เกาจิ่วไม่พูดให้มากความ จึงโอนย้ายโฉนดให้แก่นางแล้วเอ่ย “ในเมื่อเ้า้าโฉนดสีแดง พวกเราคงทำที่ตำบลไม่ได้ หากเ้าเชื่อใจข้า อีกไม่กี่วันก็ให้ไปเปลี่ยนโฉนดสีขาวให้เป็โฉนดสีแดงพร้อมกันกับข้าในอำเภอ”
แม้ว่าจะทำการโอนแล้วและมีพยานบุคคลที่เห็นว่าบ้านนั้นเป็ของหลิวเต้าเซียง แต่การจะเปลี่ยนเป็โฉนดสีแดงก็ยังต้องไปที่ทำการอำเภอ
หลิวเต้าเซียงคํานวณในใจ ตัวนางยังไม่เคยไปในอำเภอ ยิ่งไม่รู้ว่าตื้นลึกหนาบางว่าในนั้นเป็อย่างไร สู้ปล่อยให้มีคนนำเพียงผู้เดียวดีกว่า จึงตอบรับตามนั้น
เหตุผลที่นางร่าเริงมากก็เพราะเกาจิ่วเป็เ้าของร้านอาหารที่ร่ำรวย และเพราะหัวหน้าครัวเรือนต้องระบุชื่อของนาง ส่วนหนึ่งในพยานบุคคลก็จะมีหัวหน้านายทะเบียนครัวเรือน
หัวหน้านายทะเบียนครัวเรือนคือคนที่อำเภอส่งมาดูแลตำบลเหลียนซาน ตำแหน่งเทียบเท่ากับเป็กำนันตำบลด้วย
สำหรับเหตุผลที่ให้ชื่อของนางก็เพราะหลิวซานกุ้ยบอกว่า เดิมทีเงินนี้นางเป็คนหามาได้
“เื่นี้ต้องรบกวนนายท่านจิ่วด้วย” หลิวเต้าเซียงเกรงใจเล็กน้อย
เกาจิ่วโบกมือ “ไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหา จะบอกว่าข้าต้องไปที่อำเภอเพื่อทําธุระหน่อย แล้วยังเห็นแก่ความเป็มิตรของสหายข้า ถึงอย่างไรก็ต้องช่วยเขาจัดการเื่ราวให้เหมาะสม”
หลังจากตัดสินใจ วันรุ่งขึ้นสองพ่อลูกก็ไปในอำเภอและจัดการเปลี่ยนเป็โฉนดสีแดงเรียบร้อยพร้อมกับเกาจิ่ว
เกาจิ่วมีบางอย่างต้องทําจริงๆ หลิวเต้าเซียงแสดงท่าทีเสียใจว่าคราวนี้ได้เข้ามาในอำเภอเป็ครั้งแรก แต่ราวกับตือโป๊ยก่ายกินมักกะลีผล [1] ที่มาไวไปไว
หลังอาหารค่ำผ่านไป เมื่อเห็นว่าหลิวฉีซื่อกับหลิวซุนซื่อต่างก็พักผ่อนในห้องแล้ว
ครอบครัวของหลิวเต้าเซียงก็นั่งล้อมอยู่ตรงคั่ง
จางกุ้ยฮัวย้ายหลิวชุนเซียงที่กําลังหลับใหลเข้าไปในคั่งและถามด้วยเสียงต่ำว่า “ครอบครัวของเราซื้อบ้านจริงหรือ?”
“อืม ซื้อแล้ว นายท่านจิ่วบอกว่า เขารู้จักคนมาก จะช่วยดูว่ามีผู้ใด้าเช่าบ้านหรือไม่” หลิวซานกุ้ยกลับมาจากอำเภอและเขายังคงอยู่ในภวังค์
ถ้าเขาไม่ได้เห็นโฉนดสีแดงจริงๆ พูดอย่างไรเขาเองก็คงไม่เชื่อ แต่่เวลาสองเดือนที่ผ่านมา ครอบครัวของเขาเริ่มจากการไม่มีข้าวกินจนมาถึงการซื้อบ้านอย่างง่ายดาย
แม้ว่าการมีบุตรสาวที่เก่งกาจจะสร้างความกดดันให้ผู้เป็พ่อ แต่เขาก็ชื่นชอบใจอย่างมาก
หลังจากจางกุ้ยฮัวฟัง ก็ถามอย่างไม่สบายใจว่า “เราจะรบกวนนายท่านจิ่วคนนั้นเกินไปหรือไม่?”
