ท่าทางหึงหวงของชายหนุ่มผู้นี้ ก็น่ารักไปอีกแบบนะเนี่ย
หลัวจิ่งถลึงตามองนางหนึ่งที “เ้ายิ้มอะไร? ข้ากล่าวไม่ถูกหรือ?”
“ฮ่าๆ เปล่าเลย เ้ากล่าวได้ถูกต้อง ขอโทษอย่างเดียวไม่มีประโยชน์จริงๆ ฉะนั้นเลยส่งคนคุ้มกันมาอย่างไรล่ะ” เจินจูกล่าวคำพูดคล้อยตามเขาออกมา
เด็กสาวผู้นี้ยังปกป้องผู้อื่นอีกหรือ? หลัวจิ่งอารมณ์เสียขึ้นมาทันที
เจินจูเห็นดังนั้นเลยรีบยิ้มตอบ “พอแล้วๆ เมื่อคืนเหนื่อยล้ามาทั้งคืน อย่าโมโหเพราะคนไม่สลักสำคัญเลย เ้าไปพักผ่อนสักหน่อยเถอะ”
คนไม่สลักสำคัญ? หลัวจิ่งได้ยินประโยคนี้สีหน้าก็ดีขึ้นมาทันที ที่แท้ในใจนางเขาผู้นั้นก็เป็เพียงคนไม่สลักสำคัญนี่เอง
เจินจูข่มอารมณ์อยากกลอกตามองบนไว้ พลางเม้มปากยิ้ม
เห็นแก่การทำงานหนักของเขาที่ฆ่าศัตรูเมื่อคืนนี้ ตามน้ำเขาไปสักหน่อยแล้วกัน
เจินจูให้หลัวจิ่งไปจัดการรูปแบบการลาดตระเวนของผู้คุ้มกัน ส่วนนางต้องครุ่นคิดงานของทั้งครอบครัวสกุลหูให้ดีก่อน
เื่เมื่อคืนต้องมีวิธีการกล่าวสักหน่อย แล้วยังมีผู้คุ้มกันที่มาใหม่นี่อีก คำพูดเหล่านี้ต้องมีการชี้แจงเล็กน้อย มารดาเถอะ เื่ไม่มีเค้ามูลเกิดขึ้นมามากมายนัก ช่างทำให้คนจะเป็บ้าอยู่แล้ว
ขณะที่หวังซื่อกับหูฉางหลินจูงผิงซั่นเข้ามา นางเรียบเรียงข้อแก้ต่างให้แก่ทุกคนทั้งเด็กและผู้ใหญ่สกุลหู รวมไปถึงจ้าวหงยู่อย่างรวดเร็ว
หูฉางกุ้ยแจ้งประกาศได้กะทันหันอย่างยิ่ง พวกเขาคิดหาเหตุผลไม่ได้อยู่บ้าง ยังดูดีๆ อยู่เลย เหตุใดจึงหยุดงานหนึ่งวันอย่างทันทีทันใดได้นะ
ใบรายการสั่งซื้ออาหารหมักของสือหลี่เซียงยังขาดอยู่อีกตั้งเยอะเลยด้วย
“ฉางกุ้ย ทำไมสีหน้าครอบครัวพวกเ้าแย่นัก? เกิดอะไรขึ้นหรือ?” หลังหวังซื่อเข้ามาในห้องโถงก็ถูกพวกเขาทั้งครอบครัวทำให้ใทันที
หลี่ซื่ออุ้มซิ่วจูอยู่บนเก้าอี้ สีหน้าท่าทางอ่อนล้า เมื่อคืนคนตายมากมายเพียงนั้น ต่อให้นางหลับตาก็เหมือนว่าสามารถเห็นเืสีแดงสดสาดไปทั่วได้
ซิ่วจูรู้สึกถึงความหวาดกลัวของหลี่ซื่อได้อย่างว่องไว จึงอยู่ในอ้อมอกนางอย่างเชื่อฟัง ไม่ได้ขยับตัว
“…ท่านแม่” มุมปากหูฉางกุ้ยขยับขยุกขยิก ทว่าไม่ได้กล่าวรายละเอียดอะไรออกมา
เจินจูถอนหายใจอยู่ข้างใน ช่างเถอะ ให้นางกล่าวแล้วกัน “ท่านย่า เมื่อคืนมีคนไม่ประสงค์ดีเข้ามาในลานบ้าน แต่ถูกยู่เซิง รองแม่ทัพหลัวกับอาจารย์ฟางไล่กระเจิงไปแล้วเ้าค่ะ”
“อะไรนะ!” หวังซื่อกับหูฉางหลินใอย่างมาก รีบซักไซ้ขึ้น
เจินจูเล่าเหตุการณ์ขึ้นหนึ่งรอบ แค่เปลี่ยนตอนจบไปเล็กน้อย ซึ่งก็คือพวกเขาไม่ได้ฆ่าคนตาย แต่เป็ไล่คนหนีไปได้แทน
หวังซื่อใบหน้าขาวซีด พวกเขาเป็เพียงครอบครัวเกษตรกรธรรมดาเอง เหตุใดจู่ๆ ก็เกี่ยวข้องไปถึงเื่ขององค์ไท่จื่อ ฮ่องเต้ และราชสำนักขึ้นมาได้?
