ซ่งอวี้หยัดกายลุกขึ้น ปัดฝุ่นบนเสื้อผ้า มองนางด้วยแววตาเยือกเย็น พูดเสียงเ็า “หากเ้าไม่ให้ข้าตรวจดู เช่นนั้นหวังกุ้ยต้องตายอย่างแน่นอน”
เมื่อได้ฟังเช่นนั้น เฉินต้าฮวาก็นิ่งค้างไปทันที ก่อนจะตามมาด้วยความโมโหโกรธเคือง นางร้องด่าทอ “นางคนชั้นต่ำ เ้ากล้าสาปแช่งสามีของข้าเช่นนั้นหรือ!”
ซ่งอวี้หัวเราะเยือกเย็น เตรียมจะเดินจากไป ทว่าหวังเอ้อร์โก่วกลับโผเข้ามากอดขาทั้งสองข้างของนางเอาไว้ เด็กน้อยมองไปที่นางแล้วร้องไห้ฟูมฟาย “ได้โปรด ช่วยท่านพ่อของข้าด้วย ช่วยท่านพ่อของข้า...”
เมื่อเห็นเช่นนี้ ซ่งอวี้ทอดถอนหายใจเสียงเบา พยุงหวังเอ้อร์โก่วที่คุกเข่าบนพื้นขึ้นมา มองไปทางเฉินต้าฮวาด้วยสีหน้าเย็นะเื “เ้าจะให้ข้าดูอาการของเขาหรือไม่? ช้ากว่านี้เล็กน้อยหวังกุ้ยอาจจะต้องตายจริงๆ ”
ในเวลาเดียวกันหวังเอ้อร์โก่วก็พูดอย่างเห็นด้วย “ท่านแม่ ท่านให้น้าซ่งดูอาการของท่านพ่อเถอะขอรับ”
เวลานี้ชาวบ้านที่ล้อมวงดูก็ช่วยกันพูดเกลี้ยกล่อม “เฉินต้าฮวา เ้ารีบให้ซ่งอวี้ดูอาการหวังกุ้ยเถอะ บางทีนางอาจจะช่วยได้”
“ใช่ จริงด้วย!”
“หากสายเกินไป เขาตายแล้วก็จะไม่เหลือสิ่งใดนะ”
เฉินต้าฮวาน้ำตาคลอเบ้ามองไปทางซ่งอวี้ หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง นางก็เช็ดน้ำตาถอยไปอยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ
ซ่งอวี้ไม่กล้าชักช้า รีบคว้ามือหวังกุ้ยขึ้นมาจับชีพจร
ผ่านไปครู่หนึ่ง นางโล่งอกเล็กน้อย อาการไม่สาหัสเท่าใดนัก จากนั้นนางก็งอข้อศอกหวังกุ้ย หยิบเข็มเงินที่พกติดตัวขึ้นมา แล้วฝังลงบนจุดฝังเข็มยอดศอก
เข็มเงินนี้นางเพิ่งซื้อมาจากร้านขายยาเมื่อหลายวันก่อน คาดว่าไม่ช้าก็เร็วย่อมได้ใช้งาน
สีหน้าของหวังกุ้ยดีขึ้นเล็กน้อย สีหน้าเ็ปของเขาก็ลดน้อยลงเช่นเดียวกัน
เฉินต้าฮวาวิ่งไปตรงหน้าหวังกุ้ย เขย่าตัวของเขาด้วยความดีใจ พลางร้องเรียกติดต่อกัน “ท่านพี่ ท่านพี่ ท่านเป็เช่นไรบ้าง?”
“เ้าอย่าเขย่าตัวเขา ขืนเขย่าต่อจากไม่เป็อะไรก็จะเป็ขึ้นมา” น้ำเสียงของซ่งอวี้แฝงไปด้วยความรำคาญ หากไม่ใช่เพราะหวังเอ้อร์โก่วร้องไห้ด้วยความสิ้นหวังเช่นนั้น นางก็ไม่อยากจะช่วยหวังกุ้ยเลยแม้แต่น้อย
เฉินต้าฮวากัดริมฝีปากแน่น สีหน้าของนางแดงระเรื่อ ทำตัวไม่ถูก
เวลานี้ผู้ใหญ่บ้านลุกขึ้นมา “ซ่งอวี้ หวังกุ้ยป่วยเป็กระไร?”
