“ไม่เป็ไรเสี่ยวอี้ ที่เรือนมีอาจารย์เก่ง ๆ มากมาย พวกเขาจะสอนตัวอักษรให้เ้าเอง! ตราบเท่าที่เ้าอดทนเรียนอย่างหนักในเวลาสองสามปี แม้จะตามเสี่ยวฉยงไม่ทัน แต่อย่างน้อยเ้าก็จะเก่งพอ ๆ กับเสียวเส่า!” เหล่าไท่ไท่ปลอบใจเหอตังกุย “เ้าไม่รู้อะไร เสียวเส่าหลงใหลละครงิ้ว “เหลียนซวี่” ของเมืองหลวงยิ่งนัก นางมักจะบอกว่าการเล่าเรียนในห้องหนังสือเป็เื่น่าเบื่อ นางจึงไม่เข้าเรียนหลายเดือนแล้ว เป็โอกาสดีที่สุดที่เ้าจะอยู่เหนือนาง!”
เหอตังกุยเอ่ยถามด้วยความเป็ห่วง “น้องสี่ไม่ไปเรียนเช่นนี้จะไม่เป็อะไรหรือเ้าคะ? ข้าเคยได้ยินนางบอกว่าเหล่าจูจงอยากให้นางและพี่รองเข้าเรียนที่สำนักเฉิงซวี่สักสองสามปี”
เมื่อเหล่าไท่ไท่นึกถึงเื่นี้ก็ถอนหายใจพลางกล่าว “เฮ้อ ข้าเป็คนวิตกกังวลโดยกำเนิด พ่อแม่พวกนางไม่สนใจการเรียนแต่ข้ากลับกังวลไม่หยุดหย่อน แม้จะอาศัยเพียงภูมิหลังครอบครัวของพวกเรา เสี่ยวฉยงและเสียวเส่าก็ไม่จำเป็ต้องกังวลเื่หาสามีในอนาคต แต่ข้าอยากให้พวกนางเรียนรู้เพิ่มเติมและมีพร์แท้จริง ไม่ว่าจะทักษะอันใด เรียนไว้ก็ไม่เสียหาย สักวันทักษะเ่าั้จะมีประโยชน์ แท้จริงแล้วเรามีสายสัมพันธ์พอที่จะฝากฝังพวกนางเข้าเรียนในสำนักศึกษาได้ ขณะเหล่าไท่เหยียดำรงตำแหน่งหัวหน้าาุโในกั๋วจื่อเจียน มีเว่ยหลีซื่อเป็ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ตอนนี้กลายเป็ผู้อำนวยการของสำนักเฉิงซวี่ อย่างน้อยเสี่ยวฉยงก็สามารถเขียนได้...แต่งานเขียนของเสียวเส่านั้น ข้าก็อายที่จะนำไปพูดกับผู้อำนวยการเว่ย!”
“ท่านยายไม่ต้องกังวลไป น้องสี่นั้นเฉลียวฉลาด ฉลาดกว่าข้าเสียอีก ตอนนี้นางยังเด็กและซุกซน ไม่ชอบนั่งโต๊ะเพื่อเรียนหนังสือก็ไม่ใช่เื่แปลก” เหอตังกุยปลอบโยนเหล่าไท่ไท่ด้วยเสียงนุ่มนวล “หากวันใดที่นางชอบอ่านชอบเขียน ไม่แน่อาจเป็ถึงจอหงวนหญิงก็ได้!”
เหล่าไท่ไท่ไม่สามารถกลั้นเสียงหัวเราะได้ นางลูบศีรษะเหอตังกุยพลางเอ่ย “เ้าเด็กคนนี้ปลอบคนเก่งเสียจริง! แต่ในตระกูลหลัวตงของพวกเราไม่เคยปลุกปั้น “บัณฑิตชาย” ได้แม้แต่คนเดียว ไหนเลยจะสามารถสร้าง “จอหงวนหญิง” ได้!” เมื่อนึกถึงจดหมายที่เขียนโดยเหอตังกุยฉบับนั้น เหล่าไท่ไท่พลันรีบถาม “เสี่ยวอี้ ข้าเห็นลายมือของเ้าก้าวหน้ามากหลังประสบอุบัติเหตุ เ้าพัฒนาให้ก้าวหน้าเช่นนี้ภายในเวลาไม่ถึงเดือนได้อย่างไร?”
