บทที่ 63 พร์กระบี่ขององค์หญิงน้อยเจียง, ยัยก้อนน้ำแข็งผู้น่าสงสาร?
“ท่านอาจารย์... หากข้าฝึกฝนกับท่าน... สักวันหนึ่ง... จะสามารถชุบชีวิตผู้ที่ตายไปแล้วให้ฟื้นคืนได้หรือไม่?”
ดวงตาของเจียงชูหลงเต็มไปด้วยประกายความหวังอันริบหรี่
บิดาของนางเกลียดชังนางมาโดยตลอดเพราะเื่มารดา
หาก... หากนางสามารถทำให้มารดาฟื้นคืนได้เล่า?
เมื่อได้ยินดังนั้น เทพเซียนหยวนสื่อ…หรือก็คือเ้าของระบบ ได้ตกอยู่ในห้วงความคิด
ทำได้หรือไม่?
ในตอนนี้เขายังไม่เคยได้ยินวิธีที่จะทำให้คนตายฟื้นคืนได้เลย
หลังจากได้รับเมล็ดพันธุ์โลก เขายิ่งเข้าใจลึกซึ้ง ว่าชีวิตคือสิ่งที่แยกจากการสร้างสรรค์ของฟ้าดินอย่างแท้จริง แม้เขาจะเป็ผู้ปกครองโลก ก็มิสามารถสร้างสิ่งมีชีวิตจากความว่างเปล่าได้
เหล่าจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ต้าอวี้ในแต่ละยุคสมัย มิใช่ปรารถนาความเป็ะหรอกหรือ?
หากมีวิธีเช่นนั้น เหตุใดจักรพรรดิอู่ผู้ยิ่งใหญ่จึงไม่ฟื้นคืนชีพเล่า?
แต่เขามีระบบ
ระบบคือการดำรงอยู่ที่เหนือสามัญสำนึก...
ไม่รู้ว่าเป็เพราะคิดถึงเื่นี้ หรือเป็เพราะไม่้าทำลายความหวังของนาง
ในที่สุด หลี่โม่ก็พยักหน้าแล้วเอ่ยว่า
“มีแน่นอน”
เมื่อเจียงชูหลงได้ยินดังนั้น นางก็ตกตะลึงราวกับถูกฟ้าผ่าอยู่กับที่ เปลวไฟแห่งความหวังในดวงตาพลันลุกโชนรุนแรงยิ่งขึ้น
นางปรารถนาที่จะแข็งแกร่ง!
เมื่อมองเด็กสาวตรงหน้ากำลังกำหมัดเล็ก ๆ หลี่โม่ก็ถอดถอนอยู่ภายในใจ
การหลอกให้องค์หญิงน้อยเชื่อนั้นไม่ใช่เื่ง่ายเลย
โชคดีที่ในฐานะหนอนหนังสือตัวยง เขามีคลังความรู้มากมาย!
เื่การโอ้อวด แน่นอนว่าไม่มีใครเกินพวกนักเขียนนิยายบ้า ๆ พวกนั้นได้หรอก
องค์หญิงน้อยเจียงคงจะถูกหลอกจนคล้อยตามไปแล้ว
“ท่านอาจารย์... ท่านอาจารย์...”
“ข้า…ขอบคุณท่าน... ท่าน...”
เด็กสาวพลันลุกขึ้นยืน ก้มลงคำนับอย่างลึกซึ้ง ไหล่อันบอบบางสั่นระริกด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย
ราวกับดอกไม้สีขาวดอกน้อยในซากปรักหักพัง ที่แม้เพียงได้รับแสงริบหรี่ ก็จะพยายามเติบโตไปทางตะวันอย่างสุดกำลัง...
เฮ้อ!
จะว่าอย่างไรดีเล่า
เขารู้สึกผิดเล็กน้อยอยู่ในใจ
การหลอกลวงเด็กสาวเช่นนี้ ช่างทำให้รู้สึกปวดร้าวเหลือเกิน อย่างไรก็ตาม องค์หญิงน้อยเจียงจำเป็ต้องมีความมั่นใจในตัวเองจริง ๆ
คำโกหกของเขานั้น เป็คำโกหกด้วยเจตนาดี...