หูฉางหลินก็ใจนคางเกือบจะร่วงหล่นลงไปบนพื้น
สองแม่ลูกได้แต่มองหน้ากันไปมา รู้สึกไม่อยากเชื่อเล็กน้อย
“เจินจู เ้าบอกว่าผิงอันาเ็?” หวังซื่อดึงสติกลับมาได้ นึกถึงคำพูดของเจินจูเมื่อครู่ขึ้น
“ใช่เ้าค่ะ ท่านย่า แขนของผิงอันได้รับาเ็” เจินจูพยักหน้า
“โธ่เอ๋ย หลานชายที่แสนน่ารักของข้า าเ็ถึงขั้นไหนนี่? ไม่ได้ ข้าต้องไปดูเขาสักหน่อย”
หวังซื่อไม่มีเวลาสนใจเื่อื่น รีบวิ่งไปลานด้านหลังทันที
“เจินจู เช่นนั้นตอนนี้ควรทำอย่างไรดี?” หูฉางหลินถูกเื่นี้ทำให้ใจนคิดอะไรไม่ออก
เมื่อหูฉางกุ้ยได้ยินดังนั้นก็มองไปทางเจินจูเช่นกัน ตอนนี้เขาก็ไม่รู้ว่าจะต้องจัดการอย่างไร
“ท่านลุง วันนี้พักผ่อนสักวันก่อน รออีกเดี๋ยวพอท่านอาเจิ้งกับท่านอาจ้าวมาถึง ค่อยให้พวกเขาสองคนรับผิดชอบหน้าที่ไปรับหมูโดยเฉพาะ ตอนนี้ท่านกับท่านพ่ออย่าเพิ่งออกไปข้างนอกเลยเ้าค่ะ” เจินจูไตร่ตรองอยู่เล็กน้อย นางเองก็ตัดสินใจไม่ได้เช่นกัน แต่ทางที่ดีที่สุดคือรอคอยอยู่ในบริเวณที่มีผู้คุ้มกันดูแลจะปลอดภัยกว่า
“ฮะ ต่อไปข้ากับพ่อเ้าจะออกจากบ้านไม่ได้?” หูฉางหลินใจนะโออกมา นั่นไม่ใช่ว่าเหมือนกับการถูกกักขังหรือ?
“ก็ไม่ใช่เช่นนั้นเ้าค่ะ รอสักพักหนึ่งค่อยว่ากันเถอะ”
“พักหนึ่งคือนานเพียงใด?”
