เฉียวเยว่พักผ่อนอยู่หนึ่งวัน ระหว่างนั้นมีแต่ซูซานหลางกับไท่ไท่สามที่เข้ามาเยี่ยม ไม่มีคนนอก ได้ยินว่าจวนแม่ทัพิ่แวะมาเยี่ยมเยียนและส่งของบำรุงมาให้ แต่เพราะเฉียวเยว่วิงเวียนศีรษะนอนหลับพักผ่อน ซูซานหลางจึงมิได้จัดเตรียมให้พวกเขาเข้ามา
แต่หลังจากพักผ่อนเพียงหนึ่งวัน อาการของเฉียวเยว่ก็ดีขึ้น แท้จริงแล้วนางมิได้รับาเ็ภายนอก จึงได้แต่บอกผู้อื่นว่าเคราะห์ร้าย อยู่ดีๆ ก็หกล้มศีรษะกระแทก แต่หากให้เฉียวเยว่อธิบายเอง ก็คงบอกได้แค่ว่าศีรษะกระทบกระเทือนชั่วคราว
ไท่ไท่สามมาดูอาการของนางแต่เช้า พอเห็นว่าดีขึ้นมากแล้วก็เอ่ยปากด้วยความปวดใจ "อยู่ดีๆ เหตุใดถึงต้องมาประสบเคราะห์โดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่เช่นนี้ ข้าว่าต้องพาเ้าไปไหว้พระไหว้เ้าให้ดีเสียหน่อยแล้ว"
เฉียวเยว่ลูบใบหน้าแล้วเอ่ยว่า "ท่านแม่วางใจเถอะเ้าค่ะ ข้าไม่เป็อันใดแล้ว ไม่จำเป็ต้องไปไหว้หรอกกระมัง พวกเราไม่ควรรบกวนพระพุทธองค์บ่อยนักนะเ้าคะ"
ไท่ไท่สามขบขันกับถ้อยคำติดตลกของนาง หลังจากผ่อนคลายลงมาบ้างแล้วก็เอ่ยว่า "แม่เสียใจแทบตาย หากไม่เพราะข้าใช้ให้เ้าออกไป ไหนเลยจะต้องมาเจอกับเื่แบบนี้"
พอได้ยินว่ารถม้าของเฉียวเยว่พลิกคว่ำ นางก็นึกโทษว่าเป็ความผิดของตนเอง
เฉียวเยว่ดึงมือของไท่ไท่สามมากุม แล้วเอ่ยอย่างจริงจัง "ท่านแม่กล่าวเช่นนี้ไม่ถูกนะเ้าคะ หรือว่าข้าจะออกไปไหนมิได้เลย อย่างกับว่าหากท่านมิให้ข้าออก ข้าจะไม่แอบออกไปเองอย่างนั้นแหละ อีกอย่างเื่นี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ เป็ความผิดของข้าเองด้วยที่ตอนนั้นไม่เยือกเย็นมากพอ"
“เ้าจัดการให้องครักษ์ออกไปช่วยเหลือ จะเรียกว่าไม่เยือกเย็นพอได้อย่างไร"
ดวงตาของไท่ไท่สามมีประกายไหวระริกผุดขึ้นมา ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างซ่อนเร้นอยู่ เฉียวเยว่เห็นสีหน้าของมารดาตนเอง ก็นึกถึงท่าทางของอวิ๋นเอ๋อร์เมื่อวาน ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าพวกนางน่าจะมีเื่ปกปิดตนเองอยู่ นางอยากจะถาม แต่คนเหล่านี้ก็มักเห็นนางเป็เด็กเล็กๆ อยู่เรื่อย เื่อะไรล้วนปิดบังไว้หมด นึกมาถึงตรงนี้ เฉียวเยว่ก็ผ่อนคลายอารมณ์ หัวเราะเบาๆ แล้วเอ่ยว่า "ท่านแม่ เมื่อข้าหายดีแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะไปสำนักศึกษานะเ้าคะ"
"เ้าพักอีกสองสามวันเถอะ ไม่ต้องกลัวว่าจะตามบทเรียนไม่ทัน ข้ารู้ว่าเด็กเฉลียวฉลาดอย่างเ้าไม่มีผลกระทบอยู่แล้ว" ไท่ไท่สามเอ่ยทันควัน
คำตอบของไท่ไท่สามดูละล้าละลังเกินไป ยิ่งเป็แบบนี้เฉียวเยว่ก็ยิ่งรู้สึกว่าทุกคนมีเื่ปิดบังนางอยู่
"ข้าไม่เอา หากไม่ไปสำนักศึกษาข้ารู้สึกเหมือนชีวิตขาดอะไรไปอย่าง อย่างไรเสียข้าก็จะไป" เฉียวเยว่ทำเ้าแง่แสนงอน
ไท่ไท่สามเม้มปาก ใช้น้ำเสียงเคร่งเครียดจริงจังขึ้นมาทันที "เ้าเด็กคนนี้ ไฉนไม่เชื่อฟังกันบ้าง บอกให้เ้าพักเ้าก็พักไปเถอะ หากพักผ่อนไม่เต็มที่เกิดเป็อะไรขึ้นมาภายหลังจะทำเยี่ยงไร เ้าจะให้ข้ากลุ้มใจจนตายไปเลยใช่หรือไม่?"
