บนพื้นมีคนนอนระเนระนาดอยู่สี่คน ชุดยาวสีน้ำเงินเข้มของเฉินเปิ่นฉีโดดเด่นมาก เนื้อผ้าชั้นดีเหมือนถูกกิ่งไม้ครูดขาดเป็รอยนับไม่ถ้วน แต่เทียบกับเนื้อผ้าที่ถูกกรีดขาดนี้แล้ว รูที่มีเืท่วมทั้งห้ารูบนชุดของเขานั่นต่างหากที่น่ากลัว จุดจวี้เชวี่ย1 จุดชี่ห่าย2 จุดมิ่งเหมิน3 จุดชีเหมินทั้งซ้ายและขวา4 อ๋าวหรานที่ในสมองจดจำจุดสำคัญๆ ต่างๆ ของคนได้อย่างถ่องแท้แล้วนั้น...แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าลงมืออย่างโเี้มาก ทั้งห้าแผลล้วนโจมตีเข้าจุดตายทั้งสิ้น ไม่ยั้งมือแม้แต่น้อย
ส่วนคนที่เหลืออีกสามคน าแล้วนอยู่ที่จุดถานจง5 ตรงจุดอื่นไม่มีาแแม้แต่น้อย เทียบกับเฉินเปิ่นฉีที่นองไปด้วยเืแล้ว ทั้งสามคนนี้นับได้ว่าตายอย่างค่อนข้างสะอาดสะอ้าน เมื่อเปรียบเทียบกันเช่นนี้ ทุกคนก็สามารถดูออกอย่างชัดเจนว่าฆาตกรคงมีความแค้นอย่างล้ำลึกต่อเฉินเปิ่นฉี
เฉินเป่าพอเห็นศพของเฉินเปิ่นฉีก็คุกเข่าร้องไห้อย่างเ็ป พูดสะอึกสะอื้นว่า “ผู้คุ้มกันที่นายท่านของข้าจัดให้มาคุ้มครองคุณชายนั้นล้วนเป็ยอดฝีมืออันดับต้นๆ ของหมู่บ้านเรา แต่เมื่อเผชิญหน้ากับคนผู้นั้น รับได้แค่ไม่กี่กระบวนท่าก็ถูกฆ่าแล้ว”
หลัวฉี่หาได้สนใจคำพูดของเขาไม่ ทำแค่เพียงเรียกเซี่ยเหวินเอ่อและสวีหรงฉี่ให้สำรวจต้นไม้ใบหญ้ารอบข้าง ถึงแม้จะถูกสาดกระเซ็นไปด้วยเื แต่ส่วนใหญ่ก็ล้วนยังอยู่ดี ไม่ได้ถูกทำลายเท่าไร ชัดเจนว่าพวกเขาคงต่อสู้กันไม่นานนัก
หลัวฉี่ดวงตาขรึมลง แต่เซี่ยเหวินเอ่อที่มุมปากกลับปรากฏรอยยิ้ม น้ำเสียงแฝงไปด้วยความเสแสร้งตื่นเต้นจนเกินเหตุ ท่าทางเหมือนกำลังดูเื่สนุกอยู่แล้วพูดว่า “มีร่องรอยการต่อสู้น้อยมาก บริเวณก็ไม่กว้าง น่าจะสู้กันแค่ราวๆ สิบกระบวนท่าเท่านั้น”
หากไม่ใช่ว่าในที่นี้มีคนอยู่มากมาย เขาคงจะชมออกมาตรงนี้เลยว่า 'ยอดมาก!' แล้ว
สวีหรงฉี่คลายชุดของพวกเขาออกแล้วพินิจดู “าแทั้งหมดไม่กว้างไปกว่านิ้วครึ่ง อาวุธคมพุ่งเข้าตรงจุด ไม่ผิดตำแหน่งแม้แต่น้อย อีกทั้งหมดจดอย่างยิ่ง ปากแผลลึกมาก แสดงว่าคนผู้นี้มือนิ่งมาก แถมแรงก็เยอะด้วยเช่นกัน”
หลัวฉี่พยักหน้า ลองวาดมือไปในอากาศ “าแเช่นนี้มีเพียงการจับอาวุธเล็กๆ จำพวกมีดสั้นแทงเข้าไปตรงๆ เท่านั้นถึงจะทำได้ หากใช้กระบี่ยาวแทงก็ยากจะตรงจุดขนาดนี้ และแรงก็จะอ่อนลงกว่านี้เล็กน้อยด้วย”