“…ข้าก็ไม่ทราบเช่นกันเ้าค่ะ”
“…”
เจินจูปลอบขวัญพวกเขาเสร็จ รู้สึกความคิดและกำลังกายอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรงนัก ในใจก่นด่าพรรคพวกองค์ไท่จื่อั้แ่หัวแถวจรดปลายแถวหนึ่งรอบ
มารดามันสิ พวกนางเป็ชาวบ้านธรรมดาไร้ชื่อเสียงเรียงนามเช่นนี้ ล้วนต้องไล่ตามมาฆ่ากันด้วยระยะทางยาวไกลหลายพันลี้เลยหรือ การสะกดกลั้นจิตใจมีเพียงนิดเดียว คิดเล็กคิดน้อย หากให้เขาขึ้นเป็ฮ่องเต้เกรงว่าอาณาจักรต้าสยาคงจบเห่แน่แล้ว
เจินจูเกาศีรษะด้วยความคับแค้นใจ นางไม่ได้นอนมาทั้งคืน แล้วยังต้องมาจัดการแก้ปัญหางานให้ดีอีก การเป็นางนี่ไม่ง่ายเลย
สิ่งสำคัญที่สุดคือ มีอย่างที่ไหนต้องมาคอยระมัดระวังป้องกันคนไม่ประสงค์ดีใน่หน้าหนาวตลอดเวลาเช่นนี้ นางยิ่งคิดก็ยิ่งเดือดดาล ทันใดนั้นคิดประโยคหนึ่งขึ้นมาได้ว่า... การป้องกันที่ดีที่สุดคือการบุกโจมตี
ใช่แล้ว... จะเป็ฝ่ายถูกโจมตีเช่นนี้ไม่ได้ ต่อให้มีผู้คุ้มกันคอยเฝ้าระวังอยู่ แต่ในขณะเดียวกันตัวเองก็ถูกปิดล้อมอยู่กับที่ไปด้วย
หากเป็อย่างนั้น วิธีที่ดีที่สุดก็เปลี่ยนจากฝ่ายถูกกระทำเป็ฝ่ายกระทำสิ ในเมื่อองค์ไท่จื่อกากเดนที่คนต่างก็เกลียดชัง หรือแม้แต่สุนัขก็ยังรังเกียจผู้นี้้าชีวิตของพวกนาง เช่นนั้นก็เอาชีวิตน้อยๆ ของเขามาแลก
คิดถึงคนชุดดำมือสังหารที่ลงมืออย่างโเี้เมื่อคืน ั์ตาเจินจูก็มีความเย็นเยียบวาบผ่านขึ้นมาหนึ่งสาย
...เมื่อหลัวจิ่งจัดการปัญหาการลาดตระเวนของผู้คุ้มกันเสร็จ เขาก็กลับไปห้องโถง เห็นเด็กสาวนั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือ สีหน้าไม่เบิกบานรอบตัวมีบรรยากาศตึงเครียด
เขาก้าวเท้ายาวๆ เข้าไปใกล้ ร่างสูงชะลูดท่าทางเคร่งขรึมหยุดอยู่ตรงหน้านาง
“เป็อะไรไป? เหนื่อยหรือ? เ้าไปพักสักเดี๋ยวก่อนสิ มีเื่อะไรข้าจัดการเอง”
เสียงทุ้มต่ำอ่อนโยนของเขา แฝงไว้ด้วยความสงสารอยู่เล็กน้อยอย่างไม่รู้ตัว
เจินจูเงยหน้า ฉีกยิ้มส่งไปให้เขาหนึ่งที ใบหน้าเล็กขาวราวหิมะ สายตากลับหนักแน่น นางบอกใบ้ให้เขานั่งลง
หลัวจิ่งนั่งลงบนเก้าอี้ไท่ซือข้างนาง
“ยู่เซิง เ้าว่า หากองค์ไท่จื่อสิ้นแล้ว เื่ทั้งหมดจะง่ายขึ้นหรือไม่?”
เจินจูเข้าใกล้เขาพลางกล่าวหนึ่งประโยคเบาๆ
รูม่านตาของหลัวจิ่งหดเล็กลงทันที เด็กสาวผู้นี้รู้หรือไม่ว่าตัวเองกำลังกล่าวอะไรออกมา?
เขามองไปทางนาง กลับเห็นเพียงนางเลิกคิ้วมองตรงมาที่เขา สองคนสบสายตากันอยู่นานมาก
หลัวจิ่งปิดเปลือกตาลงฉับพลัน สี่ปีก่อน ตนเองประสบกับการฆ่าล้างทั้งตระกูลอย่างน่าเศร้าสลดใจ จุดเริ่มต้นของความเลวร้ายก็เป็องค์ไท่จื่อผู้นี้ เขาย่อมต้องอยากล้างแค้นให้คนในตระกูลอย่างแน่นอน แต่เขากับพี่ชายยังไม่มีความสามารถนั้น องค์ไท่จื่อนิสัยหวาดระแวงมาแต่กำเนิด ตำหนักบูรพาป้องกันรักษาอย่างเข้มงวด ออกมาข้างนอกก็มีองครักษ์ผู้ติดตามมากมาย ทั้งการเดินทางและพฤติกรรมยังเป็ความลับอีก หาก้าลอบสังหารเขาจึงไม่ง่ายอย่างที่คิด
“อย่าคิดเพ้อเจ้อ เื่ไม่ได้ง่ายดายเพียงนั้นเหมือนอย่างที่เ้าคิด ทั้งราชวงศ์สยาคนที่้าชีวิตองค์ไท่จื่อมีมากมายถมไป แต่จะมีสักกี่คนที่ทำได้ ฉะนั้นเ้าอย่าได้คิดเพ้อฝัน”
เจินจูได้ยินดังนั้น ความแวววาวในดวงตาไหววูบ “ในคนที่้าเอาชีวิตองค์ไท่จื่อ มีเ้าด้วยหรือไม่?”
