โม่เสวี่ยถงคิดไม่ถึงว่าเวลาที่ต้องกลับบ้านจะเร่งด่วนถึงเพียงนี้ เช้าวันต่อมา จวนโม่ส่งจดหมายมาให้นางกลับบ้าน กล่าวว่าที่บ้านมีแขกมา ไม่ได้บอกให้ชัดเจนว่าเป็ผู้ใด เพียงบอกอย่างคลุมเครือว่าเป็าุโท่านหนึ่ง นางก็มิใคร่เข้าใจชัดแจ้งนัก เกิดความงุนงงสงสัยไปชั่วขณะ
เมื่อสกุลโม่มีผู้าุโมาหา สวี่เหล่าไท่จวินก็ไม่อาจรั้งนางให้อยู่ต่อได้ ยามนี้จึงได้แต่ต้องปล่อยให้โม่เสวี่ยถงกลับไปอย่างอาลัยอาวรณ์ ทั้งยังกำชับว่าต่อไปให้มาเยี่ยมบ่อยๆ
เมื่อกลับไปถึงเรือนของตน สาวใช้สองสามคนต่างเข้ามาช่วยกันจัดสัมภาระ ตอนมามีเพียงกระเป๋าสานใบใหญ่หนึ่งใบ ยามนี้มีของมาเพิ่มมากมายจนต้องบรรจุใส่ถึงห้าหกกระเป๋าจึงจะพอ
โม่เสวี่ยถงกำชับโม่หลันให้จัดเก็บข้าวของและทำความสะอาดให้เรียบร้อย แล้วก็ให้โม่เหอไปกล่าวอำลากับสวี่เยียน เมื่อคืนวานนางอ้างชื่อโม่ฮว่าเหวินตอบแทนน้ำใจคืนให้สวี่เยียน ด้วยการมอบแพรพรรณจำนวนหนึ่งให้แก่นาง แม้จะพูดอ้อมค้อมไปว่าเพื่อเป็การตอบแทนตามมารยาทที่อีกฝ่ายมอบแพรต่วนให้ แต่บิดาก็ยังไปเลือกเฟ้นของขวัญด้วยตนเอง
เพื่อส่งของขวัญคืนให้แทนบุตรสาว ถึงกับไปเลือกซื้อแพรต่วนมาให้เป็พิเศษ และคนผู้นี้ก็ยังเป็น้าคนเล็กของนางอีก หากใครฟังเื่นี้แล้วพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ย่อมรู้สึกแปลกใจ แต่โม่เสวี่ยถงกล่าวด้วยใบหน้าใสซื่อว่าโม่ฮว่าเหวินชื่นชมสวี่เยียนอย่างไรบ้าง แพรพรรณที่คัดสรรมาก็เหมาะสมลงตัวกับบุคลิกลักษณะของนางยิ่งนัก ทั้งยังบอกอีกว่าบิดากล่าวไว้ว่า หญิงงามเช่นน้าหญิง หากได้สวมอาภรณ์สีสันสดใสเหล่านี้ก็จะยิ่งขับเสริมความงดงาม
คำพูดนี้เปิดเผยตรงไปตรงมายิ่ง ทำให้สวี่เยียนเขินอายจนหน้าแดงก่ำ ไม่กล้าพูดคุยกับโม่เสวี่ยถงมากนัก บอกปัดเล็กน้อยพอเป็พิธีแล้วรับแพรต่วนเ่าั้ไว้ และด้วยเหตุนี้นางจึงมอบชามล้างพู่กันหยกแกะสลักลายบุปผาให้แก่โม่เสวี่ยถงเป็พิเศษ
ชามล้างพู่กันแบบนี้จะว่าสวยก็สวยอยู่ เพียงแต่ไม่ใช่แบบที่ดรุณีน้อยในห้องหอจะชมชอบ ลวดลายแกะสลักเป็รูปดอกเหมยชูช่อทะนงกลางหิมะ มีความเด็ดเดี่ยวเข้มแข็งยิ่ง ฐานรองหนาหนักและแข็งแรงเยี่ยงนี้ มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็ของเก่าแก่ที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นของสกุลสวี่เป็แน่ แต่กลับมิได้มีรูปแบบกระจุ๋มกระจิ๋ม น้ำหนักเบาหยิบจับง่ายเช่นเดียวกับที่สาวน้อยแรกรุ่นนิยมใช้กัน