“เอาล่ะ เื่ลับอื่น ๆ ผู้เฒ่าจะไม่บอกเ้าแล้ว บางครั้งรู้มากไปก็เป็สิ่งมิดี”
“เ้าเพียงแค่ต้องตั้งใจฝึกฝนั้แ่วันนี้เป็ต้นไป ไม่นานราชวงศ์ต้าอวี้อันเล็กน้อยนี้ ก็จะสยบแทบเท้าเ้า”
“อืม!”
เจียงชูหลงพยักหน้าอย่างจริงจัง
บทสนทนาที่แปลกประหลาดนี้ หากถูกคนนอกได้ยิน ย่อมต้องคิดว่าสมองของทั้งคู่มีปัญหาแน่ ๆ
ทว่าองค์หญิงน้อยเจียง หลังจากรู้ที่มาของท่านอาจารย์หยวนสื่อแล้ว ก็เชื่อมั่นอย่างไม่สงสัยเลยแม้แต่น้อย
“แล้ว... ท่านอาจารย์... ท่านจะสอน... สอนอะไรก่อนดีเ้าคะ?”
“อืม เ้าไม่เคยฝึกยุทธ์มาก่อน เช่นนั้นก็เริ่มจากขอบเขตปราณโลหิตที่พื้นฐานที่สุดก่อนเถิด”
หลี่โม่ลดเสียงทุ้มต่ำลง
“ตึกสูงหมื่นจั้งต้องสร้างจากพื้นราบ เ้าจึงต้องก้าวไปทีละก้าว”
“แม้กระดูกกระบี่ของเ้าจะหายไป แต่ด้วยเหตุนี้ พลังแฝงของกระบี่กำเนิดฟ้าโดยกำเนิดของเ้าจึงถูกกระตุ้นออกมา ทำให้รากฐานของเ้าแข็งแกร่งยิ่งขึ้น”
เมื่อได้ยินคำชม เจียงชูหลงก้มหน้าลงด้วยความเขินอาย
ไม่คิดเลยว่าเมื่อฟังท่านอาจารย์พูดแล้ว การที่กระดูกกระบี่ถูกควักออกไป กลับกลายเป็เื่ดีไปเสียได้?
“ท่านอาจารย์... ข้าสามารถ... ฝึกฝนวิชาของตัวเองได้หรือไม่เ้าคะ?”
หา?
หลี่โม่ตกตะลึงเล็กน้อย
เขายังคิดอยู่นานว่าจะเตรียมวิชาขอบเขตปราณโลหิตอะไรให้เจียงชูหลงดี
“เอ่อ... ท่านเคยกล่าวไว้มิใช่หรือว่า... ต้องเดินบนเส้นทางของตัวเอง...”
เจียงชูหลงกล่าวอย่างตะกุกตะกัก
เ้าของระบบเข้าใจแล้ว
แม้องค์หญิงน้อยเจียงจะยังไม่เคยเรียนวิชาการต่อสู้ แต่ใน่เวลาที่อยู่ในคลังกระบี่ของเทียนซาน นางได้มองดูกระบี่มากมาย
อาจารย์เฒ่าผู้ดูแลคลังกระบี่ท่านหนึ่ง มักจะพานางเดินเล่นในคลังกระบี่เป็ประจำ
ดังนั้น ราวกับเป็สัญชาตญาณ
นางจึงเข้าใจวิชาการต่อสู้จากการดูรอยกระบี่
เพียงแต่บิดาไม่อนุญาตให้นางฝึกฝน จึงไม่กล้าฝึกมาโดยตลอด
“เ้าลองท่องหลักการทั้งหมดให้ข้าฟังซิ”
“อืม... งั้นเริ่ม... เริ่มจากพื้นฐาน... ขอท่านอาจารย์... ได้โปรดชี้แนะ”
เจียงชูหลงเล่าสิ่งที่นางเข้าใจออกมา
เสียงที่ตะกุกตะกักของนางดังก้องไปทั่วเมล็ดพันธุ์โลก
หลี่โม่ฟังไปเรื่อย ๆ เขาก็ค่อย ๆ เงียบลง
วิชาดาบนี้แข็งแกร่งแล้วหรือ?
