"แม่นางเซวียหมายความว่า ตราบใดที่ทำสิ่งที่เรียกว่าฆ่าเชื้อเรียบร้อย แผลก็จะไม่เน่าและกลัดหนองใช่หรือไม่"
หลังกินข้าวเสร็จ ผูหยางชิงหลันก็ไม่รีบร้อนกลับ ซักถามข้อกังขาตลอดเวลา
"ใช่ว่าจะไม่เกิดขึ้นเลย แต่โอกาสเกิดน้อยกว่า" ถึงจะเป็ยุคปัจจุบัน หากไม่ระวังาแก็ยังมีโอกาสติดเชื้ออยู่ ยิ่งไปกว่านั้นความรู้ด้านการแพทย์ที่เซวียเสี่ยวหรั่นสามารถบอกเล่าได้ก็ยังน้อยนิด เธอไม่ใช่หมอ เป็เพียงนักเรียนธรรมดาคนหนึ่ง ความรู้ยังไม่มากพอ
"ขณะเย็บแผล ถ้าระวังสุขอนามัยในการฆ่าเชื้ออย่างดี โอกาสรอดก็จะยิ่งสูงขึ้น" ผูหยางชิงหลันพึมพำเบาๆ คล้ายเป็การถามนาง แต่ก็ดูเหมือนเป็การพูดให้ตนเองฟัง
เหลียนเซวียนนั่งอยู่กับพวกเขาตลอดเวลา ผูหยางชิงหลันมักกระตือรือร้นเป็พิเศษต่อปัญหาด้านการแพทย์ หากไม่ถามให้รู้เื่ก็จะไม่เลิกราเป็อันขาด
เซวียเสี่ยวหรั่นหันไปมองเหลียนเซวียน พลางทำท่าลิ้นห้อย เธอแค่พลั้งปากไปนิดเดียว ผูหยางชิงหลันถึงกับลากมาถามไม่หยุดหย่อน
แต่ความกระตือรือร้นและฝักใฝ่เรียนรู้ในทางการแพทย์ของเขาทำให้เซวียเสี่ยวหรั่นรู้สึกชื่นชมยกย่อง ดังนั้นเธอจึงยินดีให้ความร่วมมือกับทุกคำถามของเขา
แววตาของเหลียนเซวียนแฝงรอยยิ้มอ่อนจาง มองนางปราดหนึ่งก่อนเลื่อนสายตาไป "ศิษย์พี่ เวลาไม่เช้าแล้ว พรุ่งนี้ยังต้องเดินทางอีกนะ"
ผูหยางชิงหลันถูกเรียกได้สติกลับมา ก็ชักสีหน้าถลึงตาใส่เขา "เดินทางแต่เช้าอะไรกัน จะเร็วจะช้าไปสักหนึ่งวันก็ไม่เห็นเป็ไร มะรืนค่อยออกเดินทางก็ยังมิสาย"
พูดจบก็หันมาหาเซวียเสี่ยวหรั่น ใบหน้าเปลี่ยนเป็ยิ้มแย้ม "แม่นางเซวีย วันนี้ได้ฟังถ้อยคำของท่านไม่กี่ประโยค ประเสริฐยิ่งกว่าศึกษาตำรานับสิบปี ต้องขอบคุณในความเอื้อเฟื้อของแม่นาง"
เขาประสานมือคำนับให้
เซวียเสี่ยวหรั่นรีบบ่ายเบี่ยง "คุณชายผูหยาง ท่านเกรงใจไปแล้ว อันที่จริงข้าก็ไม่ค่อยเข้าใจเื่เหล่านี้มากนัก แค่เคยได้ยินท่านปู่กล่าวถึงเท่านั้นเอง หากสามารถช่วยเสริมส่งวิชาแพทย์ของท่านได้ ก็นับเป็โชคดีอย่างใหญ่หลวง"
"แม่นางเซวียถ่อมตนแล้ว ท่านปู่ของท่านเป็ผู้มีสติปัญญาล้ำลึก น่าเสียดายที่ไร้วาสนาได้ชื่นชมบารมีของท่านาุโ" ผูหยางชิงหลันทอดถอนใจอย่างเสียดาย
เซวียเสี่ยวหรั่นรีบกล่าวถ่อมตนอีกรอบ
จากนั้นถึงส่งสองศิษย์อาจารย์กลับไป
"โอย..." หลังส่งคนกลับ เซวียเสี่ยวหรั่นก็หย่อนก้นบนเก้าอี้ไท่ซืออย่างหมดแรง "ศิษย์พี่ของท่านเป็คนชอบเอาชนะเสียจริง"
ไม่เพียงแต่ด้านการแพทย์ กับเหลียนเซวียนก็ยังชอบประชันขันแข่ง
ประตูห้องรับแขกของห้องรับแขกยังเปิดกว้างอยู่ ในนั้นมีเพียงเซวียเสี่ยวหรั่นกับเหลียนเซวียนสองคน
เหลียนเซวียนนั่งลงข้างนางช้าๆ
