ช่องกุญแจประตูก็มีดวงตราอักขระมาประทับแทน สามารถกำหนดวิธีการไขได้ด้วยตนเอง มีเพียงป้ายไม้หยาบสลักนามในมือเ่ิูเท่านั้นจึงจะทำให้มันทำงานได้
ในภพที่มีพลัง วิชายุทธ์พัฒนาสูงส่งเช่นภพนี้ วิถีชีวิตคนส่วนมาก ต่างก็ผูกติดกับอักขระลมปราณแทบทุกลมหายใจเข้าออก
และสำหรับเ่ิูแล้ว ห้องว่างที่ปิดสนิท คือหนึ่งในสิ่งสำคัญที่สุดที่เขาได้มาเป็ศิษย์สำนักนี้แล้ว
เ่ิูยากจน ไม่ได้มีสิ่งของติดตัว จึงนำของจิปาถะเล็กน้อยวางไว้บนชั้นเก็บของ
หลังจากนั้นเขาก็ค่อยๆยกกระถางดอกไม้สีแดงที่แตกไปมุมหนึ่งแล้วอย่างระมัดระวังเพื่อเอาขึ้นวางบนขอบหน้าต่าง ในกระถางนั้นมีดอกเดซี่บอบบางขึ้นอยู่เดียวดาย
นี่คือของที่ระลึกเดียวที่เขานำมาจากเหนือหลุมศพของบุพการี
เ่ิูจะรอจนกว่ามันจะผลิบานเต็มตัว แล้วค่อยนำบุปผานั้นคืนสู่หลุมศพของบิดามารดา
เวลาเดียวกันนั้นเอง
ในห้องรับแขก เพื่อนร่วมห้องสามคนของเ่ิูกำลังสนทนาบางอย่าง
สามคนนี้เป็ชนชั้นสูงมั่งคั่งอย่างเห็นได้ชัด อาภรณ์ผ้าไหมประดับหยกหรูหรา ตอนที่เห็นเ่ิูเข้าห้องก็แค่เหลือบมองไปเผลอๆ แล้วหันกลับเท่านั้น ไม่ได้หมายจะทักทายเลยแม้เพียงนิด
พวกเขาเป็ทายาทตระกูลสูงอย่างแท้จริง ด้วยเหตุนั้นจึงไม่รู้เื่ราวของเ่ิู และยิ่งไม่รู้เข้าไปใหญ่ในผลสอบอันน่าสะพรึงของเขา
ฉงนไม่ใช่น้อย
ไฉนเ้ายาจกยากจนนี่ถึงได้มาอยู่ห้องเดียวกันกับพวกชาติตระกูลดีเห็นๆ อย่างเขา หนึ่งในที่พักชั้นดีที่สุดได้
.....
เ่ิูอยู่ในห้องส่วนตัวของตนเอง จัดของ
เขาเพิ่งอ่าน ‘คู่มือแนะแนวทางศิษย์ใหม่’ จบไปรอบหนึ่ง ทำให้เข้าใจหลายๆ อย่างชัดเจนขึ้นโข หลังจากนั้นเขาก็นั่งเงียบๆ อยู่ข้างบานหน้าต่าง เริ่มจุดประกายวิชาลมหายใจไร้ชื่อ จมจ่อมสู่ห้วงสมาธิ
ตะวันรุ่งพรุ่งนี้ก็จะเริ่มเข้าเรียนแล้ว เขาต้องจัดการสถานการณ์ทุกอย่างให้สมบูรณ์พร้อมที่สุด
เป้าหมายของเด็กหนุ่ม อาจมิใช่แค่เื่ง่ายๆอย่างการสำเร็จการศึกษาให้ได้อย่างราบรื่น
...