ไม่แข็งแกร่งหรอก เป็เพียงวิชาการต่อสู้ระดับกลางเท่านั้น สำหรับเขาแล้ว การหาวิชาที่ใกล้เคียงกันนั้นเป็เื่ง่ายดาย
แต่ประเด็นคือองค์หญิงน้อยเจียงไม่เคยฝึกยุทธ์มาก่อนนี่สิ!
นี่คือการเรียนรู้ด้วยตนเองโดยไร้ครูอาจารย์!
มันบ้าอะไรกัน!
ตัวเขาเองฝึกวิชาดาบระดับกลางสักวิชา ต้องใช้เวลาหลายสิบปีกว่าจะถึงขั้นแตกฉาน!
“ท่าน... ท่านอาจารย์?”
เมื่อเห็นอาจารย์เทพเซียนหยวนสื่อเงียบไป เจียงชูหลงพลันคิดว่าสิ่งที่นางคิดนั้นตื้นเขินเกินไป จนอาจารย์ไม่พอใจอย่างมาก
นางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลง
“ข้า... ข้ายังสามารถปรับปรุงได้... ต่อไป... ต่อไปข้ายังสามารถ... ทำให้วิชาการต่อสู้นี้... แข็งแกร่งขึ้นได้อีก”
หารู้ไม่ว่าทุกคำที่นางเอ่ยออกมา ล้วนเหมือนดาบที่แทงเข้าไปในอกของหลี่โม่
ไม่มีการเปรียบเทียบก็ไม่มีความเ็ป คำพูดของนางคือการโจมตีที่สร้างความเสียหายอย่างรุนแรง ซ้ำยังเป็การโจมตีคริติคอลด้วย…
โชคดีที่เ้าของระบบก็ไม่ธรรมดา เขานี่แหละคือชายที่ใช้ชีวิตอยู่กับนางผู้เ็ามาทุกวัน
“แค่ก... ก็ไม่... ก็ไม่เลวหรอก”
“ท่านอาจารย์... ท่านอาจารย์ก็เป็เหมือนข้า... เช่นกันหรือเ้าคะ...”
เจียงชูหลงร้อนใจ
“เมื่อครู่ข้ากำลังวิเคราะห์วิชาการต่อสู้นี้อยู่ต่างหาก”
หลี่โม่กระแอมไอเบา ๆ ครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนที่เสียงของเขาจะกลับมาสงบลง แล้วจึงเอ่ยว่า
“ดี! เ้าจงฝึกฝนต่อไปตามนี้ ย่อมจะบรรลุตามที่ผู้เฒ่าคาดหวังไว้ได้”
“เย้! ข้าฝึกยุทธ์ได้แล้ว!”
เจียงชูหลงดีใจจนะโโลดเต้น ราวกับคำพูดนั้นไม่ได้ติดอ่างเลย
นางมองไปยังอาจารย์เทพเซียนหยวนสื่อ ก่อนจะแลบลิ้นเขินอายออกมาเล็กน้อย แล้วจึงนั่งลงอย่างระมัดระวัง
“ตอนนี้เ้ายังอ่อนแออยู่มาก”
“ดังนั้น สิ่งที่เ้าต้องทำตอนนี้ คือการทำให้ตัวเองแข็งแรงขึ้นโดยเร็ว เสริมสร้างเส้นชีพจร เพื่อวางรากฐานในอนาคต”
“และอีกประการ เ้าเสียกระดูกกระบี่ไป จำเป็ต้องฟื้นฟูพลังชีวิตด้วย”
เขาโบกแขนเสื้อ พลันบนโต๊ะก็ปรากฏขวดหยกสองใบ
ล้วนเป็ยาเม็ดที่อ่อนโยน และสามารถบำรุงร่างกายได้
รวมถึงยาเม็ดบำรุงพลังชีวิตที่เขาเคยใช้ และอีกขวดหนึ่งคือยาเม็ดรักษาอาการาเ็ที่อ่อนโยนที่สุด แม้จะไม่อาจทำให้ร่างกายฟื้นคืนสู่สภาพเดิมได้ในทันที แต่ก็ดีตรงที่ค่อย ๆ ฟื้นฟูทีละน้อย ไร้ซึ่งผลข้างเคียงแอบแฝง
“ขอบพระคุณ... ขอบพระคุณท่าน... หยวนสื่อเทียนจุนเหล่าซือ!”