“ผู้ใหญ่บ้าน หวังกุ้ยไส้ติ่งอักเสบ โชคดีที่อาการไม่หนัก เข็มเงินสามารถบรรเทาความเ็ปได้ชั่วคราว หากจะรักษาให้หายดี ต้องกินยาควบคู่ไปด้วย จากนั้นต้องเปลี่ยนนิสัยการกิน มิเช่นนั้นมีความเป็ไปได้ที่จะป่วยหนักยิ่งกว่าเดิม”
ไส้ติ่งอักเสบ?
คนในหมู่บ้านไม่เคยได้ยินโรคนี้มาก่อน สีหน้าของพวกเขาเปี่ยมไปด้วยความสับสน
ในฐานะที่ผู้ใหญ่บ้านเป็คนมีการศึกษามากที่สุดในหมู่บ้าน เขาจึงถามอย่างละเอียด “ซ่งอวี้ ไส้ติ่งอักเสบคือโรคอะไรหรือ?”
ซ่งอวี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง จึงค่อยพูดอธิบาย “ไส้ติ่งอักเสบคือมีพิษร้อนในท้อง อาการหลักๆ คือปวดท้องเฉียบพลัน”
เวลานี้ทุกคนในเหตุการณ์ถึงแสดงสีหน้าเข้าใจ
เมื่อเห็นเช่นนี้ ส่วนลึกในใจซ่งอวี้อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้า การแพทย์ในสมัยโบราณล้าหลังยิ่งนัก ยามที่ผู้คนมากมายล้มป่วย จึงทำได้เพียงนอนรอความตาย โดยไม่อาจทำสิ่งใดได้
ในยุคปัจจุบันไส้ติ่งอักเสบกลายเป็โรคปวดท้องเฉียบพลันโรคหนึ่ง ซึ่งโดยทั่วไปล้วนเลือกที่จะผ่าตัด แต่ยุคโบราณมีข้อจำกัด อีกทั้งหวังกุ้ยก็ไม่ได้อาการหนักมากนัก ให้ความร่วมมือในการฝังเข็มเพียงไม่กี่ครั้ง บวกกับรักษาโดยการกินยาก็หายดีได้
“น้าซ่ง เหตุใดท่านพ่อของข้าจึงยังไม่ฟื้นเล่า? ” หวังเอ้อร์โก่วถามด้วยความกังวล ั์ตาของเขาเต็มไปด้วยความสะพรึงและหวาดกลัว
ซ่งอวี้ยื่นมือไปลูบผมของหวังเอ้อร์โก่ว แล้วพูดปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่ต้องกังวล อีกประเดี๋ยวหนึ่งเขาก็ฟื้นแล้ว”
สิ้นเสียงของซ่งอวี้ หวังกุ้ยก็ส่งเสียงโอดครวญขึ้นเล็กน้อย เขาลืมตาขึ้นช้าๆ มองดูรอบๆ ด้วยความฉงน ก่อนจะถามอย่างอิดโรย “ข้า...ข้าเป็อันใดไป?”