นางถามออกมาตรงๆ เขาตกตะลึงนิ่งงัน
ไม่พูดไม่จาอยู่นาน จนในที่สุดก็เปิดปากเอ่ย “สี่ปีก่อน ก่อนที่ข้าจะพบเ้ากับท่านย่าของเ้า ข้าหลบหนีจากเมืองหลวงมาจนถึงเอ้อโจว แต่ท่านพ่อท่านแม่และคนในวงศ์ตระกูลทั้งหมดของข้า กลับต้องทิ้งชีวิตอยู่ที่เมืองหลวงไปตลอดกาล”
เสียงทุ้มลึกแฝงไว้ด้วยความเศร้าสลด เขาบอกเล่าเื่ราวแก่นางด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะน่าฟัง เล่ามูลเหตุของเื่ เื่ระหว่างนั้นและจุดจบของเื่ออกมาทีละอย่าง
ความโศกเศร้าเสียใจและความรันทดที่ทนเก็บมานานหลายปี เหมือนว่าหาที่ระบายจนเจอ ในดวงตาชายหนุ่มอายุสิบหกปีเต็มไปด้วยน้ำตาคลอ ทว่ายังกลั้นไว้ไม่ให้ร่วงหล่นลงมา
ฝ่ามือกำหมัดแน่น ร่างกายที่เพราะมีอารมณ์สั่นไหวจึงสั่นเทาขึ้นมาน้อยๆ
เจินจูเงียบสงบราวกับฟังเสียงที่อยู่ในใจของเขาเผยออกมา สายตาเศร้าสลดอยู่เงียบๆ ไปพร้อมกับเขา ไม่แปลกใจเลยที่ตัวเขาในตอนนั้นเพิ่งมาถึงสกุลหู ั์ตามีความโศกเศร้าและความโกรธแค้นอยู่ตลอดเวลา นอกจากพวกเขาสองพี่น้องที่สามารถรอดชีวิตมาได้ ทั่วทั้งสกุลหลัวหลายสิบชีวิตล้วนสิ้นชีพจมสู่ใต้ผืนพสุธาไปจนหมดสิ้น
หลัวจิ่งหายใจเข้าออกลึกๆ อยู่สองสามที สงบความรู้สึกภายในใจลง เื่เหล่านี้ช้าเร็วอย่างไรเขาต้องบอกแก่นาง อาศัยโอกาสครั้งนี้บอกออกไปก็ดีเหมือนกัน ในเมื่อเขาให้คำมั่นสัญญาว่าจะขอนางแต่งงานแล้ว เช่นนั้นต่อไปพวกเขาก็จะเป็ครอบครัวเดียวกัน เื่ในครอบครัวก็ต้องบอกกล่าวให้ทราบสักหน่อย
“สิ่งเหล่านี้ที่บอกแก่เ้า ข้าอยากจะบอกว่า สกุลหลัวจะอาฆาตแค้นไม่ยอมอยู่ร่วมโลกกับองค์ไท่จื่ออย่างเด็ดขาด แต่วิธีการเอาไข่ไปกระทบกับก้อนหินนั้นไร้ประโยชน์ องค์ไท่จื่อเป็โอรสที่สืบสายเืโดยตรง ขุนนางราชสำนักสนับสนุนเขาต่างมีมากมาย นอกตำหนักบูรพาของเขามีทหารองครักษ์เฝ้าลาดตระเวน ภายในมีทหารส่วนตัวหน่วยกล้าตายที่เขาเลี้ยงดูมาเอง ผู้คุ้มกันติดกายขณะออกเดินทางล้วนเป็ทหารส่วนตัวที่วรยุทธ์ฝีมือไม่ธรรมดา ฝึกซ้อมมาอย่างเข้มงวดอยู่ตลอด คนที่คิดจะลอบสังหารองค์ไท่จื่อ ยังไม่ทันเข้าถึงตัวเขาก็ถูกแทงจนพรุนแล้ว”
เขาตักเตือนจากใจจริงอย่างมีน้ำอดน้ำทน กลัวมากว่านางจะบุ่มบ่ามไปด้วยความใจกล้า กระทำการจนเกิดเื่ใหญ่ขึ้น
เจินจูเบะปาก ความสำเร็จขึ้นอยู่ที่คน [1] ร้อยความลับต้องมีหนึ่งแพร่งพราย [2] ไม่ว่ามาตรการป้องกันขององค์ไท่จื่อจะทำดีสักเท่าไร ก็ต้องมีตอนที่เขาออกมาเดินเที่ยวเตร่ด้านนอก หรือไม่ก็ไปเป็แขกสักที่ใดที่หนึ่งกระมัง ขอแค่ฉวยโอกาสลงมือใส่เขาสักหน่อย หึๆ ก็ให้เขาได้ตกนรกไปเสียเถอะ