วันที่สอง
ชีวิตการเป็ลูกศิษย์กำลังเริ่มขึ้นอย่างเป็ทางการ
เ่ิูตื่นแต่เช้าตรู่ ฝึกฝนลมหายใจเรียบร้อย ผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เป็ชุดเครื่องแบบสีขาวของสำนัก ผูกผมดำหนายาวไว้ด้วยเชือกพอให้ยึดติด ถือเครื่องไม้เครื่องมือที่ต้องใช้ในการเรียน เตรียมตัวออกไปเรียนคาบเช้า
พอเขาออกมา ก็พบว่าเพื่อนร่วมห้องทั้งสามได้หายไปแล้ว
เ่ิูเดินออกจากหอพัก สูดดมอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอด ตามองหาทิศทางของห้องเรียนแล้วจึงเดินตรงไปทางนั้น
ระหว่างทางมีพบเจอคนมากหน้าหลายตา ล้วนแต่อายุอานามไม่เกินสิบกว่าปี เดินเป็กลุ่มสองสามคนคุยกันจิ๊จ๊ะ ราวนกกระจอกหลุดจากกรงโลดเต้นอย่างยินดี ดวงตาเปี่ยมแววตั้งตารอชีวิตวันข้างหน้า
เ่ิูอายุสิบสี่ปี เกิดมาพร้อมด้วยรูปร่างสูงใหญ่ สูงกว่าคนอื่นๆประมาณหนึ่ง่ตัว พอยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มเด็กๆจึงโดดเด่นดึงดูดสายตา
แรกเริ่มเดิมทีใครๆ ก็คิดว่าเขาเป็ศิษย์ปีสูง ภายหลังพอพบว่าเขาสวมเครื่องแบบปีหนึ่ง จึงค่อยๆ มีคนเข้ามาทักทายเขาบ้าง
“เฮ้ เ้าคือเ่ิูหรือ? เ่ิูคนที่สอบผ่านห้าด่านก็ได้ ท่านอาจารย์หลักข่งคงอนุญาตให้เข้าสำนักได้เลยน่ะ ใช่ไหม?”
เด็กหญิงตัวน้อยเดินเข้ามาใกล้ ตากลมโตดำขลับจ้องเ่ิูด้วยแปลกใจ ชุดเครื่องแบบซึ่งเป็เสื้อคลุมยาวแถมใหญ่ พออยู่บนกายนางแล้วหลวมโพรกอย่างกับชุดนอน นางจับผ้าด้านหน้าให้สูงไว้อย่างระมัดระวัง แต่ด้านหลังกลับลากยาวไปกับพื้น น่ารักน่าเอ็นดูนัก
เ่ิูยิ้มพลางพยักหน้า
พอได้พบกับเพื่อนชั้นเดียวกันแล้ว เขาก็มีความรู้สึกเหมือนกลับเป็เด็กต๊อกต๋อยคนหนึ่งขึ้นจนได้
“เ้าสุดยอดไปเลยนะ! อ้อใช่ ข้าชื่อ่เี่ิ” เด็กหญิงตัวน้อยยกนิ้วหัวแม่โป้งให้แล้วแนะนำตัว ทว่าไม่ทันระวังเหยียบชายเสื้อตัวเองเข้าจนได้ นางเสียหลักจนเกือบจะล้มอยู่รำไร
ช่างบริสุทธิ์อ่อนเดียงสา นางแลบลิ้นชมพูสวย แล้วบ่นว่าอย่างขุ่นมัว “เสื้อนี่มันจะยาวไปไหนกันนะ น่าเกลียดชะมัดเลย เมื่อวานถามไปไม่รู้กี่รอบ ก็ยังไม่เจอชุดไหนพอดีกับคนตัวเล็กๆ อย่างข้าเสียที หลังจากนี้จะทำอย่างไรดีล่ะเนี่ย...”
เ่ิูขำเพราะท่าทางของนางเข้าให้แล้ว “เ้าก็เย็บแก้มันสักหน่อยสิ ได้ผลแน่”
นวลนางตัวเล็กก้มหน้า แก้มแดงระเรื่อ “ข้าเย็บผ้าไม่เป็นี่!”
