“ไท่จื่อเตี้ยนเซี่ยโปรดระงับโทสะเพคะ”
“อย่าบอกเปิ่นกงว่าเ้าไม่ได้ตั้งใจ เปิ่นกงไม่ใช่คนโง่”องค์รัชทายาทจดจ้องหรงหว่านซีด้วยความกรุ่นโกรธ พระพักตร์ดำทะมึน
กลับพบว่าหรงหว่านซีไม่ตื่นตระหนกและไม่เกรงกลัวนางเพียงแต่ยกยิ้มบาง “เป็ความจริงที่เฉินหนวี่ตั้งใจเพคะ ทว่าเฉินหนวี่จำใจยิ่งนักภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ ไท่จื่อเตี้ยนเซี่ยทรงรู้สึกคุ้นเคยหรือไม่เพคะ? เมื่อสามปีก่อนในงานเลี้ยงต้อนรับท่านพ่อของหม่อมฉันกลับวังหลวงไท่จื่อเตี้ยนเซี่ยทรงทำเช่นนี้กับเฉินหนวี่เช่นกัน ในยามนั้นเฉินหนวี่คิดเพียงแค่ว่าเตี้ยนเซี่ยคงไม่ได้ตั้งพระทัยเื่ราวผ่านมานานถึงเพียงนี้ เฉินหนวี่จำอะไรไม่ได้แล้วทว่าเตี้ยนเซี่ยกลับไม่ทรงให้อภัยผู้อื่นผู้คนต่างกล่าวว่าไท่จื่อเตี้ยนเซี่ยทรงมีพระเมตตาโอบอ้อมอารีต่อประชาทั่วหล้าคงจะไม่ทรงถือสาคนต่ำต้อยเช่นเฉินหนวี่ ดังนั้นเฉินหนวี่จึงอยากจะรู้ว่าวันนี้เตี้ยนเซี่ยทรงเป็วีรบุรุษผู้องอาจดังคำกล่าวขานของผู้คนหรือไม่?หรือ...ทรงเป็ผู้มีใจคับแคบคิดแค้นฝังใจแม้แต่กับเื่เล็กน้อย”
คำกล่าวเช่นนี้ของหรงหว่านซีทำเอาผู้อื่นที่ได้ฟังหวาดกลัวจนขวัญเสียจำต้องรู้ไว้ว่าหากคำกล่าวนี้ทำให้องค์รัชทายาททรงกรุ่นโกรธ ย่อมมีโทษถึงตายต้องถูกปะาโดยการบั่นคอแน่นอนทว่านางคือสตรีอ่อนแอผู้หนึ่งกลับกล่าววาจาเช่นนี้ออกมาโดยไม่ตื่นตระหนกท่าทางไร้ความหวาดกลัวยามเผชิญอันตรายเช่นนั้น ทำให้บุรุษไม่อาจไม่นับถือ
เฟิงเป่ยหลินไม่ใช่คนบุ่มบ่ามไร้สมองเมื่อได้ฟังคำกล่าวเช่นนี้ของหรงหว่านซี แม้ภายในใจนึกกรุ่นโกรธแต่หากะเิโทสะออกไปก็หมายความว่าเขายอมรับว่าตนคือคนจิตใจคับแคบตามคำเล่าลือที่นี่คือเรือนซูหนวี่ฟาง คือสถานที่ของประชาชนคนทั่วไปหากเกิดอะไรขึ้นแม้เพียงเล็กน้อยคงห้ามไม่ให้กระพือออกไปข้างนอกได้ถึงยามนั้นเกิดคำครหาไม่ดีขึ้นมา แน่นอนว่าไม่มีผลดีอะไรกับเขา
“หรงหว่านซี เมื่อก่อนคิดแค่ว่าเ้าก็หน้าตางดงามอยู่บ้างแต่จากที่เห็นในวันนี้ เ้าไม่เพียงแต่มีความงาม แต่ยังมีความฉลาดยิ่งนักเ้ามัดมือชกเปิ่นกงได้อย่างสวยงามเหลือเกิน ทำให้แม้เปิ่นกงคิดจะลงโทษเ้าแต่ก็ไม่อาจออกปาก”พระสุรเสียงขององค์รัชทายาทราบเรียบจนไม่รู้สึกถึงความกรุ่นโกรธ