โม่เสวี่ยถงรับไว้ด้วยความซาบซึ้ง กล่าวขอบคุณสวี่เยียนและบอกว่าในห้องหนังสือของท่านพ่อกำลังขาดของตั้งประดับเช่นนี้อยู่พอดี วันนี้นางจะขอยืมดอกไม้ถวายพระ[1] รับของขวัญชิ้นนี้ไว้มอบให้บิดาในวันพรุ่งนี้ สวี่เยียนเขินอายจนพูดอะไรไม่ออก นั่งหน้าแดงก่ำเป็ผลตำลึงสุกอยู่ตรงนั้น
เมื่อเห็นสวี่เยียนนิ่งเงียบสงวนวาจา โม่เสวี่ยถงก็ทราบว่าไม่อาจรีบร้อนกระทำการเกินไป จึงยิ้มแล้วพาคนกลับ เดิมทีคิดว่าอย่างไรจะต้องพูดให้ท่านน้ารู้สึกซาบซึ้งใจในตัวบิดาจนต้องไปกล่าวขอบคุณตามมารยาท คิดไม่ถึงว่าวันนี้จวนโม่จะส่งคนมาตามนางกลับ ยามนี้จึงได้แต่ให้โม่เหอไปบอกกล่าวกับน้าสาว ส่วนตนเองก็พาบ่าวไปอำลาาุโสกุลลั่วทีละคน
ท่านยายอยู่ในคฤหาสน์ชั้นใน ส่วนเรือนของท่านลุงรองและลั่วิจูต้องเดินไปอีกด้าน ขณะที่นางกำลังลังเลว่าจะเข้าไปพบท่านลุงเพื่อบอกกล่าวดีหรือไม่ ด้านหน้าก็มีคนถ่ายทอดคำสั่งมาว่านายท่านรองให้เชิญคุณหนูไปพบ นี่เป็ครั้งแรกที่ท่านลุงลั่วปินให้บ่าวมาตามนางไปพบ แม้แต่สวี่เหล่าไท่จวินก็ยังอึ้งงัน
บ่าวชายผู้มาตามกล่าวว่า “นายท่านรองรออยู่ที่ห้องหนังสือขอรับ ขอเชิญคุณหนูไปพบสักครั้ง”
ั้แ่มาพักอาศัยในจวนฝู่กั๋วกงแห่งนี้ จำนวนครั้งที่โม่เสวี่ยถงได้เจอกับท่านลุงรองแทบจะนับนิ้วได้ ทุกครั้งที่พบกันเขาก็เพียงยืนมองนางด้วยสีหน้าเรียบเฉย คำพูดแสดงความห่วงใยก็มีเพียงถ้อยคำเรียบง่ายสั้นๆ ในความทรงจำของนาง ท่านลุงรองมีลักษณะเฉยเมยเช่นนี้ตลอดมา ดูไม่ออกว่าชื่นชมยินดีกับสิ่งใด หรือไม่นิยมชมชอบสิ่งใด
แต่ท่าทางแบบนี้กลับทำให้โม่เสวี่ยถงรู้สึกยำเกรง รู้สึกเหมือนว่าดวงตาเฉยชาคู่นั้นล้ำลึกจนสามารถมองทุกสิ่งได้ทะลุปรุโปร่ง
นายท่านรองลั่วปินเป็ขุนนางที่มีชื่อเสียงผู้หนึ่งในราชสำนักแคว้นฉิน ยามนี้เขาดำรงตำแหน่งรองเ้ากรมอาญาซึ่งเป็ขุนนางขั้นสาม ทำหน้าที่เป็ขุนนางในสังกัดกรมอาญาที่ดูแลด้านกระบวนการกฎหมาย แม้จะมิได้เป็ขุนนางขั้นเอก แต่กลับมีอำนาจสั่งการอย่างแท้จริง ไม่ว่าผู้ใดล้วนแล้วแต่ไม่้าข้องเกี่ยวกับกรมอาญา หรือถูกคนของกรมอาญาติดตามกันทั้งสิ้น
ผู้ที่ทำหน้าที่อยู่ในหน่วยงานของกรมอาญาล้วนมีบุคลิกดุดันร้ายกาจ ส่วนมากก็จะมาจากสายผู้บัญชาการทหาร มีเพียงลั่วปินซึ่งเป็จอหงวนหรือราชบัณฑิตลำดับหนึ่งที่เข้ามารับหน้าที่นี้ ใครจะคิดว่าจอหงวนหนุ่มผู้งามสง่าบนหลังอาชายามแห่แหนไปทั่วเมืองผู้นี้ จะแล่นเข้าไปเป็ผู้ช่วยในกรมอาญาซึ่งมีแต่เหล่าผู้บัญชาการทหารทั้งกรมกอง ด้วยบุคลิกสุภาพเรียบร้อยงามสง่าต่างจากกิริยาท่าทางโผงผางของขุนพลเ่าั้ ทำให้ลั่วปินรับหน้าที่เป็เลขาธิการในกรมอาญาได้เป็อย่างดี