เหอตังกุยก้มศีรษะนอบน้อม ก่อนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไหนเลยจะดีเท่าที่ท่านยายเอ่ย ลายมือข้าอัปลักษณ์ยิ่งนัก ใครเห็นก็อ่านไม่ออก หากไม่ใช่เพราะเื่เร่งด่วนก็คงไม่มีหน้าเขียนตัวอักษรเช่นนั้นให้คนอื่นดู แท้จริงแล้วต้องชื่นชมท่านแม่ชีในวัด เมื่อข้าอยู่บนูเาก็เบื่อหน่าย ทว่ามีโอกาสเห็นพวกนางคัดลอกพระคัมภีร์ ข้าจึงคัดลอกตามอยู่หลายวันจนเริ่มคุ้นเคยคำบางคำ ฮ่า ๆ แม้จะยังอ่านไม่ออกแต่ก็สามารถเขียนบางคำได้โดยไม่ต้องมองหนังสือแล้ว!”
เหล่าไท่ไท่ทั้งดีใจและเป็ห่วง นางดีใจเพราะการเขียนอักษรของเสี่ยวอี้นั้นทำได้ดี แต่ก็กังวลว่าวิธีนี้จะไม่เหมาะกับเสียวเส่า นางจึงส่ายหัวก่อนเอ่ย “แต่เสียวเส่าคงไม่มีความอดทนเช่นเ้า แม้มีสาวใช้สิบคนเขียนต่อหน้านางทุกวัน นางก็คงจะไม่เรียนรู้ เฮ้อ หากนางแต่งงานกลายเป็ภรรยาที่ต้องดูแลครอบครัวในอนาคต นางจะต้องเขียนและวาดภาพในชีวิตประจำวัน…”
เมื่อหยางมามาได้ยินเหล่าไท่ไท่พูดถึงลายมือย่ำแย่ของคุณหนูสี่ แต่กลับเพิกเฉยต่อความผิดพลาดครั้งใหญ่ของนาง หยางมามาจึงเอ่ยถามเหอตังกุยทันที “คุณหนูสาม มือของเ้ายังคันอยู่หรือไม่ ข้ามียาสลายพิษชิงตู่ไป๋ฮว่าที่จิ่วกูมอบให้ แม้จะไม่มีประโยชน์นัก แต่มือของเ้าก็จะคันในทุกสองชั่วยามเท่านั้น เ้าจะได้ไม่อึดอัดเช่นตอนนี้!” นางมอบขวดยาลายครามสีฟ้าขนาดเล็กให้แก่เหอตังกุย
“มามา ท่านได้รับพิษเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อาการจึงค่อย ๆ บรรเทา ไม่เกี่ยวข้องกับผงยาสลายพิษชิงตู่สักนิด” เหอตังกุยพูดในใจ ก่อนก้มหัวพลางยิ้มซาบซึ้งใจ “ขอบคุณสำหรับความกรุณาของมามา ตังกุยขอรับไว้เ้าค่ะ” นางเปิดที่เสียบขวดแล้วเทผงยาลงบนมือ ก่อนส่งคืนหยางมามา
เหล่าไท่ไท่แตะไหล่บอบบางของเหอตังกุย เอ่ยปรามนางเสียงต่ำ “เสี่ยวอี้ ข้าได้ยินเหตุการณ์นี้จากหงเจียงแล้ว นางเกลี้ยกล่อมให้ข้าควบคุมพฤติกรรมของเสียวเส่าเช่นกัน ทั้งยังบอกว่าควรจะส่งเสียวเส่าไปยังวัดสุ่ยซังเพื่อขัดเกลานิสัยเป็เวลาสองเดือน แต่เสียวเส่ายังเด็ก แม้จะมีอายุน้อยกว่าเ้าหนึ่งปี แต่คงเป็เพราะสาวใช้เ้าเล่ห์ยุยงให้นางซื้อยาไม่ดีเหล่านี้ ข้าเฝ้าดูนางเติบโตมาั้แ่เด็ก นางตรงไปตรงมา ไม่ว่าเื่ใดก็ไม่เคยเก็บซ่อน ไม่ใช่คนใจคอโเี้ นางก็เหมือนแม่ของนาง...”
