาอายุหกขวบ เขาไม่ทันไม่ระวังจึงทำกาน้ำชาหกใส่ผ้าห่ม วันรุ่งขึ้นนางกำนัลที่เข้ามาเก็บกวาดก็เข้าใจว่าเขาฉี่รดที่นอน เดิมทีเื่นี้ไม่ใช่เื่ใหญ่โตอะไร แต่นางกำนัลผู้นั้นกลับเอาไปเล่าต่อ บอกคนอื่นว่าองค์รัชทายาทฉี่รดที่นอน สุดท้ายฮองเฮาจึงสั่งปะาทุกคนที่รู้เื่นี้
เื่แบบนี้ไม่ค่อยเกิดขึ้น บุคคลที่รับใช้ใกล้ชิดมักจะถูกคัดเลือกอย่างเข้มงวด และจะไม่เปิดเผยเื่ราวของเ้านายออกไปยังโลกภายนอกเด็ดขาด
อย่างไรก็ตาม หากเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก ผลที่ตามมาก็อาจจะเลวร้ายจนไม่สามารถจินตนาการได้
หวาชิงเสวี่ยจะไม่นำเื่ของหลี่จิ่งหนานไปป่าวประกาศแน่นอน แต่ว่าในยุคนี้ 'การรู้’ ก็เป็ความผิดอย่างหนึ่งแล้ว
นางกับหลี่จิ่งหนานอยู่ด้วยกันตลอดทั้งเช้าทั้งเย็น กิน นอน ขับถ่าย ทุกอย่างอยู่ด้วยกันหมด อย่าว่าแต่ฉี่รดที่นอนเลย เื่น่าอายของหลี่จิ่งหนานนางก็เห็นมาหมดแล้ว
หวาชิงเสวี่ยไม่คิดว่าเชื้อพระวงศ์จะยอมรับการมีอยู่ของนางได้ แม้แต่หลี่จิ่งหนาน... หวาชิงเสวี่ยก็ไม่มั่นใจว่า เมื่อเขาเติบโตขึ้นแล้วจะยังคงยอมรับการมีอยู่ของนางได้หรือไม่? ถึงอย่างไร นางก็เคยเห็นสภาพตกต่ำที่สุดของเขา…
หวาชิงเสวี่ยมีเื่กังวลใจมากมาย คืนนี้นางจึงนอนไม่หลับ
เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น ทหารเหลียวสองนายนำเสื้อคลุมบุนวมมาให้สองห่อใหญ่ ดังที่หวาชิงเสวี่ยคาดไว้ เสื้อผ้าเหล่านี้ผ่านการทำความสะอาดมาจากในค่ายทหารแล้ว ไม่ได้ดูสกปรก เพียงแต่มีคราบเืบนขนเตียวด้านในเท่านั้นที่นางต้องซัก
นางนับดูแล้ว มีทั้งหมดเก้าสิบสองตัว หากนางขยันหน่อย สองสามวันก็น่าจะซักเสร็จ เพียงแต่ลานเรือนของนางนั้นเล็ก ในคราวเดียวคงตากเสื้อผ้าได้ไม่มากนัก ดูเหมือนว่างานนี้จะต้องแบ่งทำเป็รอบ
หวาชิงเสวี่ยวางแผนในใจว่า ควรจะซื้อไม้ไผ่มาเพิ่มอีกสองสามอัน ปักให้สูงๆ ทำชั้นวางเพิ่มหลายๆ ชั้น จะได้ตากผ้าได้มากขึ้นอีกหน่อย
นอกจากจะซื้อไม้ไผ่แล้ว นางยังอยากซื้อหมั่นโถวกับซาลาเปาด้วย ที่จริงแล้วนางเคยชินกับการกินข้าวมากกว่า แต่ตอนนี้ถึงแม้นางจะมีสูตรอาหารเต็มหัวไปหมด กลับไม่มีฝีมือทำอาหารเลย นางไม่อยากสิ้นเปลืองเงินไปกับการซื้ออุปกรณ์ทำครัวครบชุด ซื้อหมั่นโถวกับซาลาเปาจึงน่าจะสะดวกมากกว่า โดยเฉพาะซาลาเปา ตอนนี้หวาชิงเสวี่ยชอบซาลาเปาไส้ต่างๆ มาก…
หวาชิงเสวี่ยออกจากเรือน ยังไม่ทันถึงปากซอย ก็ได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครมมาจากถนนด้านหน้า นางหยุดเดินทันที หัวใจเต้นไม่เป็จังหวะ…
ยืนฟังอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง เสียงผู้คนดังเซ็งแซ่ เสียงะโโหวกเหวกดังไปทั่ว และเหมือนกับมีเสียงของบางสิ่งบางอย่างกระทบกัน
หวาชิงเสวี่ยแนบตัวชิดกำแพง ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปที่ปากซอย และเห็นผู้คนจำนวนมากวิ่งกันให้วุ่น!
เกิดเื่แล้ว!
นี่เป็ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาในใจของหวาชิงเสวี่ย!
นางหันหลังกลับ คิดจะหนีไปให้ไกลจากความวุ่นวายนี้!
จู่ๆ ก็มีร่างหนึ่งะโออกมา ชนหวาชิงเสวี่ยล้มลงกระแทกกับพื้น!
ชายหนุ่มคนหนึ่งอุ้มถุงข้าวสารล้มลงตามมา ข้าวสารสีขาวกระจายเกลื่อนพื้น แต่เขารีบลุกขึ้น แล้วะโว่า “หลีกไปซะ!” จากนั้นก็อุ้มถุงข้าวสารขึ้นมาแล้วหันหลังวิ่งเข้าไปในซอยลึก!