การวาดมือเลียนแบบเช่นนี้ของหลัวฉี่ก็นับว่าเป็การยืนยันคำพูดของเฉินเป่าแล้ว
ไม่รู้ว่าผู้คุ้มกันฝีมืออันดับต้นๆ ของตระกูลเฉินอยู่ในระดับใด แต่แค่ไม่กี่กระบวนท่าสั้นๆ ก็สามารถเอาชีวิตคนได้ถึงสี่คน ไม่มีาแมากกว่าหรือน้อยกว่าที่จำเป็ พุ่งเข้าสู่จุดบนร่างได้อย่างหมดจด เพียงเท่านี้ก็ถือว่าเป็ลักษณะการต่อสู้ของคนตระกูลจิ่งอย่างไม่ต้องสงสัย แน่นอนว่าต้องเป็ยอดฝีมือด้วยถึงจะทำได้
ถึงแม้จะบอกว่าวรยุทธ์ของตระกูลจิ่งนั้นสามารถลอกเลียนแบบได้ แต่ฝึกได้ถึงขนาดนี้ คนนอกคงยากที่จะทำได้
ทุกคนหลบสายตาจากภาพอันน่าอเนจอนาถของเฉินเปิ่นฉีแล้วรีบหันไปมองสิ่งที่เจริญตากว่า จากนั้นก็หันไปมองบรรดาผู้าุโตระกูลจิ่งอย่างเงียบเชียบ เฉินเปิ่นฉีจะตายหรือไม่ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกเขา คนที่มีความแค้นด้วยบ้างเล็กน้อยถึงจะแอบมีความสุขเล็กๆ ถ้าจะให้ดีคือให้พวกเขาทั้งสองตระกูลสู้กันให้ตายไปข้างหรือาเ็สาหัสทั้งสองฝ่าย แต่ฝีมือเด็ดขาดถึงเพียงนี้คงต้องเป็คนตระกูลจิ่งที่าุโสักหน่อยจึงจะทำได้ แล้วในบรรดากลุ่มผู้เฒ่าเหล่านี้จะมีผู้ใดที่ไปผูกใจเจ็บถึงเพียงนี้กับเด็กหนุ่มผู้หนึ่งได้ถึงขนาดดึกดื่นค่ำคืนแล้วยังต้องไล่ตามมาเอาชีวิตถึงไหล่เขา?
เฉินเป่าเช็ดน้ำตาบนหน้าไปทีหนึ่งแล้วส่งสายตาเคียดแค้นไปยังผู้เฒ่าหลายคนของตระกูลจิ่งที่ยืนอยู่แถวหน้า “เห็นาแแล้ว พวกท่านคงจะไม่ปฏิเสธหรอกใช่หรือไม่? ข้าเฉินเป่าเป็แค่เด็กรับใช้รินน้ำชาตักน้ำข้างกายคุณชาย ไม่เป็วรยุทธ์ แต่ข้าเห็นกับตาว่าเขาถือกระบี่สั้น เมื่อวานตอนประลองก็เห็นการประลองของคุณหนูคุณชายมากมาย ถึงแม้จะบอกว่าข้าจำได้ไม่มากเท่าไรนัก แต่ก็ยังมองเห็นความแตกต่าง ขอให้ผู้าุโและคุณชายทั้งหลายโปรดจัดการอย่างเป็ธรรม ส่งตัวคนที่สังหารคุณชายข้าออกมา!”
ทุกคนเงียบไปเล็กน้อย
ถึงจะบอกว่าปากแผลได้รับการยืนยันแล้ว แต่จะกำหนดโทษนั้นก็ถือว่ายากอยู่ ตระกูลจิ่งมีคนมากมายถึงเพียงนี้จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็ผู้ใด ข้อมูลเกี่ยวกับฆาตกรที่เฉินเป่ามีก็แค่รูปลักษณะเท่านั้น ตอนนี้ที่ทำได้ก็มีเพียงให้คนตระกูลจิ่งทั้งหมดที่มีรูปลักษณะใกล้เคียงกันนี้ออกมาให้เฉินเป่าชี้ตัว แต่ก็น่าจะยากมากอยู่
หลัวฉี่ลำบากใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็นึกเื่อื่นขึ้นมาได้จึงถามว่า “เฉินเป่า เ้าหนีออกมาได้อย่างไร?”