นอกจากนี้เขายังมาจากจวนฝู่กั๋วกงซึ่งเป็ตระกูลขุนศึก แม้จะทิ้งสายการทหารมาทำงานด้านอาลักษณ์ แต่ด้วยสายสัมพันธ์ของที่บ้านทำให้เขาเหมือนปลาได้น้ำยามที่อยู่ในกรมอาญา เขาเป็คุณชายรองของสกุลลั่ว แม้เป็บุตรภรรยาเอกก็ไม่อาจสืบทอดเป็ผู้นำตระกูล ตำแหน่งขุนนางขั้นสามไม่ใหญ่ไม่เล็ก เหมาะสมกับฐานะคุณชายของจวนฝู่กั๋วกง
โม่เสวี่ยถงรู้สึกมาตลอดว่าท่านลุงรองของนางผู้นี้ไม่ธรรมดา ด้วยฐานะของบ้านสกุลลั่ว ไม่อาจมีแม่ทัพใหญ่ได้อีกคน การออกมาเป็ขุนนางฝ่ายอาลักษณ์ย่อมเหมาะสมกว่ามาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งขุนนางที่มีตำแหน่งไม่สูงไม่ต่ำเช่นนี้ ทำให้สกุลลั่วไม่ถึงขั้นมีอำนาจล้นหลามจนเป็ที่คุกคาม และในทางเดียวกันก็ไม่ห่างเหินกับราชสำนัก ทั้งยังสามารถจับสังเกตความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ภายในราชสำนักได้ด้วย แล้วจะมีผู้ใดที่เหมาะสมกับตำแหน่งผู้ช่วยกรมอาญาไปกว่าลั่วปินผู้นี้อีกเล่า?
ชาติภพก่อน เมื่อสกุลลั่วตกต่ำลง ครอบครัวที่เสื่อมอำนาจวาสนาคือครอบครัวของท่านลุงใหญ่ ในยามนั้นท่านลุงลั่วปินแยกครอบครัวออกไปแล้ว ตอนที่โม่เสวี่ยถงสิ้นใจ แม้ว่าตำแหน่งขุนนางของลั่วปินจะไม่ได้เลื่อนขึ้น แต่กลับไม่ถูกลดตำแหน่งลง ยังคงมีอำนาจเป็อิสระอยู่ภายนอกตลอดมา ไม่ทั้งเข้าหาและไม่จากไปไกลนัก
เมื่อก่อนโม่เสวี่ยถงรู้สึกว่าลุงรองผู้นี้มีชีวิตอยู่ภายใต้รัศมีเจิดจ้าของท่านลุงใหญ่ แต่หลังจากกลับมามีชีวิตใหม่ครานี้ นางกลับไม่คิดเช่นนั้นอีก จวนฝู่กั๋วกงตกต่ำลงเป็ผลมาจากกระทำอันชั่วร้ายของซือหม่าหลิงอวิ๋น แต่ท่านลุงรองซึ่งแยกครอบครัวออกไปกลับสามารถตั้งตัวได้อย่างมั่นคง ไม่ว่ามองจากมุมไหน เขาย่อมเป็ผู้มีชั้นเชิงและฝีมือฉกาจฉกรรจ์
โม่เสวี่ยถงได้พบลั่วปินเพียงสองสามครั้ง แต่ละครั้งล้วนได้แต่คารวะทำความเคารพอยู่ห่างๆ ลั่วปินก็เพียงทักทายสองสามประโยคซึ่งไม่ใกล้ชิดหรือเ็าจนเกินไป นอกเหนือจากนั้นล้วนไม่มาเกี่ยวข้องด้วย แต่คิดไม่ถึงว่าวันนี้ท่านลุงรองจะให้คนมาเชิญนางเป็พิเศษ