หวาชิงเสวี่ยสับสนไปชั่วครู่ สติบอกให้นางไม่ต้องสนใจความเ็ป รีบลุกขึ้นวิ่งกลับบ้าน!
ระหว่างที่วิ่ง นางก็บอกกับตัวเองในใจว่า อย่ากลัว อย่ากลัว…
เื่วุ่นวายจะเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็วอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็ที่ใดที่ถูกยึดครอง ประชาชนในท้องถิ่นก็คงไม่อาจอยู่ภายใต้การกดขี่ได้ตลอดไป…
พวกเขาต้องะเิออกมา…ต้องะเิออกมาในสักวันหนึ่งอยู่แล้ว! จลาจลเล็กน้อย จลาจลใหญ่ๆ วนเวียนซ้ำแล้วซ้ำอีก…
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็เื่ที่ต้องเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว…
ทุกอย่างเป็ไปตามที่นางคาดไว้…
ไม่ต้องกลัว…
ไม่ต้องกลัว…
แค่ปิดประตูหน้าต่างให้สนิท รอให้ผ่านไปสองสามวันก็คงจะสงบแล้ว…
ถึงแม้จะปลอบใจตัวเองเช่นนี้ แต่ระหว่างทางกลับบ้านหวาชิงเสวี่ยก็ยังสะดุดล้มไปหลายครั้ง เพียงแค่ระยะทางเพียงไม่กี่ก้าว นางกลับวิ่งจนขาทั้งสองข้างอ่อนแรง
พอถึงหน้าประตู หวาชิงเสวี่ยก็ทรงตัวไม่อยู่อีกแล้ว!
ร่างของนางกำลังจะล้มลงไปที่ธรณีประตู แต่ด้านหลังกลับถูกกระชากเอาไว้! ร่างที่กำลังจะล้มลงก็หยุดกลางคัน
หวาชิงเสวี่ยหันกลับไปมอง พบว่าเป็ชายเคราเฟิ้มคนเดิมที่เคยช่วยเหลือนางครั้งที่แล้ว…
ฟู่ถิงเย่รอให้หวาชิงเสวี่ยทรงตัวได้แล้ว จึงปล่อยมือที่กำลังจับคอเสื้อของนาง
เขาไม่แสดงสีหน้าใดๆ เพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้นก็มีรัศมีบางอย่างที่ทำให้คนไม่อาจละสายตาได้
หวาชิงเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสัยว่า ปกติคนผู้นี้ทำอาชีพอะไร ถึงได้มีรัศมีที่น่าเกรงขามเช่นนี้…
นางพบว่าตัวเองสงบลงแล้ว คงเป็เพราะชายร่างใหญ่ผู้นี้ยืนอยู่ที่นี่ เขาดูเหมือนจะเป็คนที่พึ่งพาได้…
“ขอบคุณเ้าค่ะ...ครั้งที่แล้วก็ต้องขอบคุณท่านมาก...” หวาชิงเสวี่ยกล่าวขอบคุณอีกฝ่ายอย่างเคอะเขิน
ตามปกติแล้วนางเดินค่อนข้างมั่นคง แต่สองครั้งที่ล้มลง ล้วนเป็ชายผู้นี้ที่พบเห็น…
หลังจากพูดจบ นางก็สังเกตเห็นว่าในมืออีกข้างของฟู่ถิงเย่ถือถุงขนาดใหญ่ใบหนึ่งอยู่ และถุงนั้นก็ดูพองออกมา
หวาชิงเสวี่ยมีสีหน้าตกตะลึง กล่าวว่า “ท่านมาหาข้าที่นี่เพื่อที่จะคืนหัวไชเท้าหรือ? ไม่ต้องหรอก...แค่หัวไชเท้าถุงเดียวเอง…”
ฟู่ถิงเย่: “...”
ฟู่ถิงเย่คิดอยู่ครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าจะตอบนางอย่างไร สุดท้าย เขาก็เลือกที่จะข้ามเื่นี้ไป วางถุงในมือไว้ที่หน้าประตู แล้วกล่าวเสียงเบา “นี่คือข้าวสาร ผัก ผลไม้จำนวนหนึ่ง เพียงพอให้พวกเ้าใช้ชีวิตได้หลายวัน ด้านนอกมีร้านขายข้าวสารหลายร้านถูกปล้น บนถนนเกิดความวุ่นวาย อย่าออกไปข้างนอกโดยไม่บอกข้า”
หวาชิงเสวี่ยมองเขาอย่างเหม่อลอย
ในสถานที่แห่งนี้ และในเวลาเช่นนี้ ยังจะมีใครที่นำอาหารมาส่งให้นางกับองค์รัชทายาทโดยเฉพาะได้หรือ?
ฟู่ถิงเย่หันหลังกลับจะเดินจากไป จู่ๆ ในเมืองก็เกิดความวุ่นวาย ต่อจากนี้ไปทหารเหลียวย่อมต้องมีการเคลื่อนไหวแน่นอน จับกุม คุมขัง ทรมาน หรือไม่ก็เชือดไก่ให้ลิงดู…
เขาไม่อาจปล่อยให้เื่เหล่านี้ส่งผลกระทบต่อแผนการช่วยเหลือองค์รัชทายาทได้ เขายังมีอีกหลายเื่ที่ต้องจัดการ กำลังคนไม่เพียงพอ เขาจึงต้องลงมือจัดการเอง
“ท่าน…ท่านแม่ทัพฟู่!” หวาชิงเสวี่ยะโเรียกเขาจากด้านหลัง ในน้ำเสียงมีความกังวลอย่างชัดเจน