เฉินเป่าดูเหมือนจะอึ้งไปเช่นกัน “คนผู้นั้นไม่ฆ่าข้า แต่ฆ่าผู้คุ้มกันก่อน แล้วก็คิดจะฆ่าคุณชายข้า ข้าพุ่งไปขวางตรงหน้าคุณชายข้า าแบนร่างข้านี้ก็ล้วนเป็ฝีมือเขา ภายหลังเหมือนเขาจะรำคาญจึงเตะข้ากระเด็นออกไป คุณชายข้ายังไม่ทันดึงสติกลับมาก็ถูกแทงเข้าหลายแผลแล้ว”
เฉินเป่าเพิ่งพูดจบ เซี่ยเหวินเอ่อก็แย่งไปถามเสียก่อน “ตอนที่คุณชายเ้าเสียชีวิตน่าจะเลยยามจึ6 มาเล็กน้อยใช่หรือไม่?”
เฉินเป่าพยักหน้า
เซี่ยเหวินเอ่อแย้มยิ้ม “เช่นนั้นเหตุใดเ้าถึงรอจนเลยไปครึ่งเช้าแล้วถึงเพิ่งมาแจ้ง”
เฉินเป่ารีบพูดอย่างร้อนรนว่า “ข้าก็อยากจะมาให้เร็วที่สุด คิดว่าคุณชายข้าอาจจะยังพอมีทางช่วยอยู่ แต่ว่าฟ้ามืดบวกกับเส้นทางค่อนข้างขลุกขลัก ตอนนั้นข้ากลัวจนเดินไม่ไหว อ้อมไปอ้อมมาเสียนานกว่าจะปีนขึ้นมาได้”
เมื่อพูดจบ ทันใดนั้นเฉินเป่าก็มีสีหน้าโกรธแค้น ในสายตามีความใกลัว “หรือว่าพวกท่านไม่คิดจะหาตัวฆาตกรที่ฆ่าคุณชายของข้าแล้ว? พวกท่านเองก็คิดจะปกป้องตระกูลจิ่งหรือ?”
หลัวฉี่ขมวดคิ้ว “พวกข้าก็แค่มีข้อสงสัย จึงอยากซักถามให้ชัดเจนเท่านั้น”
เฉินเป่าราวกับไม่ได้ยิน ะโเสียงสูงว่า “หากเป็เช่นนี้ เื่นี้ข้าคงต้องรายงานผู้นำตระกูลของข้า! หากท่านอยากจะฆ่าข้าปิดปากก็ฆ่าเลย! ข้าไม่เชื่อว่าท่ามกลางบรรดาลูกหลานตระกูลต่างๆ จากทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่ที่มารวมตัวกันอยู่ที่นี้ พวกท่านจะกล้าฆ่าคนปิดปากอย่างเปิดเผยและปิดปากทุกคนได้!”
อ๋าวหรานอดรู้สึกอยากกุมขมับขึ้นมาไม่ได้ ภายใต้สายตาคนมากมายไม่ว่าอย่างไรตระกูลจิ่งก็ทำเช่นนั้นไม่ได้ คนผู้นี้คิดจะสาดโคลนใส่ตระกูลจิ่งมากขึ้นกว่าเดิมหรืออย่างไร?
จิ่งเฟิงกั๋วมองคนที่แหกปากะโซึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้นแล้วพูดช้าๆ ขึ้นว่า “ตัวข้าจิ่งเฟิงกั๋ว...ในเมื่อพูดแล้วว่าหากชี้ตัวฆาตกรได้แล้วก็จะนำตัวไปรับโทษที่ตระกูลเฉิน แน่นอนว่าไม่มีทางคืนคำ แต่ตอนนี้ต้องยืนยันตัวฆาตกรให้ได้ก่อน ถ้าจะให้ข้าหาลูกหลานตระกูลจิ่งมาสักคนและยัดเยียดข้อหาให้เขา เช่นนี้ตระกูลจิ่งของข้าไม่มีทางทำอย่างแน่นอน!”
เฉินเป่าถลึงตาอย่างโกรธเคือง “นายท่านผู้เฒ่าจิ่ง ประโยคนี้หมายความว่าเช่นไร จะไม่จัดการเื่นี้ใช่หรือไม่?”