เหอตังกุยลดศีรษะเล็กน้อยพลางฟังสิ่งที่เหล่าไท่ไท่เอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน ชาติที่แล้วเหล่าไท่ไท่เป็คนเงียบขรึม ไม่เคยพูดสิ่งที่ใจคิดกับเหอตังกุย หากครั้งใดนางพูดมากผิดปกติราวอยากเกลี้ยกล่อม เื่ส่วนใหญ่ก็มักจะเกี่ยวข้องกับครอบครัวสาขาที่สองเสมอ เมื่อเหอตังกุยได้ยินเช่นนั้นก็ก้มหน้ายิ้มบาง เฮอะ อย่างไรเสียวเส่าก็เป็หลานสาวแท้ ๆ ของเหล่าไท่ไท่ นางจึงทนตำหนิหลานสาวไม่ได้ ถือเป็เื่ธรรมชาติของมนุษย์
กล่าวกันว่าเมื่อครึ่งปีก่อนที่คุณหนูสามมายังจวนตระกูลหลัว เหล่าไท่ไท่ปฏิบัติต่อนางเท่าเทียมกับหลัวไป๋ฉยงและหลัวไป๋เส่า นางจึงได้เรียนกับพี่น้องคู่นี้
เนื่องจากเหอตังกุยเป็ “นักเรียนย้ายถิ่นฐาน” อาจารย์หญิงจึงจำเป็ต้องทดสอบทักษะการเขียนบทความของนาง ขอให้เหอตังกุยเขียนเรียงความหนึ่งพันคำในหัวข้อ “บุปผาที่ร่วงหล่น” เหอตังกุยบอกอาจารย์หญิงอย่างเชื่องช้าว่านางเขียนไม่ได้ ทันใดนั้นหลัวไป๋เส่าก็หลุดหัวเราะ หลัวไป๋ฉยงก็ชื่นชมเล็บพลางกระแอมไอโดยไม่รู้ว่าตั้งใจหรือไม่
อาจารย์หญิงขมวดคิ้วมุ่น คิดไม่ถึงว่าเหอตังกุยจะมีทักษะย่ำแย่เช่นนี้ ไม่นานอาจารย์หญิงก็ขอให้นางเขียนเรียงความโบราณจำนวนร้อยคำในหัวข้อ “น้ำในฤดูใบไม้ผลิ” เหอตังกุยกำแขนเสื้อของตนก่อนลดศีรษะพลางบอกอาจารย์หญิงว่านางไม่เคยเรียนเขียนเรียงความโบราณ เข้าใจ “คำศัพท์ทางบทกวี” เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ความรู้ที่ลึกซึ้งกว่านี้นั้นเกินความสามารถของนางแล้ว หลัวไป๋เส่ากลอกตาพลางหันไปกระซิบกับหลัวไป๋ฉยง ก่อนเงยหน้าบอกอาจารย์หญิงอย่างอ่อนโยน “นางเติบโตในชนบท ถามเกี่ยวกับความรู้เกษตรจะเหมาะสมกว่า!” ในสายตาของหลัวไป๋เส่า อาจารย์หญิงเป็เพียงคนรับใช้ชั้นสูงเท่านั้น นางจึงมักจะพูดคุยกับอาจารย์หญิงด้วยท่าทีหยิ่งยโส
อาจารย์หญิงไม่พอใจน้ำเสียงหยิ่งยโสของหลัวไป๋เส่าจึงไม่ได้ทำตามที่หลัวไป๋เส่าพูด ทว่ากลับขอให้เหอตังกุยเขียนบทกวีจวี้เจวี๋ยห้าคำสี่วรรคในหัวข้อ “บุญคุณของบิดา” เหอตังกุยตะลึงงันก่อนกระซิบกับอาจารย์หญิงว่านางเขียนได้เพียงยี่สิบคำรวมชื่อของนางเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงการเขียนบทกวี เหอตังกุยพยายามบอกในสิ่งที่นางสามารถทำได้แต่หลัวไป๋เส่าก็ะโแทรก “อาจารย์ นางโกหก! นางโมโหที่หัวข้อไม่ดีจึงไม่อยากเขียน! นางเป็ศัตรูกับพ่อของนาง นางไม่ใช่ลูกสาวแท้ ๆ ของพ่อคนปัจจุบัน!”
