“ฮองเฮาเพคะ หลังจากนี้อีกหนึ่งเดือนพระองค์ยังไม่สามารถสรงน้ำได้พระวรกายห้ามโดนน้ำเด็ดขาด อีกทั้งยังไม่สามารถเสวยอาหารที่มันเลี่ยนและมีรสเผ็ดได้พระองค์จะต้องเสวยอาหารมังสวิรัติ และไม่สามารถใส่เกลือลงในข้าวได้เพคะ”
“อะไรนะ? อาบน้ำไม่ได้หนึ่งเดือน? ซูจิ่นซี หากหนึ่งเดือนนี้ข้าไม่สามารถอาบน้ำได้เ้าจะให้ข้าปรนนิบัติฝ่าาได้อย่างไร” ดวงตาทั้งสองของฮองเฮาจ้องมองราวกับไก่ชน
ซูจิ่นซียกยิ้มอย่างอดทนเป็อย่างมาก หลังจากนั้นนางก็เอนตัวลงกระซิบข้างหูของฮองเฮาว่า “อ้อ หม่อมฉันเกือบลืมไปเลย พระองค์ยังร่วมเสพสังวาสไม่ได้ด้วยนะเพคะอย่างน้อยก็ในระยะเวลาสามเดือนต่อจากนี้เพคะ”
“ต้องใช้เวลาถึงสามเดือน??? ” ฮองเฮาจวนจะร้องไห้แล้ว “ซูจิ่นซี นี่เกี่ยวข้องอันใดกับการถอนพิษหรือ? ”
“เกี่ยวสิเพคะ เกี่ยวข้องอย่างมากเลยเพคะ! ” ดวงตาสีเข้มคู่เล็กที่สดใสของซูจิ่นซีกลอกกลิ้งไปมาอย่างจริงจังพลางกล่าวว่า “ในทางการแพทย์กล่าวว่าหยินและหยางจะต้องสมดุลกัน หากธาตุน้ำในธาตุทั้งห้า [1] และธาตุไฟไม่สมดุล จะทำให้หยินหยางส่งผลกระทบเชื่อมโยงกันและกัน...”
ซูจิ่นซีกล่าวอธิบายเสียมากมาย ทว่าฮองเฮากลับฟังไม่เข้าใจแม้แต่ประโยคเดียว
“เอาเถิด ซูจิ่นซี ครานี้สิ่งที่ดีที่สุดคือควรถอนพิษให้หมดสิ้นไป มิฉะนั้นข้าจะไม่ละเว้นเ้าอย่างแน่นอน”
เห็นหรือไม่!
หางจิ้งจอก [2] ยังคงซ่อนไม่ได้ในที่สุดก็โผล่ออกมาแล้วสินะ!
ซูจิ่นซีบอกแล้วว่าฮองเฮาไม่ใช่คนดีกระไร!
หลังจากทรมานฮองเฮาเป็ระยะเวลานานถึงเพียงนี้คิดไปแล้วต่อไปนี้ฮองเฮาไม่เพียงแต่ต้องเสวยอาหารมังสวิรัติทุกวันเท่านั้น พระองค์ยังไม่สามารถสรงน้ำได้อีกด้วยนอกจากนั้นยังไม่อาจร่วมบรรทมกับฮ่องเต้ ทุกวันยังต้องอดทนเห็นฮ่องเต้ไปหลับนอนกับสตรีมากมายถึงเพียงนั้นในวังหลังอีกในพระทัยจะต้องผิดหวังทบเท่าทวีคูณเป็แน่
“ฮองเฮาเพคะ เวลาก็สายมากแล้ว หม่อมฉันขอทูลลากลับไปก่อนนะเพคะ! ต่อไปนี้ในอีกสามเดือนข้างหน้า ใน่เวลาที่พระองค์ไม่สามารถทำเื่ในมุ้งได้ก็ควรไปวิ่งรอบวังหลังทุกวันวันละสิบรอบจะดีที่สุดเพคะ พระวรกายของพระองค์ย่ำแย่เป็อย่างยิ่งหม่อมฉันเกรงว่าจะไม่สามารถถอนพิษได้อย่างสมบูรณ์นักดังนั้นการออกกำลังกายมากขึ้นจะช่วยทำให้พระวรกายของพระองค์ขับพิษได้ดียิ่งขึ้น หม่อมฉันคำนวณระยะทางให้พระองค์แล้วสิบรอบกำลังพอดี หากมากไปพระวรกายของพระองค์จะทนไม่ไหว ทว่าน้อยไปก็จะไม่เห็นถึงผลลัพธ์เพคะ”
“ซูจิ่นซี... ”
ฮองเฮาเริ่มที่จะกัดฟัน
ซูจิ่นซียังคงยกยิ้มอย่างชวนให้คนโมโหอยู่ “อีกเื่นะเพคะ! ฮองเฮา พระองค์ไม่สามารถโมโหได้ ความโกรธก็เป็ไฟ มันจะส่งผลต่อความสมดุลของหยินและหยาง”
“ซูจิ่นซี จำเป็จะต้องวิ่งหรือ? สามารถคิดวิธีอื่นได้อีกหรือไม่?”