บุตรหลานของชนชั้นสูงหรือคนมั่งมีมากมาย เป็คุณหนูคุณชายมาแต่กำเนิด อาภรณ์บรรณาการให้ยันที่ เหล้ายาปลาปิ้งแทบจะจ่อปากให้กิน นอกจากฝึกยุทธ์แล้ว ทักษะชีวิตอื่นๆ ก็นับเป็ศูนย์
และเมื่อเข้าสำนักกวางขาวมาแล้ว ห้ามมิให้มีพ่อแม่ องครักษ์หรือพี่เลี้ยงคอยติดตาม สำหรับพวกเขาแล้ว ่เวลาตอนเพิ่งจะเริ่มต้นนี่แหละ ที่ยากเย็นจนเืตาแทบกระเด็นอย่างไม่ต้องสงสัย
เ่ิูยิ้มบาง เขาว่า “เลิกเรียนแล้วมาหาข้าที่ตึก 5 ห้อง 303 ข้าจะช่วยเ้าเย็บเอง”
สำหรับเขาที่เพิ่งเจอแม่หญิงตัวน้อยสดๆ ร้อนๆ นี้ มีความรู้สึกที่ดีกับนางเป็พิเศษ
“เ้าเย็บผ้าได้ด้วยหรือ?” ่เี่ิเบิกตา ท่าทางเทิดทูนเหลือล้น ก่อนพยักหน้ารัวเหมือนไก่จิกข้าวเปลือก “เยี่ยมเลยๆ ข้าไปแน่”
ระหว่างเอ่ยนั้น มีเสียงเรียกชื่อ่เี่ิดังมากลายๆ
่เี่ิแลบลิ้น แล้วบอกเด็กหนุ่มตรงหน้า “พี่หญิงข้าตามหาข้าแล้วล่ะ ข้าไปก่อนนะ” ว่าจบนางก็เดินเตาะแตะกลับไป มีชีวิตชีวาดั่งกระต่ายน้อย
การแสดงคั่นฉากเดินไปเข้าเรียนของเ่ิูเมื่อครู่ ทำให้เขารู้สึกดียิ่งนัก
ไม่นานก็เดินมาถึงห้องเรียน
ในห้องบรรยายนั้น มีคนนั่งกันอยู่คับคั่ง
แต่ละคนๆ ล้วนทีท่ามั่นคง นั่งตามหมายเลขบนป้ายสลักนาม เ่ิูหาอยู่ครู่เดียว ก็พบว่าที่ของเขาอยู่ตรงกลางสุดของแถวแรก เป็ตำแหน่งที่ดีสุดอย่างไร้ข้อกังขา ที่แท้เขาก็โชคดีปานนี้เองหรือ?
ท่ามกลางสายตาริษยาผุดเป็ดอกเห็ด เขาก็นั่งลงตรงตำแหน่งของตัวเอง
ห้องบรรยายมีเสียงจอแจไม่ขาดสาย เดือดพล่านดั่งน้ำในหม้อเดือดๆ
...
เมื่อเสียงระฆังดังกังวาน ในที่สุดการเรียนการสอนก็เริ่มต้นขึ้น
สายตาเมียงมองเป็ตาเดียว อาจารย์สาววัยประมาณสี่สิบกว่าๆ เดินเข้ามา ขึ้นแท่นบรรยายเชื่องช้า ห้องเรียนพลันเงียบสงบลงเป็ลำดับ
รูปร่างหน้าตาอาจารย์หญิงนางนี้ธรรมดามาก ผมดำหยักศกยาวระแผ่นหลัง ชุดที่สวมก็เป็เครื่องแบบอาจารย์สุดแสนจะธรรมดา ไม่มีความแข็งแกร่งสุดขั้วหรือพลังพลุ่งพล่านแม้แต่น้อย
ลูกผู้ลากมากผู้ดีมากคนมองสตรีนางนี้แล้ว เห็นว่าสวยไม่เท่าคนใช้ในบ้านเลยด้วยซ้ำ ต่างก็ผิดหวังไปตามๆ กัน
นี่คือคาบเรียนแรกของศิษย์ใหม่ปีหนึ่ง
ศิษย์มากมายเฝ้ารอจะได้พบเจอเ้าสำนัก หรือคนสำคัญในแต่ละฝ่ายแต่ละหน่วยที่ภูมิฐานเสียหน่อย อาจารย์หลักข่งคงก็ดีไม่แพ้กัน ที่ไหนได้ใครจะนึกว่าต้องมาเจออาจารย์ที่สุดแสนจะธรรมดานางนี้จริงๆ
พอเข้าสู่ความนิ่งเงียบได้ครู่หนึ่ง ในห้องบรรยายก็เกิดมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันหึ่งๆ
“สวัสดีทุกคน ข้าคืออาจารย์สอนพื้นฐานฝึกร่างกายหวังเยี่ยน ตอนนี้เรามาเริ่มเรียนกัน...” สุภาพสตรีวัยกลางคนกล่าวหน้าไร้อารมณ์
ไม่มีคำกล่าวต้อนรับลูกศิษย์ ไม่มีคำแนะนำสำนัก ไม่มีบอกความคาดหวังหรือคำอวยพร หรือคำให้กำลังใจ ไร้แม้แต่คำพรรณนาอนาคตอันสดใส...