ในใจของนาง นายท่านผู้มั่งมีทั้งหลายล้วนพูดคุยไม่ง่าย การไม่ถูกพวกเขาด่าว่าผียากจน บ้านนอก ก็นับว่าเป็บุญที่สั่งสมมาหมื่นชาติแล้ว
หลิวซานกุ้ยคิดเกี่ยวกับเื่นี้และพูดว่า “วันรุ่งขึ้นข้าจะไปพบอาจารย์ รอตกลงเื่นี้เรียบร้อย ข้าจะหาวันส่งของป่าไปให้นายท่านจิ่ว พวกเขาเป็นายท่าน คงไม่ได้ขาดแคลนอะไร เว้นเสียแต่ของป่าหายากเ่าั้”
เขาไปทํางานชั่วคราวข้างนอกนานหลายปี ได้ยินมาว่าคนมีเงินล้วนแต่ชอบวางมาดทั้งนั้น
จางกุ้ยฮัวโล่งใจทันที แต่ของป่านี้พอมีมูลค่าของมัน การมอบให้นายท่านจิ่วนับว่าเป็ของกำนัลที่เหมาะสม
หลิวเต้าเซียงนั่งอยู่ด้านข้าง ไม่มีเวลาฟังพ่อและแม่ผู้แสนดีคุยกัน นางกำลังคำนวณในใจว่าหนนี้ได้กำไรมาทั้งหมดเท่าไร
นางคํานวณว่าเมื่อวานนี้มีค่าใช้จ่ายสิบอีแปะในการกินก๋วยเตี๋ยว ส่วนปลาเฉากับปลาหลี่อวี๋ได้มาหนึ่งร้อยสิบหกอีแปะ
สูตรอาหารสองชนิดได้มาอีกสองร้อยห้าสิบตำลึง แต่เงินนั้นมาไวก็หายไปไว ซื้อบ้านไปสองร้อยตำลึง จ่ายภาษีค่าโฉนดไปยี่สิบตำลึง บวกกับค่าต่างๆ ก็จ่ายไปอีกห้าตำลึง
ตอนนี้ ในคลังเก็บของของนางสะสมได้ทั้งหมดสามสิบเอ็ดตำลึงกับเจ็ดร้อยเก้าสิบอีแปะ
เมื่อนางได้สติอีกที หลิวซานกุ้ยได้บอกจางกุ้ยฮัวเกี่ยวกับเื่ที่วันรุ่งขึ้นจะไปพบกับอาจารย์
“ท่านพ่อ พิธีถวายถาด [2] คืออะไรหรือ?” นางเคยได้ยิน แต่ไม่ค่อยเข้าใจ “การคำนับอาจารย์ต้องมีซู่ซิวไม่ใช่หรือ?”
หลิวซานกุ้ยจําเหตุการณ์ที่คำนับอาจารย์เพื่อขอเข้าเป็ศิษย์ในเวลานั้นได้รางๆ เขายิ้มแล้วเอ่ย “พิธีถวายถาดคือของกำนัลการพบกันเมื่อเข้าพบอาจารย์ ทั่วไปแล้วต้องใช้เนื้อหมูสองกิโลกรัมครึ่ง พร้อมกับผักห้าชนิด ส่วนซู่ซิวนั้นเป็สิ่งที่ราชสำนักกำหนดไว้ จำต้องเป็ค่าเล่าเรียนให้แด่อาจารย์”
เมื่อจางกุ้ยฮัวได้ยินว่า้าเนื้อหมูสองกิโลกรัมครึ่ง พลันรู้สึกลำบากใจ จึงเอ่ย “จะมากเกินไปหน่อยหรือไม่ เนื้อหมูราคาแพงนัก”
“ท่านแม่ ราคาเนื้อหมูเป็เช่นไร?” หลิวเต้าเซียงไม่เคยซื้อเนื้อหมู ดังนั้นนางจึงไม่รู้ว่าราคาหนึ่งกิโลกรัมเป็เท่าไร
“โดยทั่วไปเนื้อหมูจะอยู่ที่สามสิบอีแปะต่อหนึ่งกิโลกรัม แต่ไขมันปีกหลังราคาสี่สิบอีแปะต่อหนึ่งกิโลกรัม ส่วนน้ำมันคือสามสิบหกอีแปะต่อหนึ่งกิโลกรัม”
จางกุ้ยฮัวกล่าวว่าน้ำมันก็คือ ไขมันในส่วนท้องของหมู ส่วนไขมันปีกหลังที่แพงกว่าเพราะว่าส่วนสันหลังของหมูมีไขมันที่สามารถมาเจียวเป็น้ำมันหมูซึ่งหอมกว่า คนส่วนใหญ่ที่กินน้ำมันหมูล้วนซื้อจากส่วนนี้
หลิวเต้าเซียงคิดดู พ่อของตนถึงอย่างไรก็ต้องเล่าเรียน แต่มิอาจมาขอเงินกับนางได้ตลอดทุกครั้ง เช่นนั้นมันไม่สมควร
เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงเอามือเข้าไปในอก อันที่จริงก็คือคลังเก็บของในห้วงมิติ แล้วหยิบเงินออกมาหนึ่งตำลึงกับเจ็ดร้อยเก้าสิบอีแปะ
“ท่านแม่ นี่คือเงินหนึ่งตำลึงกับเจ็ดร้อยเก้าสิบอีแปะ ท่านแม่เอาไว้ก่อน” นางยื่นก้อนสีเงินหิมะกับพวงทองแดงแปดพวงให้จางกุ้ยฮัว
จางกุ้ยฮัวนับเงินเป็แล้ว ด้วยเหตุนี้จึงไม่ต้องให้หลิวเต้าเซียงบอกอย่างละเอียด
“ข้าไม่อาจรับเงินไว้มากมายเช่นนี้ เกิดวันใดย่าของเ้านึก้าเงินเล่า?”