ในที่สุดน้ำเสียงของฮองเฮาก็อ่อนลง น้ำตาเอ่อล้นกลิ้งอยู่ในเบ้าตา
นางไม่สามารถปรนนิบัติฝ่าาได้ก็ช่างเถิด ทว่ายังต้องวิ่งรอบวังหลังไปเห็นฝ่าาโปรดปรานสตรีอื่นอีกนางทำไม่ได้จริงๆ
“ฮองเฮาเพคะ พระองค์ไม่วิ่งก็ได้ ทว่าจะสามารถถอนพิษได้อย่างสมบูรณ์หรือไม่นั้นหม่อมฉันไม่กล้ารับประกันอย่างเต็มที่นะเพคะ”
ในที่สุดฮองเฮาก็หลับพระเนตรทั้งสองข้างลงอย่างอ่อนแรง พระองค์นอนอยู่บนแท่นบรรทมพยายามกดทับความรู้สึกทั้งหมดที่อยู่ในพระทัย ทั่วพระวรกายกำลังสั่นสะท้าน
ได้เอาคืนฮองเฮาแล้ว ความแค้นก็ได้รับการแก้ไขแล้ว ความโกรธของซูจิ่นซีก็เกือบจะมลายหายไปทว่านางไม่สามารถล่วงเกินฮองเฮามากจนเกินไป ดังนั้นการเสแสร้งจึงต้องทำแต่พอดี
ซูจิ่นซีจับพระหัตถ์ของฮองเฮาอย่างห่วงใย “ฮองเฮาเพคะหม่อมฉันเข้าใจความยากลำบากของพระองค์ เป็สตรีเหมือนกัน ทั้งยังอยู่ในราชวงศ์เช่นเดียวกันหม่อมฉันจะไม่เข้าพระทัยพระองค์ได้อย่างไรกันเพคะ? ทว่าเพื่อฝ่าาแล้วพระองค์ไม่ควรละเลยพระวรกายของพระองค์เองนะเพคะ! นั่นเท่ากับว่าไร้ค่า หากพระองค์ได้ร่วมบรรทมกับฮ่องเต้แล้วสตรีที่มีเสน่ห์ยั่วยวนเ่าั้ก็ไม่สามารถวางแผนชั่วได้สำเร็จอดกลั้นเพียงสามเดือน หากผ่านพ้นสามเดือนนี้ไปแล้ว พระองค์ก็จะยังคงประทับอยู่ที่ท้องพระโรงวังหลวงเป็ฮองเฮาแม่ของแผ่นดินทั่วหล้า คาดว่าพวกนางไม่อาจสร้างคลื่นลูกใหญ่ได้ในระยะเวลาอันสั้นถึงเพียงนี้หรอกเพคะ”
ในชั่วพริบตาซูจิ่นซีก็กลายร่างเป็น้องสาวคนเล็กที่ใกล้ชิดสนิทสนม
ฮองเฮาลืมพระเนตรขึ้น ประคองมือของซูจิ่นซีทั้งน้ำตา “จิ่นซีเอ๋ย! ยังมีเ้าที่ดีกับข้าก่อนหน้านี้ข้าขออภัยเ้าด้วยอย่าเอาเื่สกุลฮั่วที่ประตูเจิ้นเป่ยนั่นมาเก็บไว้ในใจเลยหนา”
หากไม่เอามาเก็บไว้ในใจ เ้าก็คงไม่ต้องมาทนทุกข์รับบาปมากมายถึงเพียงนี้หรอก!