“ถงเอ๋อร์เ้าไปก่อนเถอะ ลุงรองของเ้าคงมีธุระจำเป็จะคุยด้วย พอดียายยังต้องไปจัดเตรียมข้าวของอีกสองสามอย่างให้เ้านำกลับไปด้วย” สวี่เหล่าไท่จวินหัวเราะพลางกล่าวกับนาง แล้วสั่งให้คนเปิดกระเป๋ารื้อตู้เพื่อค้นหาสิ่งของกันวุ่นวาย กระเป๋าสานใบใหญ่หลายใบใบถูกนำมาวางเรียงและเปิดกางออก เบียดจนโม่เสวี่ยถงต้องเขยิบออกไปเกือบถึงหน้าประตู
เมื่อเห็นภายในห้องชุลมุนวุ่นวาย สวี่เหล่าไท่จวินก็แลดูคึกคักอย่างยิ่ง โม่เสวี่ยถงจึงไม่เข้าไปรบกวนท่านยายของตนอีก พาโม่เหอเดินตามบ่าวชายผู้นั้นออกมาเรือนชั้นนอก
ห้องหนังสือของลั่วปินอยู่ไม่ไกลจากประตูรอง แม้ว่าผู้นำตระกูลของจวนนี้คือลั่วเฉิง แต่ทั้งครอบครัวของลั่วเฉิงยกเว้นลั่วเหวินโย่วล้วนอยู่ที่ชายแดน ครอบครัวที่ยังอยู่ในจวนนี้คือครอบครัวของลั่วปิน ห้องหนังสือของเขาอยู่ใกล้กับประตูรองเพื่อความสะดวกสบายในการเข้าออก
นางยืนเกาะแขนโม่เหออยู่นอกห้องหนังสือ ชั่วขณะนั้นจิตใจคล้ายไม่สงบนิ่ง รู้สึกว่าท่านลุงรองผู้สุขุมเยือกเย็นมาโดยตลอดไม่น่าจะเรียกนางมาพบในสถานที่ส่วนตัวโดยไม่มีต้นสายปลายเหตุ ดูไม่ค่อยถูกต้องตามธรรมเนียมนัก หากมีธุระอันใดก็เพียงมาพบกับนาง และพูดคุยกันต่อหน้าสวี่เหล่าไท่จวินก็ได้ ไม่จำเป็ต้องเรียกหลานสาวที่ยังไม่มีกำหนดหมั้นหมายออกมาพบถึงเรือนชั้นนอกเช่นนี้
จะต้องมีเื่บางอย่างที่คิดปกปิดไม่ให้ท่านยายรู้
บ้านของตนมีเื่ที่น่าใอันใดที่ท่านลุงรองไม่อาจให้ท่านยายรู้ได้?
โม่เสวี่ยถงนับว่ามีชีวิตอยู่มาสองชาติภพยังคิดอะไรไม่ออก จึงได้แต่ยืนกระสับกระส่ายจิตใจไม่เป็สุขอยู่หน้าห้องหนังสือ
บ่าวชายเข้าไปรายงานอย่างรวดเร็ว ไม่ช้าก็ออกมาบอกว่านายท่านรองให้นางเข้าไปได้
ขณะที่กำลังเดินผ่านประตู บ่าวที่เฝ้าอยู่กลับขวางไม่ให้โม่เหอเข้าไป กล่าวว่านายท่านอนุญาตให้คุณหนูเข้าไปเพียงผู้เดียวเท่านั้น
โม่เสวี่ยถงหันกลับไปส่งสัญญาณให้โม่เหอหยุดรอที่นี่ แล้วหมุนตัวตามบ่าวชายเข้าไปด้านใน
การตกแต่งภายในดูไม่แตกต่างกับห้องหนังสือของโม่ฮว่าเหวินมากนัก เมื่อเข้าประตูมาก็เห็นโต๊ะทำงานตั้งอยู่ใกล้หน้าต่าง บนโต๊ะมีอุปกรณ์เครื่องเขียนทั้งพู่กัน กระดาษ แท่นฝนหมึกครบครัน ด้านข้างมีตราประทับวางอยู่หนึ่งชิ้นที่ยังมีรอยน้ำหมึกสีแดงจางๆ จากคราบน้ำหมึกที่เห็นดูเหมือนว่าจะเพิ่งถูกใช้ไปหมาดๆ
ตู้หนังสือขนาดใหญ่สองสามหลังไม่เพียงแต่มีตำราบางส่วน ยังมีเครื่องประดับตกแต่งชิ้นเล็กๆ วางอยู่จำนวนหนึ่ง มีอักษรภาพแขวนอยู่บนผนัง ตัวอักษรเฉียบคมสะท้อนน้ำหนักมือของผู้เขียนที่เปี่ยมไปด้วยพลังและความทะเยอทะยาน ตัวอักษรแบบนี้ไม่ควรจะมาปรากฏอยู่ในห้องหนังสือของบัณฑิตอย่างลั่วปิน อารมณ์ที่เต็มไปด้วยความรุนแรงที่เผยออกมาให้เห็นชัดเจนเช่นนี้ ดูแตกต่างจากความสุขุมเยือกเย็นของเขาโดยสิ้นเชิง