หลิวเต้าเซียงยิ้ม “วันรุ่งขึ้นต้องจัดเตรียมของพิธีถวายถาดกับซู่ซิว หมึกกับพู่กันของท่านพ่อก็ต้องใช้เงิน คิดว่าคงพอสำหรับ่นี้ ท่านแม่ ท่านเก็บเอาไว้อย่างวางใจเถิด หากว่าท่านย่าถามขึ้นมาจริง ก็บอกว่าใช้ไปแล้ว อีกอย่าง ท่านพ่อต่อไปก็ต้องจับปลาไปขายและมีเงินเข้ามาอีกทุกวัน”
สองวันนี้เพราะหลิวซานกุ้ยกับนางเข้าออกบ้านด้วยกัน หลิวเต้าเซียงยังไม่มีโอกาสในการเอาไข่ไปแลกข้าวสาร ในบ้านจึงได้กินเพียงโจ๊กข้าวร่วน เนื้อวัวตุ๋นก็กินจนหมดแล้ว วันรุ่งขึ้นจึงได้แต่กินโจ๊กข้าวร่วนคู่กับไข่เยี่ยวม้าแทน
“พอดีเหลือเกิน สองวันมานี้ชิวเซียงไปเก็บเห็ดหูหนูได้ที่หลังเขา วันรุ่งขึ้นข้าจะไปเก็บผักสดๆ มาหน่อย น่าจะพอได้สักห้าอย่าง” จางกุ้ยฮัวประหยัดจนเคยตัว สิ่งที่สามารถประหยัดได้นางก็ไม่มีทางจ่ายเงินเพื่อซื้อมา
หลิวซานกุ้ยพอใจมากกับการวางแผนของจางกุ้ยฮัวและกล่าวว่า “ข้าคิดว่าครอบครัวของอาจารย์ก็ไม่ได้ใหญ่มากนัก วันพรุ่งนี้ซื้อไขมันปีกหลังสักหนึ่งกิโลกรัมครึ่ง แล้วก็เนื้อติดมันอีกหนึ่งกิโลกรัม อาจารย์ท่านนั้นเป็พวกชอบดื่ม ก็ค่อยเอาสุราอีกสักหนึ่งกิโลกรัม พร้อมกับซู่ซิวไปก็พอ”
จางกุ้ยฮัวคํานวณในใจ พอคิดเช่นนั้นก็สามารถประหยัดได้สองร้อยอีแปะ แล้วยังต้องซื้อหมึก พู่กันและกระดาษให้หลิวซานกุ้ยอีก
หลังจากคิดดู จึงหยิบเงินหนึ่งตำลึงให้แก่เขา “เดาว่าเท่านี้คงพอซื้อทั้งหมดได้แล้ว”
“ท่านแม่ วางใจได้ หากไม่พอที่ข้ายังมีอีก” หลิวเต้าเซียงคิดว่าการหาเงินมาก็เพื่อใช้จ่าย มิเช่นนั้น จะหามาด้วยเหตุใด
จางกุ้ยฮัวว่ากล่าวนางเล็กน้อย เงินที่มาด้วยความบังเอิญนั้นไม่ง่าย ต้องประหยัดหน่อย
หลิวเต้าเซียงฟังแล้วหน่ายใจ จึงเอ่ย “ท่านแม่ แม้ว่าค่าเช่าบ้านจะได้ไม่เยอะมากนัก แต่อย่างน้อยก็ดีตรงที่รับประกันว่าได้แน่นอน ไม่เหมือนการทำนา ต้องอาศัยลมฟ้าอากาศถึงจะมีข้าวกิน”
การเก็บเกี่ยวดีก็สามารถสร้างรายได้มากขึ้น แต่หากไม่ดีก็สร้างรายได้ได้น้อย
จางกุ้ยฮัวได้ยินดังนั้นก็ไม่พูดให้มากความ เพียงแต่ไล่ให้ทั้งสองพี่น้องไปนอน
หลิวชิวเซียงรอจนกระทั่งนอนลงบนคั่ง จึงแอบถามหลิวเต้าเซียงเสียงค่อย “น้องรอง ครอบครัวเราซื้อบ้านได้แล้วจริงหรือ สองร้อยตำลึงจริงหรือ?”