“ฮองเฮาทรงวางพระทัยเถิดเพคะ หม่อมฉันเข้าใจความรู้สึกของพระองค์ในตอนนั้นดีและจะไม่เก็บมาไว้ในใจ”
“เช่นนั้นก็ดี! ” ฮองเฮาตบหลังมือของซูจิ่นซี “เดินทางกลับก็ดูแลตนเองด้วยเล่า”
“เพคะ! ”
เมื่อออกมาจากวังหลวง ซูจิ่นซียังไม่ทันขึ้นไปบนรถม้า ก็เห็นคนผู้หนึ่งที่หัวมุมจากในระยะไกล
จิ่วหรง
“เด็กน้อย อาจารย์ได้ช่วยเหลือเ้าเื่ใหญ่ถึงเพียงนั้น ไม่ใช่ว่าเ้าควรตอบแทนอาจารย์สักหน่อยหรือ? ”
ซูจิ่นซีทราบดีอยู่แล้วว่าภายใต้ผืนฟ้าแห่งนี้ไม่มีอาหารกลางวันส่งให้ถึงปากโดยไม่หวังผลตอบแทนหรอก
ทว่าวันนี้ซูจิ่นซีไม่มีอารมณ์อันใดเลย คิดเพียง้ากลับจวนเร็วๆเท่านั้น
“จิ่วหรงเ้าคะ ข้าขอบพระคุณท่านมากจริงๆทว่าเป็วันอื่นจะได้หรือไม่เ้าคะ? หากเปลี่ยนวันข้าจะเป็คนไปหาท่านเอง! ”
“ไปที่ใด? สำนักแพทย์เทียนอี? ”
จิ่วหรงขมวดคิ้วเล็กน้อย เคาะขลุ่ยลงบนฝ่ามือของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า
สำนักแพทย์เทียนอีนั้นแทบจะเป็ไปไม่ได้เลย ซูจิ่นซีไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด
“เช่นนั้นท่านทิ้งที่อยู่ไว้ได้หรือไม่เ้าคะ? ”
“ดูเหมือนว่าลูกศิษย์ของข้าโตขึ้นแล้วจะปีกกล้าขาแข็ง อาจารย์้าทานข้าวกตัญญูของเ้าก็ทานไม่ได้แล้วนี่"จิ่วหรงถอนหายใจ
“ท่านเดินทางมาไกลแสนไกลถึงเพียงนี้มาพบข้า เพื่อให้ข้าเลี้ยงข้าวท่านสักมื้อหรือเ้าคะ? ”
ดวงตาของจิ่วหรงดูเหมือนไม่ได้ล้อเล่น ทว่าซูจิ่นซีรู้สึกว่ามันเป็ไปไม่ได้จิ่วหรงดูไม่เหมือนคนยากจนถึงขนาดที่ไม่สามารถจ่ายแม้แต่ค่าอาหารสักมื้อนี่นา
ว่าไปแล้ว สำนักแพทย์เทียนอียังไม่ได้ล้มละลายกระมัง?
“เอาเถิดเ้าค่ะ ท่าน้าทานกระไรเ้าคะ? ” ซูจิ่นซีถามขึ้น
“ไปถนนหรงหวาฟู่กุ้ยกันเถิด ส่วนเื่จะทานกระไรนั้น ถึงแล้วค่อยว่ากัน”
“ได้เ้าค่ะ! ”
เมื่อวานพ่อบ้านพึ่งจะส่งเงินเดือนของเดือนนี้มาให้ ซูจิ่นซีจึงมีเงินติดตัวพอดี
ดังนั้นซูจิ่นซีจึงให้คนใช้ในจวนกลับไปก่อนแล้วตนเองเดินไปพร้อมกับจิ่วหรง
ซูจิ่นซีรู้สึกไม่ดีเท่าไร ดังนั้นระหว่างทางจึงไม่ได้พูดอันใดเลยจิ่วหรงก็เงียบไม่พูดอันใดเช่นเดียวกัน มีเพียงเสื้อผ้าของทั้งสองที่โบกสะบัดไปตามสายลมผสานเข้าด้วยกันอย่างต่อเนื่อง
“โอ้ ให้ตายเถิด เ้าไม่ลืมตาเดินหรืออย่างไร! ”
ซูจิ่นซีเอาแต่ครุ่นคิดเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ไม่ทันระวังจึงชนเข้ากับคนผู้หนึ่ง