จิ่งเฟิงกั๋วไม่แม้แต่จะมองเขา แล้วหันศีรษะไปสั่งจิ่งเหวินซานว่า “สั่งคนให้แบกศพของคุณชายเฉินกลับไปก่อน”
เฉินเป่าคิดอยากจะพูดอะไรอีก จิ่งเฟิงกั๋วก็รีบตัดบททันที “ข้าจะสั่งให้คนตระกูลจิ่งทุกคนไปที่สนามประลอง เ้าสามารถไปสังเกตดูรูปลักษณะของพวกเขาได้ นอกจากนี้ยังต้องรบกวนคุณชายหลัวและคนชันสูตรช่วยตรวจสอบศพอีกครั้ง ดูว่ายังสามารถสืบหาเบาะแสอะไรได้อีกบ้าง”
พูดจบแล้วก็พูดต่อว่า “เฟิงจั๋ว เ้าส่งคนไปค้นเขานี้ที ลองสืบหาเบาะแสที่แอบซ่อนไว้ที่จะสามารถเชื่อมโยงมายังคดีนี้ได้”
จิ่งเฟิงจั๋วรับไปคำหนึ่งว่า 'ขอรับ'
จิ่งเฟิงกั๋วมองเฉินเป่า “หากเ้าไม่วางใจ ก็ให้คนที่เชื่อใจได้ตามไปดู”
เฉินเป่าเงียบไป หมดคำจะพูดในทันที
จิ่งเฟิงกั๋วจัดการได้อย่างละเอียดรอบคอบ ถึงแม้เขาจะเป็คนเ้าระเบียบ อารมณ์ร้ายที่แค่ยืนอยู่เฉยๆ ตรงนั้นก็ให้ความรู้สึกแข็งกร้าวเผด็จการแล้ว เมื่ออยู่ต่อหน้าคนรุ่นเยาว์กลุ่มนี้ก็ยิ่งดูมีอำนาจ แต่มาตอนนี้กลับสั่งทุกอย่างอย่างละเอียดเป็ขั้นเป็ตอน เปิดเผยยุติธรรม ไม่มีอะไรปกปิดแอบแฝงทั้งสิ้น แถมยังไว้หน้าเฉินเป่าที่เป็คนรับใช้อย่างยิ่ง จึงทำให้ทุกคนรู้สึกเลื่อมใสขึ้นมา
เมื่อจัดการเื่ทุกอย่างเสร็จ จิ่งเฟิงกั๋วก็ขมวดคิ้วเคร่งขรึม แฝงด้วยอาการขออภัยอยู่หลายส่วน “การประลองเช้านี้คงไม่สามารถจัดต่อได้ตามกำหนดการเดิม จึงขอใช้เวลาที่เหลือนี้ให้คนรับใช้ของคุณชายเฉินชี้ตัวคนร้าย เราจะพยายามอย่างยิ่งเพื่อไม่ให้เสียเวลาของพวกท่าน แล้วค่อยจัดการแข่งขันใน่บ่ายตามปกติ!”
พวกคนหนุ่มที่อยากแข่งขันกันจริงๆ ก็พากันพยักหน้ารับ พูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
——
“ท่านพ่อ!”
ในตอนที่ทุกคนกำลังจะกลับไปยังที่พักนั้น จิ่งเคอก็บินเข้ามา เหงื่อผุดพรายเต็มหน้าผาก มีสีหน้าตกตะลึง “ท่านพ่อ!”
จิ่งเหวินซานที่เพิ่งจะได้หายใจหายคอก็ถูกท่าทางเช่นนี้ของเขาทำให้ใจนเกือบตาย “เหตุใดเ้าถึงไม่รู้มารยาทไปด้วยอีกคน ไม่คิดจะรักษาท่าทีเลยใช่หรือไม่?”
จิ่งเคอไม่มีเวลามาสนใจจิ่งเหวินซานสั่งสอนแล้ว กลืนน้ำลายแล้วพูดเสียงสั่นเสียจนหาวรรณยุกต์ไม่เจอ “ท่านพ่อ! ข้าพบตัวหวาง...หวางฮวายเหล่ยแล้วขอรับ!”
จิ่งเหวินซานเส้นเอ็นกระตุก ลางสังหรณ์ไม่ดีพุ่งชนเข้าอย่างจังจนกดลงไปแทบจะไม่อยู่แล้ว จู่ๆ เขาก็ไม่กล้าต่อคำของจิ่งเคอ แต่แววตาขอพรและแฝงความสงสัยกลับจ้องจิ่งเคออย่างเอาเป็เอาตาย
จิ่งเคอไม่รู้ว่าเป็เพราะถูกจ้องอย่างเอาเป็เอาตายหรือเป็เพราะเหนื่อยล้าจากการที่บินมาตลอดทางกันแน่ ทั้งร่างจึงสั่นไม่หยุด พูดด้วยน้ำเสียงแหบต่ำว่า “หวางฮวายเหล่ยตายแล้ว” !!!