“อืม!” หลิวเต้าเซียงตอบอย่างสบายๆ และหาวอย่างแรง หลังจากวิ่งวุ่นอยู่สองวันจึงรู้สึกเหนื่อยล้าเต็มที
“เ้าหยิกข้าหน่อย เร็วเข้า!” หลิวชิวเซียงเอื้อมมือออกไปและดันแขนของนาง
เปลือกตาของหลิวเต้าเซียงกําลังต่อสู้กันอยู่ในเวลานี้ และนางก็หาวจนน้ำตาซึมออกมาแล้วเอ่ยถาม “ท่านพี่ ทำอะไรน่ะ มีอะไรค่อยคุยกันวันรุ่งขึ้น”
“เ้ารีบหยิกข้าก่อน ข้าไม่เชื่อ นี่มันคือความฝันหรือไม่” หลิวชิวเซียงเพิ่งพูดจบ หลิวเต้าเซียงก็ไม่พูดจา แล้วเอื้อมมือออกไปหยิกแขนของนางเต็มแรง
จากนั้นก็ได้ยินเสียงเ็ปของหลิวชิวเซียง จึงคิดในใจ ในที่สุดก็จะได้นอนหลับดีๆ สักที
อย่างไรก็ตาม เสียงของหลิวชิวเซียงก็ดังอยู่ข้างหูอีกครั้ง “โอ๊ย เจ็บจัง นี่ไม่ได้ฝันไปจริงๆ ด้วย ที่แท้บ้านเรากำลังจะร่ำรวยแล้ว”
หลิวเต้าเซียงหลับไปพร้อมกับเสียงพึมพำของหลิวชิวเซียง
นางรู้ว่าสำหรับหลิวชิวเซียงผู้ขี้ขลาดแล้ว ครอบครัวเล็กๆ นี้มีการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่หลวงเกินไปในสองเดือนนี้ นางยัง้าเวลาในการปรับตัวสักระยะ
พริบตาเดียวก็ถึงเวลาที่ต้องตื่นขึ้นมายามเช้าอีกครั้ง
หลิวเต้าเซียงนอนหลับลึกเกินไป จางกุ้ยฮัวเขย่าอย่างไรก็ไม่ตื่น เดิมทีหลิวซานกุ้ย้าไปเพียงผู้เดียว แต่ในใจก็มีความหวาดหวั่นเล็กน้อย สองวันมานี้การเจรจากับเกาจิ่ว ส่วนมากก็มีหลิวเต้าเซียงเป็คนออกหน้าเสียมากกว่า
เขาคิดจะไปพบอาจารย์ บุตรสาวคนรองของตนนั้นกล้าหาญ การมีนางเป็ขวัญกำลังใจคอยอยู่เคียงข้างจะทำให้เขาสามารถสงบจิตสงบใจได้มากกว่า
เมื่อคิดเช่นนี้ เขาก็จัดการใช้ผ้าห่มผืนบางมาม้วนตัวหลิวเต้าเซียงแล้ววางใส่ในตะกร้าใบใหญ่ที่หามา จากนั้นก็แบกขึ้นหลังเพื่อเข้าไปในตำบล
หลิวเต้าเซียงตื่นขึ้นเพราะแสงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่อง
วันนี้หลิวซานกุ้ยต้องไปพบอาจารย์ จึงไม่ได้ไปจับปลาที่แม่น้ำ
หลิวเต้าเซียงหาวหนึ่งที เดิมทีคิดอยากจะบิดี้เี แต่เพิ่งพบว่าตนเองนั่งอยู่ในตะกร้า
หลิวซานกุ้ยรู้สึกว่ามีการเคลื่อนไหวในตะกร้า จึงเอ่ยถามโดยไม่ได้หันศีรษะไปมอง “ลูกรัก ตื่นแล้วหรือ?”