“ไท่จื่อเตี้ยนเซี่ยตรัสเกินจริงแล้วเพคะ เฉินหนวี่ก็แค่ขวัญกล้าเห็นทีเตี้ยนเซี่ยไม่ทรงนึกโทษเฉินหนวี่แต่อย่างใด ในเมื่อเตี้ยนเซี่ยทรงให้อภัยแม้แต่เื่ที่เฉินหนวี่ตั้งใจทำสุราหกอย่างไร้มารยาทถ้าเช่นนั้นพระองค์ก็ไม่ทรงถือสาหาความกับเื่เมื่อสามปีก่อนสินะเพคะท่านคือผู้ใหญ่ไม่ถือสาผู้น้อย บิดาของข้าคือชายชราสวมเกาะกลับราชสำนักที่ไม่อาจสร้างคลื่นลมใดๆขอเตี้ยนเซี่ยทรงเมตตาพระราชทานหนทางรอดให้พวกเราสองพ่อลูกด้วยเถิดเพคะ”
“เหอะ หากเปิ่นกงบอกว่าเื่ของพ่อเ้าไม่เกี่ยวกับเปิ่นกงเล่า?” องค์รัชทายาททรงจดจ้องดวงตาของหรงหว่านซีและตรัสถาม
“เฉินหนวี่ไม่เชื่อเพคะ”
เมื่อทรงได้ยินเช่นนั้นองค์รัชทายาทถึงกับเงยพระพักตร์ขึ้นฟ้าพลางทรงพระสรวลออกมาไม่กี่หน “ฮ่าๆๆไม่เชื่อก็ดี หรงหว่านซี ที่แท้เ้าก็เป็สตรีที่น่าสนใจ”
เมื่อเห็นพระสุรเสียงขององค์รัชทายาทผ่อนคลายลงหรงหว่านซีจึงรีบรุดเข้าไปถอนสายบัวคำนับ“เื่เมื่อสามปีก่อนเป็เพราะหว่านซีไม่เห็นคุณค่าความปรารถนาดีจนกลายเป็การฉีกพระพักตร์ของไท่จื่อเตี้ยนเซี่ยเฉินหนวี่ขออภัยเตี้ยนเซี่ย ณ ที่นี้เพคะ ขอเตี้ยนเซี่ยทรงเมตตา”
องค์รัชทายาททอดพระเนตรมองใบหน้ามุมข้างของหรงหว่านซีรวมถึงร่างนางผู้นั้นที่มีกลิ่นหอมอ่อนโชยออกมาเป็ระลอกทันใดนั้นรู้สึกพอพระทัยอย่างไร้สาเหตุ
หลังเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็ปริปากเอ่ยออกมา“คืนนี้เ้ามาหาข้าที่จวนองค์รัชทายาทวันพรุ่งนี้ข้าจะให้บิดาของเ้าออกจากคุกใหญ่กรมอาญา”
กล่าวจบ องค์รัชทายาททรงหยัดพระวรกายลุกขึ้นเสด็จจากไป...
เหลือไว้เพียงหรงหว่านซีผู้มีสีหน้าลังเล...สิ่งที่ควรจะมาก็มาแล้วหรือ? ไปจวนองค์รัชทายาทเพื่ออยู่กับเขาหนึ่งคืน?หากทำเช่นนั้นท่านพ่อก็จะกลับมาอย่างปลอดภัยงั้นหรือ?
หลังองค์รัชทายาทเสด็จกลับไปก่อนเฉินอ๋องจึงโบกมือไล่เหล่านางระบำและนักบรรเลงดนตรีออกไปดูท่าองค์รัชทายาททรงหมายจะหรงหว่านซีให้ได้เสียแล้ว
เมื่อมองใบหน้าไร้ความยินยอมของแม่นางน้อย กล่าวตามความจริงเฉินอ๋องยังนึกสงสารนางไม่น้อยเพราะถึงอย่างไรนางก็ไม่คิดจะติดตามองค์รัชทายาทเป็ทุนเดิม
หรงหว่านซีก้มหน้าลงอย่างเงียบเชียบเฟิงเป่ยเฉินทนมองต่อไปไม่ได้จึงเดินเข้าไปหา “เ้าไม่เป็อะไรใช่หรือไม่?”