เมื่ออาจารย์หญิงได้ยินเช่นนั้นก็งงงวยทันที ไม่ว่าเื้ัของคุณหนูสามคนที่มาใหม่ผู้นี้จะเป็อย่างไร แต่ตอนนี้เหอตังกุยและหลัวไป๋เส่ากำลังรบกวนชั้นเรียนของนาง นางจึงต้องปฏิบัติตามคำขอของเหล่าไท่ไท่ “จงเข้มงวดและเพิกเฉยต่อฐานะของพวกนาง” โดยลงโทษให้พวกนางหันหน้าเข้ากำแพง สั่งให้ส่งเรียงความหนึ่งพันคำในหัวข้อ “ความรักของพ่อ” ในวันพรุ่งนี้
ชาติที่แล้วเหอตังกุยไม่ได้ออกจากชนบทจนกระทั่งอายุเก้าปี นางทำงานในทุ่งนาตอนกลางวันและบดเต้าหู้ในตอนกลางคืน นางไม่เคยเรียนหนังสือมาก่อน ชื่อของตัวเองยังเขียนไม่ได้ด้วยซ้ำ
ต่อมาหลัวชวนสยงได้รับการวินิจฉัยว่ามีบุตรยาก จึงไปรับเหอตังกุยผู้เป็ลูกสาวของสามีคนแรกมาอยู่ร่วมกับเหอฟู่สามีคนที่สองของนาง แม้เหอตังกุยจะปฏิบัติตามคำสั่งของแม่และเรียกคนเ่าั้ว่า “พ่อ” “ยาย” “ป้า” และ “ลุง” โดยไม่ลังเล แต่คนเ่าั้กลับไม่ส่งเสียงตอบรับนางแต่อย่างใด ทั้งยังแสดงสีหน้าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
หลัวชวนสยงกำลังทำอะไรกันแน่? โดยทั่วไปหากภรรยาไม่สามารถมีลูกได้ก็ควรจะรีบหาอนุให้สามีจึงจะถูก เหตุใดถึง “ลาก” นางมาที่นี่ ้าให้เหอฟู่เลี้ยงดูลูกสาวคนอื่นกระนั้นหรือ? เหอฟู่ไม่มีลูกชาย ทำเช่นนี้จะไม่เป็การล่าช้าต่อการสืบทอดลูกหลานตระกูลพวกเขาหรือ?