น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจของเขานั้นฟังออกได้ไม่ยาก
หลิวเต้าเซียงเข้าใจว่าพ่อผู้แสนดีของตนนั้นมีความปรารถนาต่อการเล่าเรียนจนยากจะบรรยายออกมา
ยิ่งไปกว่านั้น เดิมทีเขามีความสามารถในการมองผ่านๆ แล้วจำได้ หากไม่ใช่ว่าหลิวฉีซื่อมาดักทางไว้ เกรงว่าเขาคงเป็ผู้เป็คนมากกว่านี้นานแล้ว
“ท่านพ่อ ปล่อยข้าลงเดินเถิด ขาของข้าเริ่มชาแล้วราวกับมีเข็มทิ่มแทง” หลิวเต้าเซียงพึมพำขอลงมาเดินด้วยตนเอง
หลิวซานกุ้ยได้ยินดังนั้นจึงรีบหาพื้นราบเพื่อวางตะกร้า จากนั้นก็อุ้มบุตรสาวออกมาแล้ววางลงบนพื้น เอื้อมมือไปนวดขาสั้นๆ ของนาง “เท้าข้างไหนที่เมื่อย พ่อจะนวดให้เ้า”
“ทั้งสองข้างเลย” หลิวเต้าเซียงโอบแขนรอบคอของผู้เป็พ่อ และเคลิ้มกับความรักใคร่เอ็นดูนี้
หลังจากที่หลิวซานกุ้ยนวดให้นางราวสิบนาที หลิวเต้าเซียงถึงรู้สึกว่าน่องของนางไม่ชาเท่าไรแล้ว ทั้งเดินเหินได้รวดเร็วขึ้นพร้อมกับเืที่ไหลเวียนดีขึ้น อีกสักพักก็น่าจะไม่เป็อะไรแล้ว
ดังนั้นนางจึงอ้างว่าเวลาสายมากแล้ว ทั้งสองยังต้องไปซื้อของในตำบลอีก
หลิวซานกุ้ยเห็นว่าใบหน้าของนางดูดีขึ้นมาก เขาจึงจูงมือนางเดินไปตำบล
เมื่อไปถึง เขาก็ไปหาร้านขายเนื้อหมูในตลาดก่อน จากนั้นก็ซื้อเนื้อหมูปีกหลังติดมันมาหนึ่งกิโลกรัมครึ่ง บวกกับเนื้อติดมันอีกหนึ่งกิโลกรัม แล้วก็สุราอีกหนึ่งกิโลกรัม แล้วจึงพาหลิวเต้าเซียงไปบ้านแม่เฒ่าจาง
เมื่อทั้งสองมาถึงบ้านของแม่เฒ่าจางก็พบว่าคนที่อยู่บ้านคือพ่อครัวจาง อีกทั้งได้บังเอิญเจอกับบุตรชายและลูกสะใภ้ของเขาด้วย
ทั้งสองทักทายคนทั้งครอบครัว จากนั้นหลิวซานกุ้ยก็หยิบผักหลายชนิดที่จางกุ้ยฮัวเตรียมมามอบให้พ่อครัวจาง
เื่นี้ยังต้องรบกวนพ่อครัวจางและภรรยาของเขาที่จะช่วยจัดการเื่ราวให้
เขาไม่ได้ปฏิเสธ จึงยิ้มแล้วรับไว้ บอกหลิวซานกุ้ยว่าหากมีเวลาว่าง ให้มาหาเขาเพื่อดื่มสุราด้วยกัน
จากนั้นพ่อครัวจางก็พาหลิวซานกุ้ยและหลิวเต้าเซียงไปที่บ้านของกัวซิวฝาน
“ซิวฝาน อยู่บ้านหรือเปล่า?”
เสียงของหญิงชราคนหนึ่งดังขึ้นในลานบ้าน “ใคร?”
ไม่นานก็ได้ยินเสียงฝีเท้าในลานบ้าน แล้วประตูบ้านก็เปิดออกพร้อมกับหญิงชราผมหงอกที่ปรากฏตัวขึ้น
-----
เชิงอรรถ
[1] ตือโป๊ยก่ายกินมักกะลีผล แปลว่า ได้ของล้ำค่ามา แต่ไม่รู้จักประโยชน์ของมัน
[2] พิธีถวายถาด รูปประกอบ