หวังเอ้อร์โก่วโผเข้ากอดหวังกุ้ย ร้องไห้แล้วพูด “ท่านพ่อ ในที่สุดท่านก็ฟื้นแล้ว โชคดีที่น้าซ่งช่วยท่านเอาไว้ได้”
หวังกุ้ยเงยหน้าขึ้นมองซ่งอวี้ สีหน้าของเขาเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกผิด พูดเสียงอ่อน “ซ่งอวี้ ขอบใจเ้ามาก”
ซ่งอวี้ยิ้มบางๆ แล้วกำชับเขา “ไม่ต้องเกรงใจ หลังจากนี้เ้าพักผ่อนให้มากๆ สองวันนี้กินข้าวต้มไปก่อน อย่ากินอาหารรสจัด ทางที่ดีที่สุดคือต่อไปนี้เ้าอย่าดื่มสุราอีก พรุ่งนี้ข้าจะมาฝังเข็มให้เ้าอีกครั้ง เพื่อรักษาอาการของเ้าให้คงที่ ประเดี๋ยวให้เอ้อร์โก่วมาเอาตำรับยาที่เรือนข้า แล้วเข้าเมืองไปซื้อยามาดื่มกิน”
หวังกุ้ยคิดถึงเื่ในอดีตที่ตนรังแกนาง เขารู้สึกว่าตนไม่ใช่มนุษย์ขึ้นมาทันที อยากจะตบหน้าตนเองแรงๆ สายตาของเขาจับจ้องไปที่ซ่งอวี้ ก่อนจะกล่าวคำสัตย์ “ซ่งอวี้ นับจากนี้หากเ้ามีอะไรให้ข้าหวังกุ้ยรับใช้ เ้าบอกข้าได้เลย ไม่ว่าจะบุกน้ำลุยไฟ ข้าล้วนไม่บ่ายเบี่ยง!”
เมื่อได้ฟังเช่นนั้น ซ่งอวี้เพียงยิ้มบางๆ ไม่ได้พูดกระไร หากไม่ใช่เพราะสงสารหวังเอ้อร์โก่ว บางทีวันนี้นางอาจจะไม่ช่วยรักษาหวังกุ้ยก็เป็ได้
ในสมัยโบราณการเชิญหมอมารักษาเป็เื่ที่ต้องใช้เงินมาก ดังนั้นยามคนส่วนมากล้มป่วย จึงอดทนเอาไว้ ทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับชะตาฟ้าลิขิต ชาวบ้านที่อยู่รอบๆ เมื่อเห็นซ่งอวี้รักษาหวังกุ้ยโดยไม่ถือสาเื่ในอดีต ทั้งยังไม่เก็บค่ารักษา จึงมองนางเปลี่ยนไปไม่น้อย
เมื่อซ่งอวี้กลับไปที่เรือน นางก็เห็นใบหน้าอมยิ้มของหลี่เฉิง นางรู้สึกเขินอายเล็กน้อย “ท่านตื่นแล้วหรือ เหตุการณ์ด้านนอกเมื่อครู่ทำให้ท่านตื่นใช่หรือไม่?”
หลี่เฉิงส่ายหน้าช้าๆ
ความเป็จริงเขาตื่นตั้งนานแล้ว เื่ที่เกิดขึ้นด้านนอก เขาได้ยินอย่างชัดเจน จึงอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความสงสัย “เ้าช่วยหวังกุ้ย ไม่กลัวว่าวันข้างหน้าเขาจะเนรคุณหรือ?”
รอยยิ้มบนดวงหน้าซ่งอวี้นิ่งค้างทันที นางพูดเสียงเบาด้วยความเศร้า “ข้าขอบอกความเป็จริงแก่ท่านอย่างเปิดเผย แรกเริ่มข้าไม่อยากจะช่วยหวังกุ้ย แต่เอ้อร์โก่วร้องไห้ได้น่าสงสารยิ่งนัก”
เห็นนางพูดตรงไปตรงมาเช่นนี้ หลี่เฉิงรู้สึกชื่นชมนางยิ่งกว่าเดิม ความรู้สึกจางๆ ที่ซ่อนอยู่ส่วนลึกในใจ เพิ่มมากขึ้นอย่างช้าๆ
ซ่งอวี้ััได้อย่างชัดเจนว่าแววตาของเขายามมองมาที่ตนแตกต่างจากเดิมเล็กน้อย แก้มของนางแดงระเรื่อ นางกลัวว่าเขาจะเห็นสีหน้าของตนในเวลานี้ จึงเปลี่ยนบทสนทนา “พวกเราอย่าพูดเื่นี้กันเลย อาหารเย็นหมดแล้ว ข้าไปอุ่นก่อน ท่านรอที่นี่ครู่หนึ่ง”
เห็นแผ่นหลังของนางเดินจากไปด้วยความรีบร้อน หลี่เฉิงอดไม่ได้ที่จะยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย
ในเวลาเดียวกัน เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นจากด้านนอก