"เขานิสัยอย่างนี้เอง"
เป็ศิษย์น้องของผูหยางชิงหลันมาหลายปี เหลียนเซวียนย่อมรู้นิสัยศิษย์พี่ผู้นี้อย่างถ่องแท้
ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนไม่อาจเรียกว่าดี แต่ก็ไม่เลวร้าย
การประชันขันแข่งเ้ามาข้าไปเ่าั้ก็เป็เพียงผิวเผินภายนอกเท่านั้นเอง
เหลียนเซวียนรู้จักแยกแยะ
"เมื่อครู่เขาบอกว่า อีกสองวันค่อยออกเดินทาง ศิษย์พี่ของท่านจะตามไปเมืองหลวงด้วยหรือ" เซวียเสี่ยวหรั่นนึกถึงเื่นี้
สีหน้าของเหลียนเซวียนชะงักไปชั่วขณะ หันมามองนาง เรียบเรียงถ้อยคำก่อนเอ่ยปาก "ข้ากับศิษย์พี่อาจต้องจากไปสักพัก เ้ากับหงกูไปอยู่ที่เมืองเฉียนเฟิงก่อนชั่วคราว รอหลังจากข้ากลับมาค่อยออกเดินทาง"
"หา?" เซวียเสี่ยวหรั่นตกตะลึง เอวที่พิงพนักด้านหลังอยู่ยืดตรงขึ้นมาทันที "พวกท่านจะไปไหน"
"พิษในร่างกายข้าฝังอยู่นานเกินไป จำเป็ต้องอาศัยน้ำพุร้อนบนเขาอวี่เหลียนซานในการขับพิษ ดังนั้นอีกสองวันข้ากับศิษย์พี่จะเดินทางไปที่นั่น"
พอเห็นสีหน้าตื่นตระหนกทำอะไรไม่ถูกของนาง ดวงตาของเขาก็หม่นลง
"แล้ว... พวกเราตามไปเขาอวี่เหลียนซานไม่ได้หรือ"
เหตุใดพวกเธอต้องไปเมืองเฉียนเฟิงด้วยล่ะ? สีหน้าของเซวียเสี่ยวหรั่นฉายแววงุนงง
"การเดินทางขึ้นเขาอวี่เหลียนซานต้องควบม้าเร็ว เดินทางทั้งวันทั้งคืน อีกอย่างหลังไปถึงแล้ว ข้าต้องเก็บตัวหลายวัน ถนนหนทางเป็หลุมเป็บ่อ พวกเ้าอย่าตามไปเลย เมืองเฉียนเฟิงเป็พื้นที่ศักดินาของเฟิงอ๋อง ทั้งนอกในล้วนมั่นคงปลอดภัย เดินทางจากที่นี่ไปแค่วันเดียว พวกเ้าไปพักผ่อนที่นั่นสักพัก ไม่ช้าข้าจะกลับมา"
น้ำเสียงลุ่มลึกแ่เบาของเหลียนเซวียนวนเวียนอยู่ในห้องรับแขก
เซวียเสี่ยวหรั่นฟังแล้วก็เคลิ้มไปเล็กน้อย "แล้วพวกท่านจะไปนานแค่ไหน"
นี่เป็ครั้งแรกที่เธอต้องแยกจากเหลียนเซวียนนับั้แ่มาถึงโลกใบนี้
ภายในใจรู้สึกพะว้าพะวัง และเคว้งคว้างอย่างบอกไม่ถูก
"อย่างเร็วครึ่งเดือน อย่างช้าก็ประมาณยี่สิบวัน เ้าไม่ต้องกังวล ข้าจะให้หงกูกับฟางขุยติดตามไปด้วย มีเื่อะไรก็สั่งพวกเขาได้เลย ข้าจะรีบกลับมาโดยเร็ว"
นางหลุบตาเล็กน้อย แพขนตาโค้งงอนเป็มุมสวยภายใต้แสงตะเกียง ยามกะพริบปริบๆ แลดูคล้ายกับผีเสื้อโบยบิน ชวนให้หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้น
ต้องไปครึ่งเดือน เซวียเสี่ยวหรั่นนับวันดู กว่าเขาจะกลับมาก็ใกล้จะหมดเดือนห้าแล้ว
"เช่นนั้น ท่านก็พาหงกูกับฟางขุยไปด้วยเถอะ ข้าทางนี้ไม่ต้องใช้พวกเขา"
แม้จะยังตั้งตัวไม่ติดกับข่าวที่ได้มากะทันหัน แต่เซวียเสี่ยวหรั่นยังคงจับใจความสำคัญในถ้อยคำของเหลียนเซวียนได้