เฉียวเยว่ตอบอื้อเสียงอ่อย แต่นางก็เปลี่ยนหัวข้ออย่างรวดเร็ว "ท่านแม่ข้าอยากกินของหวาน" นางยิ้มตาหยี
"ได้ ได้ ได้" ไท่ไท่สามตอบ
"ข้าอยากกินฝีมือท่านแม่" เฉียวเยว่ทำตาปริบๆ อย่างฉอเลาะ
"ได้ แม่จะไปทำให้เ้า" ไท่ไท่สามไม่บ่ายเบี่ยง
พอเห็นไท่ไท่สามออกจากห้องไปแล้ว รอยยิ้มร่าเริงบนใบหน้าของเฉียวเยว่ก็จืดจางลง
"อวิ๋นเอ๋อร์ เสี่ยวชุ่ย" นางเอ่ยเสียงเรียบ
สาวใช้ทั้งสองเดินเข้ามาทันที "คุณหนูมีสิ่งใดจะรับสั่งหรือเ้าคะ?"
เฉียวเยว่เงยหน้าถาม "เกิดเื่อะไรขึ้น เหตุใดห้ามข้าออกไปข้างนอก?"
นางดูออกว่ามารดาไม่อยากให้นางออกจากจวน คิดว่าน่าจะต้องเกิดเหตุร้ายอะไรบางอย่าง มิเช่นนั้นแล้วก็คงไม่ถึงขั้นนี้
"พวกเ้าเล่ามาให้ข้าฟัง แท้จริงแล้วเกิดอะไรกันแน่"
"คุณหนูพักผ่อนอย่างสบายใจเถิดเ้าค่ะ ไม่มีอะไรทั้งนั้น ท่านกังวลมากไปแล้ว" อวิ๋นเอ๋อร์ตอบทันที
เฉียวเยว่หัวเราะเยาะ "ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรือ? พวกเ้าเห็นข้าเป็คนเขลาหรือไร หากพวกเ้าไม่บอกข้าตอนนี้ ข้าไปถามป้าสะใภ้รองก็ได้ นางเกลียดขี้หน้าข้าปานนั้น จะต้องเล่าให้ฟังแน่นอน"
น้ำเสียงของเฉียวเยว่ราบเรียบมาก แต่ถ้อยคำกลับทำให้สาวใช้ทั้งสองใจนขวัญหนีดีฝ่อ
อวิ๋นเอ๋อร์ขบริมฝีปาก เกิดความลังเลใจ กลับเป็เสี่ยวชุ่ยที่หลังจากขบคิดอยู่สักพักก็บอกออกไปตามตรง "คุณหนู แท้จริงแล้วไท่ไท่หวังดีต่อคุณหนูนะเ้าคะ นางไม่อยากให้ท่านออกไปได้ยินข่าวลือภายนอกให้หงุดหงิดใจเ้าค่ะ"
เฉียวเยว่เลิกคิ้วถาม "ข่าวลืออะไร?"