นางเอียงศีรษะเข้าไปใกล้ เริ่มกระซิบกับเขาขึ้น
ใบหน้าหลัวจิ่งเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวขาว อยากโต้แย้งนาง ทว่ากลับถูกนางจ้องกลับมา
ผ่านไปพักหนึ่ง เจินจูจึงกล่าวอย่างโเี้ “ชิงกำจัดเขาทิ้งไปเสียแต่เนิ่นๆ ถึงจะเป็เื่ที่ถูกต้อง ตลอดทั้งวันอกสั่นขวัญแขวนเพียงนี้ ใช้ชีวิตได้ยากลำบากยิ่งนัก”
หลัวจิ่งเข้าใจความหมายของนาง เขาขมวดคิ้วแน่น “พวกมัน... จะไหวหรือ?”
“เ้าอยากทดสอบฝีมือพวกมันสักหน่อยไหมล่ะ?” เจินจูชำเลืองมองเขาปราดหนึ่ง
หลัวจิ่งเงียบสนิท เมื่อคืนมีคนชุดดำสองคนถูกกรงเล็บของเสี่ยวเฮยข่วนเข้าอย่างจัง คนหนึ่งตายคาที่ คนหนึ่งล้มลงกับพื้นเืสีแดงฉานไหลออกมาไม่หยุด รอยข่วนหนึ่งเส้นจนสุดปลาย ดูแล้วแหลมคมหาสิ่งใดเปรียบไม่ได้จริงๆ
“ผงยาที่เ้าว่า ใช่แบบที่โปรยออกไปเมื่อคืนนั่นหรือไม่?” เขาได้ยินหลัวสือซานรายงาน บอกว่านางโปรยผงอะไรสักอย่างไปทางคนชุดดำสองคน ผลสุดท้าย เวลาไม่กี่ลมหายใจ สองคนนั้นก็เริ่มสติลางเลือนเดี๋ยวหัวเราะเดี๋ยวร้องไห้ขึ้นมาจนผิดปกติ
“ใช่แล้ว นั่นเป็ผงของดอกม่านถัวหลัว ข้าพบอยู่บนูเา เป็ม่านถัวหลัวที่ต้นใหญ่อย่างมากต้นหนึ่ง ความร้ายแรงของพิษยิ่งกว่าม่านถัวหลัวทั่วไปนัก ใช้การได้ดียิ่ง” เจินจูยิ้มไปกล่าวไป
“…เ้ารู้ได้อย่างไรว่านั่นเป็ม่านถัวหลัว?”
“มันเติบโตได้ไม่เหมือนสิ่งอื่นใดเพียงนั้น เคยเห็นครั้งเดียวก็รู้แล้ว”
หลัวจิ่งหมดคำพูดไปพักหนึ่ง เด็กสาวผู้นี้เหตุใดหยุดพักสักหน่อยไม่ได้เลยหรือ ตลอดทั้งวันจากเช้าจรดเย็นทำสิ่งของอะไรก็ไม่รู้เหล่านี้ นางเรียนรู้การเป็สตรีที่เรียบร้อยงดงามสักหน่อยได้หรือไม่
ราวกับรู้ความในใจของเขา เจินจูจงใจมองโต้กลับเขาหนึ่งที หากไม่ใช่ว่านางทำของเหล่านี้ เกรงว่าเมื่อวานพวกนางทั้งครอบครัวคงไม่สามารถรอได้ถึงตอนที่พวกเขามาช่วยแล้ว
แน่นอนว่าหลัวจิ่งย่อมทราบดี ฉะนั้นเขาจึงทำได้เพียงส่ายหน้าอย่างจนปัญญา
“ข้าตั้งใจจะไปเมืองหลวงสักรอบให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้” เจินจูกล่าว หากเื่ราวยิ่งยืดยาวออกไปก็ยิ่งทำให้สกุลหูยากลำบาก กำจัดทิ้งไปเสียแต่เนิ่นๆ จะดีที่สุด
หลัวจิ่งกุมศีรษะ ถามขึ้นอีกครั้งหนึ่งอย่างอดไม่ได้ “เ้าคิดว่าพวกมันจะไหวจริงๆ ใช่หรือไม่?”