เธอไม่อยากให้หงกูผู้มีบุคลิกเหมือนครูใหญ่เ้าระเบียบคอยติดตามข้างกายตลอดเวลา แบบนั้นมันเครียดเกินไป
ดวงตาสีดำเข้มของเหลียนเซวียนมองมาที่นาง แล้วก็จู่ๆ ก็หัวเราะ
"ท่าน... ท่านขำอะไร" เซวียเสี่ยวหรั่นขัดเขินที่ถูกเขาดูออก
"หงกูแค่ดูเคร่งขรึมไปหน่อยเท่านั้น แท้จริงเป็คนอัธยาศัยดีมาก เ้าอย่ามองคนแต่ภายนอกสิ" เหลียนเซวียนมองสีหน้าตกประหม่าของนางแล้ว ก็รู้สึกคันมือขึ้นมายิบๆ
ขณะที่มือใหญ่กำลังยื่นเข้าหา เซวียเสี่ยวหรั่นก็ถลึงตาอย่างรู้ทัน แล้วคว้ามือซุกซนของเขาไว้ทันควัน
"ฮึ ข้าเป็เช่นนั้นที่ไหน ความหมายของข้าก็คือ ท่านเคยชินกับการปรนนิบัติของพวกเขามิใช่หรือ พาไปด้วยจะได้สะดวกหน่อย"
ตีให้ตายเธอก็ไม่ยอมรับ
"ข้าไปถอนพิษ หาได้ไปเที่ยวูเาชมแม่น้ำ ไม่้าคนปรนนิบัติรับใช้" มือใหญ่ถูกมือเล็กจ้อยของนางคว้าไว้ นิ้วมือเรียวขาวกระจ่างราวกับขนมไป๋ถังเกา [1] นุ่มๆ บีบรัดอยู่ที่ข้อมือเขา
สีตาของเหลียนเซวียนเข้มขึ้น ขยับข้อมือเล็กน้อย ให้มือขาวผ่องแนบชิดกับตนเอง
"แต่ข้าไม่อยากให้ใครคอยติดตามนี่นา ข้าไม่ใช่เด็กแล้วนะ" เซวียเสี่ยวหรั่นไม่ทันสังเกตลูกไม้เล็กน้อยของเขา
"เ้าไม่ชอบให้นางคอยตาม จะสั่งให้ไปทำอย่างอื่นก็ได้ แต่ถ้าจะออกไปข้างนอก ต้องพาฟางขุยไปด้วย หรือให้องครักษ์อื่นติดตาม เข้าใจหรือไม่"
เหลียนเซวียนกำชับอย่างเหม่อลอย
"อื้อ ข้ารู้แล้ว ว่าแต่ข้าจะสั่งหงกูให้ทำสิ่งใดล่ะ" เซวียเสี่ยวหรั่นนึกไม่ออกชั่วขณะว่ามีสิ่งใดที่จะใช้หงกูไปทำได้
"ค่อยๆ นึกไป เดี๋ยวก็คิดออกเอง" เหลียนเซวียนมองนาง รอยยิ้มเข้มขึ้นเรื่อยๆ
"อื้อ" เซวียเสี่ยวหรั่นรับคำ ก่อนจะพบว่ารอยยิ้มของเขาค่อยๆ กำจายจากกลางหว่างคิ้วไปถึงหางตา พลันอึ้งไป "เหตุใดท่านดูมีความสุขเช่นนี้เล่า"
"เป็งั้นหรือ" เหลียนเซวียนพยายามกลบเกลื่อนแววยิ้ม
"ใช่ เมื่อครู่ท่านยิ้มจนหางตาแทบเป็รอยตีนกาแน่ะ" เซวียเสี่ยวหรั่นยื่นมือที่ว่างอยู่ชี้ไปที่หางตาของเขา
รอยยิ้มของเหลียนเซวียนชะงักค้าง แววยิ้มที่ทิ้งรอยย่นไว้บนหางตากลายเป็เจื่อนสนิท
"ฮ่าๆ" คราวนี้ถึงตาเซวียเสี่ยวหรั่นเป็ฝ่ายหัวเราะจนตัวโยนบ้าง
ไม่ได้สำเหนียกแม้แต่น้อยว่าตนเองยังจับข้อมือเขาอยู่
เห็นนางยิ้มร่าเบิกบาน เหลียนเซวียนก็จงใจขบริมฝีปาก ปล่อยให้นางหัวเราะต่อไป
...
[1] ขนมไป๋ถังเกา เป็ขนมที่ทำมาจากแป้งข้าวเ้ากับน้ำตาลทรายเอาไปนึ่ง มีลักษณะเป็สีขาว เนื้อพรุนไม่เนียน มีความเหนียวนุ่ม ไม่แห้งเหมือนขนมถ้วยฟู แท้จริงแล้ว คำว่าปาท่องโก๋ที่คนไทยเรียกกัน เพี้ยนเสียงมาจากปะถ่องโก๊ ในภาษาจีนกวางตุ้ง หรือ แปะถึ่งกอในภาษาจีนแต้จิ๋ว ซึ่งหมายถึงขนมไป๋ถังเกาชนิดนี้ แต่เพราะขนมสองอย่างมักขายด้วยกันเลยเกิดความเข้าใจผิด