อวิ๋นเอ๋อร์รีบรั้งเสี่ยวชุ่ยทันที แต่เสี่ยวชุ่ยกลับบอกว่า "พวกเราไม่อาจปกปิดคุณหนูได้ตลอดไป ถึงอย่างไรคุณหนูก็หาทางรู้ได้อยู่ดี คุณหนูเป็เด็กเฉลียวฉลาด ไม่เกิดเื่หรอกน่ะ"
พอฟังมาถึงตรงนี้ อวิ๋นเอ๋อร์ก็ยอมปล่อยมือ
เสี่ยวชุ่ยจึงเล่าต่อไป "ข้างนอกมีข่าวลือว่าพอท่านเห็นมือสังหารก็รีบหนี ไม่คำนึงถึงมิตรภาพระหว่างตนเองกับนายน้อยิ่ ยังบอกว่าถึงแม้ท่านจะเป็สตรี ไม่รู้ศิลปะการต่อสู้ แต่ก็ไม่ควรเ็าแล้งน้ำใจเกินไปนัก ดูจากตรงนี้ก็เห็นได้ว่าท่านไม่ได้เป็คนดีอะไรเลย"
เฉียวเยว่หัวเราะพรืดออกมาทันที แล้วเอ่ยว่า "ไม่หนีแล้วให้ข้าจะอยู่ทำอะไร อยู่รอคนชุดดำเ่าั้มาฆ่าทิ้งหรือ?"
เฉียวเยว่พูดแล้วก็อยากหัวเราะให้ฟันร่วง คนเหล่านี้สมองกลวงกันไปหมดแล้วหรือ!
หลังจากสงบอารมณ์ลงได้ ก็ถามว่า "เท่านี้เองหรือ? ด้วยเื่เล็กน้อยเพียงแค่นี้ พวกเ้าก็วิตกกังวลไม่อยากให้ข้าออกไปข้างนอก?"
เสี่ยวชุ่ยเบิกตากว้าง เอ่ยถ้อยคำเร็วขึ้นหลายส่วน "นี่เป็เื่ใหญ่มากนะเ้าคะ ไม่รู้เพราะเหตุใด เพียงไม่กี่ชั่วยาม ข่าวลือนี้ก็แพร่สะพัดออกไปทั่วแล้ว ยังมีคนบอกว่าท่านดูเป็คนไม่เลว แต่แท้จริงแล้วกลับไม่ใช่ กล่าวโดยสรุปแล้ว ข่าวลือข้างนอกที่เกี่ยวกับตัวท่านล้วนไม่มีอะไรดีเลยเ้าค่ะ"
เฉียวเยว่แค่นเสียงหึเบาๆ แล้วกล่าวว่า "ข่าวลือที่ไม่มีอะไรดี? ไหนพูดมาให้ฟังหน่อยซิ?"
นางหัวเราะ "พูดมาเถอะ ข้าก็อยากรู้ว่าตนเองทำชั่วช้าอันใดเอาไว้บ้าง?"
ทีท่าของนางเหมือนไม่เก็บมาใส่ใจ แต่สาวใช้ทั้งสองรู้ว่าคุณหนูของตนกำลังโกรธแล้ว
"คุณหนูอย่าไปถือสาคนต่ำช้าเ่าั้เลย ท่านพักผ่อนให้มากๆ อีกสองสามวันมีข่าวลือใหม่ๆ เข้ามา ทุกคนก็ลืมเื่นี้กันไปเอง" อวิ๋นเอ๋อร์ปลอบประโลมเฉียวเยว่ "อย่างไรเสียนี่ก็ไม่ใช่เื่ใหญ่ ลองเปลี่ยนไปเป็พวกเขาบ้าง ยังไม่แน่ว่าจะเป็เช่นไร"
"แต่ข้ากลับคิดว่ามีคนคอยช่วยผลักคลื่นลมอยู่เื้ั" เฉียวเยว่เอ่ยเสียงเบา
เื่นี้ทุกคนต่างรู้ แต่รายละเอียดว่าผู้ใดเป็คนทำยังต้องตรวจสอบต่อไป ทว่าเื่เหล่านี้ทั้งจังหวะและโอกาสล้วนประจวบเหมาะเกินไป
"แล้วคนชุดดำเ่าั้ทำไมถึงถูกยิงตายหมดเลยเล่า?" นางถามขึ้นมาอีก
"เป็อวี้อ๋องเ้าค่ะ ไม่รู้ว่าเหตุใดท่านอ๋องถึงพาคนไล่ตามมา จากนั้นก็ระดมยิงธนูสังหารหมดทุกคน คนเ่าั้... ตอนนี้มีข่าวลือจากใต้ดินออกมาว่าคนเ่าั้เป็ชาวซีเหลียงเ้าค่ะ" อวิ๋นเอ๋อร์ตอบ
เฉียวเยว่ขบริมฝีปาก
"มีคนคาดคะเนว่าท่านอ๋องคงได้ข่าว ดังนั้นจึงพาคนมา ทุกคนต่างรู้ว่าอวี้อ๋องเคียดแค้นชิงชังซีเหลียงเพียงใด จะสังหารคนโดยตรงก็ไม่แปลกสักนิด" เสียงของบุรุษดังขึ้น ฉีอันเดินเข้ามาในห้อง
"ถึงบอกว่าพวกเราเป็ฝาแฝดมีใจสื่อถึงกัน ข้ารู้ว่าเ้าต้องสืบสาวราวเื่จนถึงที่สุดให้ได้" ฉีอันกล่าว
เฉียวเยว่ทอยิ้มอ่อนจาง มุมปากผุดลักยิ้มเล็กจ้อยที่คล้ายมีคล้ายไม่มี "ข้าต้องอยากรู้อยู่แล้ว"
นางขบริมฝีปากถามว่า "แล้วพี่จ้านเล่า?"