แท้จริงแล้วหลัวชวนสยงอายุมากกว่าเหอฟู่สามปี เคยหย่าร้างและมีลูกติด นางจึงรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยยิ่งนัก อีกทั้งตอนนี้นางยังได้รับการวินิจฉัยว่ากินกวางชะมดมากเกินไปใน่ต้นปีจึงไม่สามารถให้กำเนิดลูกของเหอฟู่ได้ ส่งผลให้นางกังวลมากขึ้นเรื่อย ๆ แน่นอนว่านางไม่้าแบ่งสามีให้สตรีอื่น จึงคิดเองเออเองว่าในเมื่อสามีของตนรักเด็ก ไม่สู้รับตัวลูกสาวของนางมาอยู่ด้วยกันเสียที่นี่เล่า ให้นางทำให้เขาเบิกบานใจในทุกวัน เมื่อความรู้สึกระหว่างสามีภรรยาลึกซึ้งมากขึ้น ค่อยเลือกอนุที่เชื่อฟังและสามารถให้กำเนิดลูกชายแก่เขาได้สักหนึ่งหรือสองคน เมื่อมีลูกชายและลูกสาว ครอบครัวของพวกเขาก็จะสมบูรณ์แบบ
เมื่อนึกถึงความปรารถนาอันงดงามนี้ แม้คนในตระกูลเหอฟู่จะไม่พอใจ แต่หลัวชวนสยงก็ยังคงเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านดนตรีและนักเต้นรำที่ดีที่สุดในเมืองหยางโจวมาสอนเหอตังกุย ขอให้นางเล่นดนตรี ร้องเพลงและเต้นรำทั้งกลางวันและกลางคืน ทุกครั้งที่หลัวชวนสยงได้ยินอาจารย์พูดว่าลูกสาวของนางได้เรียนรู้เพลงใหม่และได้เรียนท่าเต้นรำใหม่ นางก็จะผลักเหอตังกุยเข้าไปในห้องหนังสือของเหอฟู่ บังคับให้นางร้องเพลง เต้นรำและเล่นเครื่องดนตรีต่อหน้าเขา ด้วยอยากให้เหอฟู่ประทับใจจนนำพาความรักฉันท์สามีภรรยากลับคืน
เริ่มแรกเหอตังกุยเชื่อฟังที่จะทำสิ่งเหล่านี้ แม้รู้สึกว่าการเรียนรู้ดนตรีและเต้นรำจะยากกว่าการทำงานในทุ่งนา แต่ก็มีบางส่วนที่น่าสนใจไม่น้อย นางค่อย ๆ เรียนรู้จนหลงใหล อย่างไรก็ตาม เมื่อเหอตังกุยร้องเพลงและเต้นรำในห้องหนังสือของเหอฟู่จนถึงเดือนสิบ นางเติบโตโดยไม่รู้ตัวจึงไม่้าเต้นให้ “พ่อ” ของนางดูอีกต่อไป นางกลัวแววตาล้ำลึกและมืดมัวของผู้เป็ “พ่อ” ทุกครั้งที่เดินเข้าห้องหนังสือ
เหอตังกุยไม่รู้จะอธิบายกับแม่อย่างไรจึงโกหกว่านางเบื่อจะเรียนเต้นและเล่นดนตรี นางไม่้าจะฝึกฝนอีกต่อไป แม่ของนางไม่เห็นด้วย ทำให้เหอตังกุยเสียใจจนเกิดการทะเลาะเบาะแว้ง แม่ของนางโกรธมากพลันตบหน้านาง ทั้งยังสั่งให้นางฝึกฝนร้องเพลงและเต้นรำให้ดีและงดงามกว่านี้
เป็เช่นนี้กว่าหนึ่งเดือน เหอฟู่ใช้ประโยชน์จากสินสอดทองหมั้นของหลัวชวนสยงเพื่อขอรับตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพเมืองหลวงขั้นแปด นอกจากนี้ยังใช้ซื้อจวนในเมืองหลวงอีกด้วย ก่อนเข้ารับตำแหน่ง เหอฟู่ซื้อตั๋วสามใบส่งให้แม่ น้องสาวและพี่เขยเพื่อขึ้นเรือสำราญมุ่งหน้าไปยังเมืองอิ้งเทียน จากนั้นก็อธิบายกับภรรยาว่าพวกเขา้าท่องเที่ยวในเมืองหลวงเพราะพวกเขายังไม่เคยไปที่นั่นมาก่อน
คืนหนึ่งหลังจากนั้นไม่กี่วัน เหอฟู่สวมชุดสีม่วงแอบย่องไปที่ห้องนอนของเหอตังกุย เขาปลุกให้นางตื่นก่อนปิดปากและจมูกป้องกันไม่ให้ส่งเสียง พลางบอกว่า “พ่อ” จะพาไปยังสถานที่น่าสนุกแห่งหนึ่ง ขอนางอย่าขัดขืน เพียงตาม “พ่อ” ไปอย่างว่าง่ายเท่านั้น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้