“ขอโทษด้วย ขอโทษด้วย! ”
ซูจิ่นซีพยักหน้าเพื่อขอโทษ นางไม่คิดว่าจะชนเข้ากับพวกอันธพาลแก้มตอบคางแหลมที่มีไฝอยู่บนใบหน้าอีกทั้งบนไฝนั้นยังมีขนยาวขึ้นด้วย
“โอ้ น้องสาวคนงามนี่ หน้าตาไม่เลว! มามาเล่นสนุกเป็เพื่อนพี่ชายดีกว่า แล้วพี่ชายจะให้อภัยเ้า! ”
เมื่อพูดจบก็ยื่นมือสกปรกที่มีคราบน้ำมันออกมาลูบใบหน้าของซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีถอยหลังและหลบหนี
“รบกวนเ้าได้โปรดเกรงใจกันสักหน่อย”
“เกรงใจ? ” คนผู้นั้นราวกับว่าได้ยินเื่ที่น่าขันเป็อย่างมากเขาหันไปพูดกับผู้ที่ตามมาด้านหลังว่า “ได้ยินหรือไม่คาดไม่ถึงว่าน้องสาวคนงามผู้นี้จะบอกให้ข้าเกรงใจสักหน่อยด้วย”
“ฮาฮาฮา! ”
คนพวกนั้นหัวเราะตามกันขึ้นมาในทันที
“พี่ชายไม่รู้ว่าความเกรงใจคือกระไรหรือไม่น้องสาวคนงามก็มาสอนพี่ชายหน่อยได้หรือไม่เล่า? ”
ขณะที่พูดอยู่ มือของชายผู้นั้นก็วางลงบนไหล่ของซูจิ่นซีแล้วดึงนางให้เข้ามาใกล้อีกครั้ง
ซูจิ่นซีห่อร่างแล้วพลิกตัวไปยังด้านข้างเพื่อหลบเลี่ยงอีกครั้ง
ทว่าซูจิ่นซีคาดไม่ถึงว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นมามองอีกครั้ง นางจะเห็นคนผู้หนึ่งเดินเข้ามา
คนที่ต่อให้นางตายก็ไม่คิดว่าจะได้เจอในเวลาเช่นนี้
เยี่ยโยวเหยา!
เหตุใดเขาถึงมาอยู่ที่นี่?
หลายวันมานี้เขาไปที่ใดมา?
ซูจิ่นซียังไม่ทันได้แปลกประหลาดใจ ชั่ววินาทีต่อมานางก็ต้องตกตะลึงอีกครั้ง
เยี่ยโยวเหยาไม่ได้มาผู้เดียว ด้านข้างยังมีสตรีนางหนึ่งมาด้วย
สตรีผู้มีรูปลักษณ์สวยงามจนต้องตกตะลึง ท่วงท่าที่งามสง่า ซูจิ่นซีเคยพบกับนางในวังหลวงมาก่อนดูเหมือนนางจะมีนามว่าหนานกง ผู้อื่นยังบอกอีกด้วยว่าแม่นางหนานกงผู้นี้คือคู่หมั้นของเยี่ยโยวเหยา!
ภายใต้สายตาที่สับสนและซับซ้อนของซูจิ่นซี แม่นางหนางกงผู้นั้นก็ยื่นมือเข้ามาจับแขนของเยี่ยโยวเหยาเอาไว้คิดไม่ถึงว่าเยี่ยโยวเหยาไม่ได้ผลักไสหรือหลีกเลี่ยงแต่อย่างใด
ในขณะนี้ ภายในใจของซูจิ่นซีราวกับจะฉีกขาดอย่างไรอย่างนั้น นางเริ่มรู้สึกถึงความเ็ปและแน่นหน้าอกจนแทบจะหายใจไม่ออก
......
เชิงอรรถ
[1] ธาตุทั้งห้าตามความเชื่อของศาสตร์แพทย์แผนจีน ได้แก่ ธาตุไม้ ธาตุไฟ ธาตุดิน ธาตุทองและธาตุน้ำ
[2] หางจิ้งจอก สำนวนจีน หมายถึงเื่ไม่ดีปิดอย่างไรก็ปิดไม่อยู่ มีเจตนาหรือมีพฤติการณ์ที่ชั่วร้าย