ปากน้อยๆ มุ่ยยื่นออกมา "ไม่เห็นมาเยี่ยมข้าเลย ใช้ไม่ได้เลยจริงๆ"
เฉียวเยว่มักพูดตรงเช่นนี้จนเป็เื่ปรกติ
"ท่านพูดเช่นนี้ไม่ถูก พี่จ้านเป็บุรุษภายนอก จะมาเยี่ยมท่านได้อย่างไร?”
"เหตุใดจะไม่ได้ เขามาจวนเราน้อยนักหรือ ราวกับเดินผ่านประตูเมืองก็ไม่ปาน" เฉียวเยว่ค่อนแคะ
ฉีอันแทบสำลักออกมา พูดตามความสัตย์จริง คนไม่มีจิตสำนึกเช่นพี่สาวของเขามีอยู่น้อยมากจริงๆ
"ข้าว่าท่านอ๋องไม่มีเวลามาสนใจเ้าหรอก"
เฉียวเยว่เชื่อเสียที่ไหน นางกลอกตาอย่างรวดเร็ว
"จริงๆ นะ ไม่รู้ว่าเขาเกิดคลั่งอะไรขึ้นมา ั้แ่เมื่อวานถึงตอนนี้มีหลายร้านถูกสั่งปิดเพื่อทำการตรวจสอบแล้ว" ฉีอันพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
เฉียวเยว่อึ้งงัน "ร้านอะไร?"
ฉีอันพูดต่อ "เ้าถามข้า ข้าจะไปถามใคร? ข้าเป็คนธรรมดา เ้าเคยเห็นคนธรรมดาคาดคะเนความคิดของคนผิดปรกติได้หรือไม่เล่า นี่ต่างหากที่ไม่สมเหตุสมผลมากที่สุด"
เฉียวเยว่ขำพรืดออกมา "เอาเถอะ แต่ข้าว่าแปดส่วนน่าจะเกี่ยวข้องกับมือสังหารครานี้"
นางเว้นจังหวะเล็กน้อย แล้วเอามือเท้าคาง "แต่อยู่ดีๆ ไยต้องตามฆ่าิ่จื้อรุ่ยด้วยล่ะ?"
พี่จื้อรุ่ยเป็เด็กหนุ่มที่ยังเรียนหนังสืออยู่ แม้แต่สนามรบก็ไม่เคยเข้า สังหารเขาจะมีความหมายอะไร หรือว่าเป็การเตรียมซ่อมหน้าต่างก่อนฝนตก [1] ? จุดนี้ชวนให้คนรู้สึกผิดปรกติ
แต่ทันใดนั้นนางก็นึกถึงคราก่อนที่ิ่จื้อรุ่ยเข้ามาหลบในห้องของนาง เฉียวเยว่ขบริมฝีปากทันควัน แท้จริงแล้วนางก็ไม่อยากคิดไปในทางที่ไม่ดี หรือว่าเื่นี้... จะมีส่วนพัวพันกับจวนซู่เฉิงโหวของนาง?
แท้จริงแล้วเมื่อมาไตร่ตรองดูดีๆ การที่นางถูกลักพาตัวไปคราก่อนก็เช่นเดียวกัน นางไม่เชื่อว่ามารดาของชิงเยว่จะเป็มือมืดผู้บงการอยู่เื้ั หรือมีโอกาสติดต่อกับซีเหลียงมาลักพาตัวนาง ความเป็ไปได้เพียงหนึ่งเดียวคือต้องเป็คนอื่น แต่ว่า... จะเป็ใครกันเล่า?