แม้แต่ชื่อหวังเยี่ยนก็ธรรมดาจนทำคนฟังเค้นให้สนใจไม่ขึ้น อาจารย์วัยสี่สิบนางนี้ใช้วิธีที่ทั้งง่ายและหยาบห้วนที่สุดเปิดการเรียนคาบแรกของเหล่าอัจฉริยะตาดำๆ ของสำนักกวางขาว
การฝึกร่างกายคือพื้นฐานของพลังวรยุทธ์ สำคัญเป็อย่างยิ่ง
“สิ่งที่เราเรียกว่าฝึกร่างกาย ก็คือการฝึกฝนจนร่างกายถึงขีดจำกัด สมัยอดีตนั้น นักปราชญ์แห่งเผ่าได้คิดค้นวิชาฝึกร่างกายไว้มากเหลือคณา สามารถทำให้ร่างกายอ่อนแอเปราะบางของมนุษย์ไต่เต้าถึงจุดสูงสุด ต่อต้านเผ่าปีศาจและอสูร ใช้กายเนื้อของเืเนื้อแหวกนภาผ่าหินผา...”
ั์ตานางกวาดมองศิษย์ด้านใต้ บรรยายต่อไปว่า “ทว่า แม้จะฝึกร่างกายจนถึงขีดจำกัดแล้ว นั่นก็ยังไม่พอ หากอยากดำรงเผ่าพันธุ์อยู่ต่อไปในโลกอันโหดร้ายใบนี้ จะต้องมีสถานะที่เข้มแข็งยิ่งกว่า ด้วยเหตุนั้นเมื่อฝึกฝนร่างกายแล้ว ถึงจะมีอาณาเนื้อฟ้า อาณาเหนือฟ้า แม้แต่อาณาน้ำพุิญญา อาณาทะเลระทมหรือภพอื่นที่เหลือ...”
“ภพเ่าั้สำหรับพวกเ้าแล้ว ยังห่างไกลนัก ยังไม่ได้เอ่ยถึง...”
“สิ่งที่ข้าต้องรับผิดชอบสอนพวกเ้าคือแนวทางและหลักการของขอบเขตการฝึกร่างกาย แบ่งเป็ทั้งหมดหกส่วนคือ หนัง เนื้อ กระดูก โลหิต ไขกระดูกและอวัยวะภายใน เพราะขั้นตอนการฝึกร่างกายถูกเรียกว่าเป็วรยุทธ์อาณาพิภพ ดังนั้นพวกเ้าก็ยังอาจเรียกอาณาเขตทั้งหกเหล่านี้ได้ว่า หนึ่ง เขตหนัง สอง เขตเนื้อ สาม เขตกระดูก...แยกประเภทได้ดังกล่าว”
“หนึ่ง เขตหนัง คือการฝึกพื้นฐานแรกสุด ิัเหนียวทรหด หอกดาบใดโจมตีก็เหมือนแทงเข้าตอไม้ที่ตายแล้ว”
“สอง เขตเนื้อ สร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง ฟันแทงไม่เข้า...”
“สาม เขตกระดูก หล่อหลอมให้แกร่งเหมือนเหล็ก รับแรงบุกมหาศาลได้โดยไม่ขาดสลาย ะเิสุดยอดพลัง...”
“สี่ เขตโลหิต ขนถ่ายเื ฟอกความสกปรกในร่างเมื่อภายหลัง...”
“ห้า เขตไขกระดูก...”
“หก เขตอวัยวะ...”