หรงหว่านซีไม่กล่าวสิ่งใด วินาทีที่นางเงยหน้าขึ้นใบหน้าล้วนเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา แต่กลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาแม้แต่นิด
เฟิงเป่ยเฉินในยามนี้มองหรงหว่านซีด้วยระยะใกล้ชิดเขาจึงเห็นใบหน้าของนางอย่างละเอียดดวงหน้านี้พอจะเรียกได้ว่างามล่มเมืองเลยทีเดียว
นางผิวขาวยิ่งกว่าหิมะดวงตาทั้งสองข้างเปี่ยมเสน่ห์ดุจหยาดน้ำสีมรกตสะกดิญญาครั้นมองรอบกายแลดูสูงส่งสง่างามสันจมูกโด่งเรียวและริมฝีปากเล็กสีแดงรวมกันเป็องคาพยพทั้งห้าอันงดงามน่าเกรงขามจนผู้อื่นไม่กล้าดูิ่ ทั้งร่างสวมชุดกระโปรงสีขาวเส้นผมยาวสีดำขลับดุจกาดำสยายยาวเลยเอวทำให้นางแลดูหยิ่งทระนงไม่ต่างจากเซียนจุติบนโลกมนุษย์โดยเฉพาะยามนี้ที่ใบหน้าเปรอะเปื้อนด้วยหยาดน้ำตายิ่งเป็เหตุให้ไม่ว่าบุรุษผู้ใดพบเห็นเป็ต้องนึกสงสาร เฟิงเป่ยเฉินทำตัวเสเพลั้แ่อายุยี่สิบไม่ว่าสตรีเช่นไรเขาล้วนแต่เคยพบเห็นมาทั้งสิ้น แต่มีเพียงความงามตรึงิญญาท่ามกลางความเงียบเช่นนี้ที่เขาไม่เคยพบเห็นใบหน้ายามร้องไห้สามารถทำให้บุรุษทั้งแผ่นดินปวดใจ ในนาทีนี้แม้แต่ฉินอิ่งเยว่หญิงงามอันดับหนึ่งของเมืองยังด้อยกว่าถึงสามเท่าและต้องละอายใจที่ไม่อาจเทียบเคียง
ไม่น่าเฟิงเป่ยเฉินถึงมองจนตกอยู่ในภวังค์...และยิ่งเข้าใจว่าเหตุใดองค์รัชทายาทถึงโหยหามาตลอดสามปี
“เปิ่นหวางรู้สึกเห็นใจที่เ้าต้องประสบเื่ขมขื่นเช่นนี้”
“ข้าไม่้าความเห็นใจของท่าน”
“ถ้าเช่นนั้นเ้า้าอะไร?”เฟิงเป่ยเฉินเอ่ยถามย้อนกลับด้วยความอยากรู้
“ข้า้าช่วยท่านพ่อของข้า”หรงหว่านซีกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่ละคำดังกังวานและมีพลัง
“หากจะช่วยท่านพ่อของเ้าก็ง่ายนิดเดียวองค์รัชทายาทมิได้ชี้ทางสว่างให้เ้าแล้วงั้นรึ?”
“ข้าไม่อยากทำ” หรงหว่านซีผินหน้าไปปาดน้ำตาหากไม่ใช่เพราะต้องช่วยบิดา นางคงไม่ทำเื่ไร้เกียรติเช่นนี้ตลอดสิบเจ็ดปีที่ผ่านมา นางไม่เคยร้องไห้สักครั้งทว่าวันนี้กลับน้ำตาไหลรินต่อหน้าบุรุษที่ไม่คุ้นเคยแท้จริงแล้วเป็เพราะนางอ่อนแอเกินไป หรือเพราะถูกสะกิดาแเข้าเสียแล้ว?