และมีความเกี่ยวข้องกับเื่ของิ่จื้อรุ่ยครานี้หรือไม่?
เฉียวเยว่ยิ่งคิดก็ยิ่งสงสัย แต่ไม่แสดงออกมาทางสีหน้าหรือน้ำเสียง นางกับฉีอันเป็ฝาแฝดกัน ั้แ่เล็กจนโตหากนางแสดงท่าทีออกมาชัดเกินไป เพียงครู่เดียวก็ถูกฉีอันมองออกแล้ว
"ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร เฉียวเฉียว อยู่ๆ ข้าก็รู้สึกว่าตนเองยังใช้ไม่ได้ รู้น้อยเกินไป เข้าใจน้อยเกินไป ทั้งยังทำอะไรไม่ได้มาก แม้ว่าข้าจะวนเวียนอยู่ข้างกายท่านลุงกับท่านพ่อ แต่พวกเขาอาจจะระวังตัวกันมาก โดยเฉพาะท่านลุง ไม่ค่อยยอมให้ข้ารู้อะไรเลย" ฉีอันบอก
เฉียวเยว่เลิกคิ้ว "แล้วอย่างไรเล่า?"
"ดังนั้นข้าตัดสินใจจะไปมาหาสู่กับพี่จ้านมากขึ้น คอยแอบเรียนวิชา"
เฉียวเยว่หัวเราะพรืด ก่อนจะถอนหายใจรำพึงว่า "เด็กหนอเด็กน้อย จำเป็ต้องทำถึงขั้นนั้นเชียวหรือ อยู่ดีไม่ว่าดี จะไปติดตามอยู่ข้างกายคนผิดปรกติ หากเ้าไปเรียนรู้นิสัยแย่ๆ มา ท่านพ่อท่านแม่ได้โมโหตายพอดี"
ฉีอันกลอกตา "ไยเ้าถึงน่ารังเกียจเช่นนี้ ทีเ้ายังคบหากับอวี้อ๋องได้เลย ข้าว่าเ้าก็แค่ปล่อยให้ขุนนางวางเพลิงแต่ไม่ยอมให้ชาวบ้านจุดตะเกียง [2]"
เฉียวเยว่ทำตาปริบๆ "จะเหมือนกันได้เยี่ยงไร ข้าเป็สตรีนะ"
ฉีอันพลันยิ้มเ้าเล่ห์ออกมา "แล้วอย่างไร? คำพูดของเ้า ดูเหมือนจะมีลับลมคมในแฝงอยู่นะ"
"ไม่รู้เ้าพูดอะไร ออกไปเลย ออกไปเลย ข้าจะพักผ่อน"
พอเริ่มแตกคอ ฉีอันก็ถูกไล่ออกมา
เฉียวเยว่ทำปากยื่น "น่ารำคาญจริงๆ พูดเหลวไหลทั้งเพ เหลวไหลทั้งเพ เหลว..."
"พวกเ้าออกไปให้หมด ข้าจะคิดอะไรเงียบๆ สักหน่อย" นางโบกมือ
สาวใช้ทั้งสองเดิมทีก็คิดจะไปอยู่แล้ว จึงรับคำแล้วถอยออกมา
เฉียวเยว่เอานิ้วชนกัน "พวกปากยื่นปากยาว รู้จักแต่นินทาว่าร้ายผู้อื่น น่ารังเกียจ ข้าใช่คนถ่อยที่เห็นสถานการณ์ไม่ดีก็วิ่งหนีเยี่ยงนั้นหรือ?" เฉียวเยว่พึมพำกับตนเอง
"อืม ดูเหมือนว่าจะใช่นะ"
เสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังขึ้น เฉียวเยว่เงยหน้าขึ้นมองที่มาของเสียง "พี่จ้าน?"
...
[1] ซ่อมหน้าต่างก่อนฝนตกหมายถึง การเตรียมตัวไว้ล่วงหน้าก่อนปัญหาจะเกิด
[2] ปล่อยให้ขุนนางวางเพลิง แต่ไม่ยอมให้ชาวบ้านจุดตะเกียง หมายถึง ทำอภิสิทธิ์ในทางที่มิชอบ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้