บุรุษวัยกลางคนอายุประมาณสามสิบสี่สิบปีนั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะทำงาน หน้าผากกว้างใบหน้าเรียวจมูกโด่งเป็สัน กลิ่นอายความเที่ยงธรรมแผ่ซ่าน สีหน้าเรียบเฉย กำลังนั่งเขียนบางอย่างอยู่บนโต๊ะ เมื่อเห็นโม่เสวี่ยถงเข้ามาจึงวางพู่กันลง ยิ้มอ่อนรับการคารวะจากหลานสาว แล้วผายมือบอกให้นางนั่งลงที่เก้าอี้ด้านข้าง
“ถงเอ๋อร์คุ้นเคยกับการอยู่ในจวนนี้แล้วหรือยัง?” ลั่วปินถามด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณท่านลุงรอง ถงเอ๋อร์อยู่สุขสบายอย่างยิ่งเ้าค่ะ” โม่เสวี่ยถงเงยหน้าขึ้นยิ้มตอบอย่างนุ่มนวล
“หากมีสิ่งใดไม่ชอบใจก็มาบอกลุงได้ คิดเสียว่าจวนสกุลลั่วแห่งนี้คือบ้านของเ้าเอง” ลั่วปินมองโม่เสวี่ยถงด้วยรอยยิ้ม เบื้องลึกในแววตามีประกายบางอย่างซึ่งนางเองก็ไม่มองไม่ออก คำพูดนี้ไม่ใช่ว่าควรพูดั้แ่ตอนที่นางเพิ่งมาถึงหรอกหรือ นี่ตนเองกำลังจะกลับอยู่แล้วไฉนลั่วปินจึงเพิ่งเอ่ยออกมา นางงุนงงสงสัยยิ่ง แต่ก็หาเหตุผลไม่ได้
ดีที่นางยังมองเห็นความเวทนาสงสารบางๆ ที่ฉายอยู่ในแววตาของเขา แม้ว่าจะอ่อนจางมาก แต่กลับอ่อนโยนอย่างยิ่ง ลั่วปินเป็ผู้ที่ควบคุมตนเองได้ดี แม้จะเห็นอยู่ว่ามีบุตรสาวเพียงคนเดียวคือลั่วิจู แต่ส่วนใหญ่แล้วเขาก็ยังคงสำรวมอารมณ์ความรู้สึก นางไม่เคยเห็นเขาแสดงความรักเช่นบิดาผู้มีความเมตตาแม้แต่กับบุตรสาวเพียงคนเดียว แต่ยามนี้โม่เสวี่ยถงเห็นความเวทนาสงสารในดวงตาของเขาชัดเจน ชั่วขณะนั้นก็รู้สึกอบอุ่นใจเป็พิเศษ ที่แท้ตนเองก็นึกหวาดระแวงไปเอง นางขบริมฝีปากข่มกลั้นความเศร้าสลดในหัวใจเอาไว้ ผลิรอยยิ้มอ่อนหวาน
“วันนี้เ้าต้องกลับไปแล้ว จำไว้ว่าต่อไปหากมีเื่ทุกข์ร้อนอันใดก็ขอให้บอก ลุงรองไม่กลัวความลำบาก” คำพูดนี้ไม่เพียงแต่แสดงความรู้สึกสงสาร แต่ยังเต็มไปด้วยความรักความอาทร
โม่เสวี่ยถงต้องขบริมฝีปากอย่างแรงจึงจะสามารถระงับเสียงสะอึกสะอื้นที่อยู่ภายใต้ลำคอ ที่แท้ไม่ได้มีเพียงลุงใหญ่ที่รักนาง เพื่อนางแล้วเขาถึงกับไปยืนขวางหน้าประตูเมืองหลวงไม่ยอมให้บิดาผ่านทางเข้ามาโดยไม่สนใจว่าตนเองจะมีฐานะเป็ถึงแม่ทัพใหญ่ คิดไม่ถึงว่าท่านลุงรองที่เป็คนเงียบๆ เก็บความรู้สึกไว้ภายในก็เป็เช่นเดียวกัน เมื่อชาติก่อนนางพลาดสิ่งใดไปบ้างกันแน่