“หวางฮวายเหล่ยก็ตายแล้วหรือ!”
“ค่ำคืนเดียวตายไปถึงสองศพ?!”
“ตระกูลจิ่งเมื่อคืนไปล่วงเกินเทพเ้าแห่งความซวยมาหรืออย่างไร?”
“หวางฮวายเหล่ยตายแล้วจริงหรือ? แล้วลุงจินผู้นั้นที่อยู่ข้างกายเขาเล่า?”
“ผู้ใดกันที่ร้ายกาจถึงเพียงนี้?”
“นี่...นี่ข้านอนหลับไปคืนหนึ่ง ตื่นมาเหตุใดถึงมีคนตายไปตั้งสองศพ แล้วยังเป็ตระกูลใหญ่ทั้งคู่อีก!”
ทุกคนราวกับน้ำมันที่กระเด็นออกจากกระทะ ไม่มีการเก็บงำแม้แต่น้อย น้ำเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไม่มีการแอบซ่อนใดๆ คืนหนึ่งมีคนตายถึงสองศพ เกรงว่าแม้แต่ตระกูลจิ่งก็คงเอาไม่อยู่แล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะวิพากษ์วิจารณ์อะไรคาดว่าก็คงไม่สนใจแล้ว
เทียบกับความตกตะลึงของทุกคนแล้ว จิ่งเหวินซานก็ราวกับใต้เท้าสั่นะเื หัวปวดหนึบจนเหมือนจะะเิแล้ว จิ่งเคอรีบยื่นมือไปประคอง แต่ตัวเขาเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไร จิ่งเฟิงกั๋วเองก็มีสีหน้ายากจะพูด ราวกับว่าในชั่วเวลาสั้นๆ นี้ยังไม่อาจทนรับได้
เขาพยายามสงบใจอยู่นาน จิ่งเหวินซานจึงค่อยๆ พูดว่า “หาเจอที่ใด ตายได้อย่างไร?”
จิ่งเคอพยายามฝืนสงบนิ่งอย่างเต็มที่ “ข้าง...ข้างบ่อน้ำร้อน นอกจากเขาแล้วยังมีหญิงรับใช้ผู้หนึ่ง รวมถึงผู้คุ้มกันทั้งสองคนของเขา ห้าอวัยวะตัน หกอวัยวะกลวง7 ล้วนแหลกละเอียดทั้งหมด แต่กลับไม่มีาแภายนอก”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น จิ่งเหวินซานและจิ่งเฟิงกั๋วก็ค่อยโล่งใจ อย่างน้อยนี่ก็ไม่ใช่ฝีมือคนตระกูลจิ่งแล้ว
จุดจวี้เชวี่ย1 (巨阙穴)อยู่บริเวณท้องตรงเส้นกึ่งกลางลำตัว เหนือสะดือขึ้นมาหกชุ่น
จุดชี่ห่าย2 (气海穴)อยู่บริเวณท้องน้อยใต้สะดือลงมาห้าชุ่น
จุดมิ่งเหมิน3 (命门穴)อยู่บริเวณหลัง
จุดชีเหมินทั้งซ้ายและขวา4 (左、右期门穴)อยู่บริเวณหน้าอกตรงช่องซี่โครงที่หก ห่างจากแนวกึ่งกลางลำตัวตามแนวระนาบมาประมาณสี่ชุ่น
จุดถานจง5 (膻中穴)อยู่บริเวณทรวงอกตรงช่องซี่โครงที่สี่บนแนวกึ่งกลางลำตัว
ยามจึ6 (子时)หมายถึงเวลาห้าทุ่มถึงตีหนึ่ง
ห้าอวัยวะตัน หกอวัยวะกลวง7(五脏六腑)ห้าอวัยวะตัน ได้แก่ ม้าม ปอด ไต ตับ และหัวใจ ส่วนหกอวัยวะกลวง ได้แก่ กระเพาะ ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก ซันเจียว (ส่วนที่ช่วยความคุมความอบอุ่นของร่างกายและลมปราณ อยู่บริเวณลำตัว มีทั้งหมดสามจุด) กระเพาะปัสสาวะ และดี