“ความจริงแล้วการเป็พระวรชายาขององค์รัชทายาทก็ดีไม่น้อยไม่แน่ว่าภายหน้าอาจได้เป็ฮองเฮา เกียรติอันสูงสุดของสตรีคงหนีไม่พ้นสิ่งนี้”เฟิงเป่ยเฉินถอนหายใจ
ผ่านไปครู่หนึ่ง หรงหว่านซีถอนหายใจออกมา“ไม่ใช่แค่ท่านที่คิดว่าดี เพราะทุกคนต่างก็คิดว่าดีเช่นกัน”
“หมายความว่าเ้าไม่พอใจกับตำแหน่งพระวรชายาขององค์รัชทายาท? ก็ใช่เมื่อสามปีก่อนตระกูลหรงของพวกเ้าปฏิเสธการขอหมั้นหมายขององค์รัชทายาทหากยามนี้มิใช่สถานการณ์คับขัน เกรงว่าเ้าก็คงไม่ชายตาแลเขาแม้แต่นิดกระมัง”
หรงหว่านซีนิ่งเงียบ...เฉินอ๋องกล่าวถูกต้องทุกประการ
เฉินอ๋องถอนหายใจแ่เบาและก้าวเท้าเดินออกไปทว่าทันใดนั้นกลับผุดความคิดหนึ่งขึ้น ความคิดนี้ทำเอาแม้แต่เขายังสะดุ้งใ
เดิมเขากำลังจะเดินออกไป แต่จู่ๆกลับหันมาเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “หรงหว่านซีอยากจะมีตัวเลือกเพิ่มอีกสักตัวเลือกหรือไม่?”
“ตัวเลือกอะไร?”
“ข้าจะช่วยบิดาของเ้า เ้าก็แต่งกับข้า เป็อย่างไร?” เฉินอ๋องยกยิ้มพราวเสน่ห์
“แต่งกับท่าน?” หรงหว่านซีค่อยๆ ขมวดคิ้วคล้ายไม่เข้าใจว่าเฉินอ๋องกำลังจะทำสิ่งใดกันแน่?
“ใช่แล้ว แต่เ้าต้องคิดพิจารณาสักหน่อย หากเ้าแต่งกับข้าอย่างมากก็เป็ได้แค่พระชายาอ๋อง หากติดตามองค์รัชทายาทไม่แน่ว่าอาจได้กลายเป็ฮองเฮา แต่ข้อดีก็มีอยู่มาก หากเลือกแต่งกับข้าข้าจะไม่ก้าวก่ายทุกเื่ของเ้า เ้ายังจะมีอิสระ ข้ารู้ว่าเ้ามีคนที่เ้าชอบเ้าวางใจได้ ข้าก็มีหญิงที่ข้ารักมั่นเช่นกัน ระหว่างพวกเราจะไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกันถือเป็เื่ที่ดีมากมิใช่หรือ?”
“แต่... เหตุใดท่านถึงอยากจะแต่งกับข้า?” หรงหว่านซีไม่เข้าใจในเมื่อจะไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกันเหตุใดเฉินอ๋องถึงไม่เลือกแต่งกับคุณหนูตระกูลมั่งคั่งตระกูลอื่น? ในเมืองหลวงมีสตรีมากมาย ไม่ได้มีเพียงนางคนเดียวสักหน่อย
“เพราะทั้งความสามารถและหน้าตาของเ้าล้วนสมบูรณ์แบบเ้าคือหญิงผู้มีพร์อันดับหนึ่งของเมืองหลวงมิใช่หรือ? หากแต่งเ้ามาเป็พระชายาก็ถือว่ามีหน้ามีตาเป็อย่างมากมิใช่หรืออย่างไร?”
“เฉินอ๋องเตี้ยนเซี่ยเพคะ ข้าไม่ใช่เด็กเล็กสามขวบเหตุผลเช่นนี้ไม่เพียงพอจะโน้มน้าวข้า” หรงหว่านซีตอบกลับอย่างสุขุม