อาจารย์หญิงกลางคนบรรยายดั่งมีตัวอักษรลอยรอบกาย แต่ละตัวๆ ล้วนออกเสียงกระจ่างชัด อาศัยพลังผันผวนพาเสียงเดินทางถึงทั่วทุกมุมของห้องเรียน
แม้แต่เด็กที่นั่งแถวหลังสุดยังได้ยินคำพูดของนางได้อย่างชัดเจนนัก และยังกระจ่างลึกถึงแก่นสมองผู้ฟัง ฟังเข้าใจได้ง่ายเหมือนปอกกล้วย
แต่ปัญหาก็คือ ศิษย์ส่วนมากในที่นี้ก่อนเข้าสำนักกวางขาวมา ล้วนรู้มานานนมแล้วว่าการฝึกฝนร่างกายที่แท้มันเป็อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นส่วนใหญ่ก็ไต่ถึงขั้นสูงของอาณาพิภพแล้วด้วย ศิษย์ที่สอบเข้าได้อันดับหนึ่งถึงร้อย น่ากลัวว่าจะเข้าถึงชั้นสุดยอด ระยะทางจากระดับอาณาเนื้อฟ้าคงเหลือห่างกันไม่เกินครึ่งก้าวดี...
สำหรับศิษย์เหล่านี้แล้ว การมาบรรยายทฤษฎีที่พวกเขาคุ้นชนิดวัวเคยค้าม้าเคยขี่อีกรอบนั้น ไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง
เสียงอึงคะนึงในห้องยิ่งนานยิ่งจะมีแต่ดังขึ้น
นักเรียนมากมายฟังมึนๆ บ้างง่วงเหงาหาวนอน บ้างนั่งเท้าคางมือปิดหูด้วยความง่วงและเบื่อหน่าย กับอาจารย์จืดชืดธรรมดาๆ นางนี้แล้วไม่มีจิตเคารพให้เกียรติอะไรทั้งนั้น บรรยากาศในห้องเรียนเริ่มโกลาหลยกใหญ่
อาจารย์หญิงกลางคนดูราวกับไม่มีความรู้สึกอันใด ยังคงบรรยายต่อไปไม่ช้าไม่เร็ว
เ่ิูกลับนั่งฟังอย่างตั้งใจนัก
เมื่อก่อนเขาอาศัยครูพักลักจำเื่ฝึกฝนวิชายุทธ์มาทั้งนั้น พื้นฐานง่ายๆ ถือเป็ศูนย์ ไม่เคยได้ััละเอียดลออทุกเม็ดเช่นนี้มาก่อน สำหรับเด็กหนุ่มแล้ว คำพูดของอาจารย์ตรงหน้านี้ก็เหมือนกับเสียงธรรมชาติ ทฤษฎีและวิธีการมากมาย ล้วนเป็เื่ที่เขาได้ยินเป็ครั้งแรกทั้งสิ้น เด็กหนุ่มคิดว่าคาบเรียนนี้ช่างเยี่ยมยุทธ์เหนืออะไรดี
และรอบข้างเขา เหล่านักเรียนมากมายที่นั่งแถวหน้าเว้นแต่สองคนที่ร้อนรนและสีหน้าบอกบุญไม่รับแล้วแต่ไม่อาจแสดงออกได้แล้ว คนอื่นมากมายนั่งฟังอย่างจริงจัง เคารพนบนอบกันทั้งนั้น
เวลาผ่านไปทีละนาที ทีละวินาที
“เพราะเหตุนั้น ฝึกฝนร่างกายจนเข้าจุดสูงสุดแล้วจึงจักมีโอกาสได้พลังระดับนักรบคือเขตอาณาเนื้อฟ้า ต้องครองพลังปราณใต้หล้าไว้ในกำมือจึงจักกระตุ้นร่างกายให้จุดประกายพลังิญญา แล้วจึงจักเรียกได้ว่าเป็ผู้เหยียบย่างเข้าจิตแห่งวรยุทธ์ได้อย่างแท้จริง...”
อาจารย์สตรีกลางคนที่สุดก็ปิดการบรรยายพื้นฐานของการฝึกร่างกาย นางเงียบเสียงลง
หนึ่งชั่วโมงผันผ่านไปแล้ว ไวเหมือนโกหก
เสียงอื้ออึงในห้องเรียนหยุดยั้งลงช้าๆเช่นกัน เหล่านักเรียนล้วนแต่รอคอยเสียงบอกเลิกคาบ
แต่ยามนี้เอง ที่ใบหน้าเคร่งขรึมของอาจารย์หญิง ได้มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมา
หน้าตาที่เคยธรรมดาของนาง เพราะรอยยิ้มความหมายนี้ ทำให้แสงแปลกประหลาดแวววับ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้