ดวงตากลมโตคลอไปด้วยหยาดน้ำตามองมาที่ลั่วปิน รู้สึกพูดไม่ออก ได้แต่ฝืนกลั้นน้ำตาแล้วคลี่ยิ้มอย่างงดงาม พยักหน้าอย่างแรง ข่มความโศกเศร้าที่ม้วนเกลียวเป็ระลอกซัดสาดในหัวใจ
“เดี๋ยวเ้ากลับไป ฝากนำสิ่งนี้มอบให้บิดาของเ้าด้วย ลุงจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปอีกรอบ” ลั่วปินหยิบจดหมายฉบับหนึ่งจากแขนเสื้อด้านขวาส่งให้โม่เสวี่ยถง ้าของซองจดหมายสีน้ำตาลไม่มีตัวอักษรใดๆ เขียนอยู่ โม่เสวี่ยถงคลำซองบางๆ ในมือก็ไม่มีน้ำหนักใดๆ เลยแม้แต่น้อย
ในนี้ดูเหมือนจะไม่มีจดหมายใดเลยนี่นา
นางเงยหน้าขึ้นมองลู่ปินด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“จดหมายที่อยู่ด้านในมีเพียงบิดาเ้าผู้เดียวเท่านั้นที่จะอ่านได้ เป็เอกสารลับสำคัญมาก พอบิดาเ้าได้อ่านแล้วข้อความก็จะถูกทำลายไป รายละเอียดเหล่านี้เขาย่อมรู้” ดวงตาของลั่วปินฉายแววยิ้มอ่อนๆ ยื่นมือมาลูบศีรษะนางอย่างอ่อนโยนเช่นเดียวกับที่โม่ฮว่าเหวินชอบทำเป็ประจำ
เอกสารลับ? โม่เสวี่ยถงตะลึงพรึงเพริด นางไม่เข้าใจว่าขุนนางเล็กๆ ขั้นห้าเช่นบิดาของนางไฉนจึงมีความเกี่ยวข้องกับเอกสารลับในมือของจักรพรรดิจงเหวินตี้ได้ ลั่วปินเป็ขุนนางใหญ่ขั้นสาม โม่ฮว่าเหวินเป็ขุนนางขั้นห้า แม้ว่าจะเป็เอกสารลับสำคัญก็ควรจะเป็โม่ฮว่าเหวินส่งมอบให้ลั่วปินมิใช่หรือ ไฉนจึงกลายเป็ลั่วปินมอบให้โม่ฮว่าเหวินไปเสียเล่า
สิ่งที่ทำให้โม่เสวี่ยถงงุนงงมากที่สุดก็คือ นางไม่เคยรู้มาก่อนว่าลุงรองกับบิดามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แม้ว่าจะไม่มีอคติกับท่านพ่อเช่นท่านลุงใหญ่ แต่ลุงรองลั่วปินก็มักจะแสดงสีหน้าเ็าเมื่อพบเจอกับบิดาของนาง เป็ความเยือกเย็นชนิดที่หนาวเยือกออกมาจากกระดูก ไม่เหมือนเวลาที่พบเจอผู้อื่น ชาติก่อนตอนที่นางเข้ามาเมืองหลวงแล้ว แต่ยังไม่ได้แต่งงาน มีอยู่ครั้งหนึ่งนางเห็นลั่วปินออกมาจากห้องหนังสือของบิดา สีหน้าแข็งกร้าวดูน่ากลัว เขาผู้ซึ่งไม่เคยแสดงอะไรออกมาทางสีหน้ากลับเตะประตูของโม่ฮว่าเหวินจนพัง จากนั้นก็ไม่เห็นเขามาอีกเลย
ระหว่างบิดากับลุงรองมีความลับอยู่จริงๆ!
……………………………………………………………………………………………………...
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] ยืมดอกไม้ถวายพระ เป็สำนวนหมายถึง ใช้ของขวัญของผู้อื่นเป็ของขวัญกำนัลให้คนอีกคนหนึ่ง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้