“แน่นอนสิ พวกมันร้ายกาจมากเลยนะ” เจินจูกล่าวยืนยันอย่างยิ้มกว้าง
ในเมื่อนางกล่าวเช่นนี้ หลัวจิ่งจึงใคร่ครวญอยู่พักหนึ่ง กลับไปเมืองหลวงสักรอบก็ดี เขายังมีเื่ที่ต้องจัดการอยู่ไม่น้อยเช่นกัน ส่วนเื่ที่นางกล่าวเมื่อถึงเวลาสบโอกาสจริงๆ ก็น่าจะสามารถลงมือได้
“ได้ เ้าคิดจะออกเดินทางเมื่อไร ข้าจะไปเป็เพื่อนเ้า”
คำพูดหนึ่งประโยค ดีเสียยิ่งกว่าคำพูดมากมายนับไม่ถ้วน รอยยิ้มบนใบหน้าเจินจูผลิบานออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
...รุ่งสางของสองวันต่อมา
รถม้าสองเกวียนเคลื่อนออกจากหมู่บ้านวั้งหลิน อย่างหนึ่งนำหน้า หนึ่งตามหลัง โดยมีผู้คุ้มกันหนึ่งหน่วยคอยขนาบข้างเดินทางไปด้วย
“ท่านพี่ นานเท่าไรกว่าพวกเราจะไปถึงเมืองหลวง?”
ผิงอันดั่งนกน้อยที่ถูกปล่อยบินออกสู่โลกกว้างก็ไม่ปาน ตื่นเต้นดีใจเสียจนแทบจะทะลุออกไปจากหลังคาเกวียน หากไม่ใช่ว่าแขนซ้ายของเขาาเ็อยู่ เขาแทบอยากกางแขนสองข้างออกและะโเสียงดังอยู่สองทีเลยทีเดียว
“ประมาณสิบกว่าวันกระมัง”
เจินจูก็อารมณ์ดีมากเช่นกัน มาถึงยุคนี้ตั้งนานเพียงนี้ เป็ครั้งแรกเลยที่ออกห่างจากบ้านมาไกล
“ท่านพี่ พวกเราไปเมืองหลวงต้องอยู่บ้านพี่สาวสกุลโหยวหรือ?”
ข้ออ้างในการออกเดินทางครั้งนี้ บอกแก่คนภายนอกว่าโหยวอวี่เวยเชิญพวกนางไปเที่ยวเล่นที่เมืองหลวง ส่วนสิ่งที่บอกกับคนในครอบครัวเป็การส่วนตัวคือ ไปหากู้ฉีเพื่อช่วยกันคิดวิธีแก้ปัญหา พวกเราจะนั่งรอความตายอยู่เฉยๆ โดยไม่ทำอะไรไม่ได้
การออกเดินทางไกลของนางสำหรับหูฉางกุ้ยกับหลี่ซื่อแล้ว แสดงความกังวลออกมาอย่างมาก พวกเขายังสุขสงบใจจากการลอบสังหารในคืนนั้นไม่ได้ เสาหลักของบ้านกลับจะออกไปไกลถึงเมืองหลวงที่อยู่ด้านนอกหลายพันลี้เสียนี่
หลี่ซื่อทุกข์ใจจนน้ำตาแทบร่วงหล่นลงมา นางไม่ได้กล่าวห้ามการออกเดินทางของเจินจู ทว่ากลับใช้สายตาโศกเศร้าเสียใจมองมาที่นางอยู่ตลอด
เจินจูแสดงออกว่าจนปัญญาอย่างมาก แต่การเดินทางครั้งนี้ไม่ไปไม่ได้ จึงทำได้เพียงโบกมืออำลาท่ามกลางน้ำตาคลอของหลี่ซื่อ
เชิงอรรถ
[1] ความสำเร็จขึ้นอยู่ที่คน หมายถึง ความสำเร็จทุกอย่างอยู่ที่การกระทำของเรา
[2] ร้อยความลับต้องมีหนึ่งแพร่งพราย หมายถึง ต่อให้กระทำการรอบคอบแค่ไหน ก็ต้องมีสิ่งที่ประมาทเล็ดลอดไปสักเล็กน้อย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้