เจียงชูหลงเก็บยาเม็ดลงในอกเสื้ออย่างทะนุถนอม แล้วตบเบา ๆ พลางถอนหายใจโล่งอก มุมปากเล็ก ๆ เผยรอยยิ้มแห่งความสุข
ตามนิสัยของนางที่เหมือนหนูแฮมสเตอร์แล้ว คาดว่าหลังกินยาเสร็จ แม้แต่ขวดก็คงไม่กล้าทิ้ง
และในขณะเดียวกัน
ในหูของเขา ก็มีเสียงแจ้งเตือนดังขึ้น
[ยินดีด้วย! ท่านลงทุนกับ ‘เจียงชูหลง’ สำเร็จ ช่วยให้นางฟื้นฟูร่างกาย]
[ท่านได้รับการตอบรับการลงทุนหนึ่งรายการ ้ารับตอนนี้หรือไม่?]
หลี่โม่ยังไม่ได้รับรางวัลในตอนนี้
แต่กลับมองไปที่เจียงชูหลงอีกครั้ง
นางที่เพิ่งได้รับอนุญาตให้ฝึกฝนเป็ครั้งแรก ดวงตาสีเทาหมองคล้ำแสดงออกถึงสามคำดังนี้
‘ความอยากรู้’
หลี่โม่ “...”
ครูผู้เป็ผู้ถ่ายทอดวิชา ชี้แนะ และแก้ข้อสงสัย
นี่ทำให้เขาต้องลำบากเสียแล้ว
เื่นี้คงจะแต่งขึ้นมาเองไม่ได้กระมัง?
“หากเ้ามีข้อสงสัย ก็ถามได้เลย”
“แต่เพื่อป้องกันมิให้เ้าทะเยอทะยานมากเกินไป ข้าจะตอบให้ในครั้งหน้า”
“เ้าค่ะ!”
เมื่อลืมตาขึ้น ก็พบว่าท้องฟ้าภายนอกเริ่มมืดแล้ว
ในศาลาชิวสุ่ย
“นี่จะทำอย่างไรดี?”
“ปัญหาเหล่านี้ ข้าจัดการได้ยากยิ่ง”
หลี่โม่ลืมตาขึ้น มองเพดาน
เอาปัญหาไปถามคนอื่นดีหรือไม่นะ?
อืม... อันดับแรก ตัดอาจารย์คนสวยไปก่อน...
เขาคิดพลางก้าวลงบันได แล้วเดินเข้าไปในห้องครัว
ยังไม่ทันจะเข้าใกล้ ก็พลันได้กลิ่นไหม้
หลี่โม่เงยหน้าขึ้นตามสัญชาตญาณ พลางเงียบไปเล็กน้อย สายตาก็เริ่มเลื่อนลอย
สภาพในห้องครัวเรียกได้ว่าน่าสังเวชมาก
เพราะสตรีผู้นั้นกำลังทำอาหารอยู่หน้าเตา
สิ่งที่อยู่ในหม้อนั้น ไม่รู้ว่าเป็อะไรกันแน่ มันมีสีดำคล้ำ และมีควันดำลอยออกมาด้วย
สมควรเรียกว่า ‘อาหารแห่งความมืด’
หลี่โม่สงสัยอย่างมาก หากเขากินเข้าไปแล้ว จะตายคาที่ตาเหลือกและน้ำลายฟูมปากหรือไม่
“เ้ากลับมาแล้วหรือ?”
สตรีผู้นั้นเช็ดหน้าผาก
ใบหน้าที่สมบูรณ์แบบไร้ที่ติของนาง มีรอยเปื้อนคล้ายแมวลายเล็ก ๆ เพิ่มขึ้นมา
“อืม ข้ากลับมาช้าไปเล็กน้อย”
หลี่โม่แทบจะร้องไห้
ในวันที่เขาไม่อยู่ สตรีผู้นี้ใช้ชีวิตรอดมาได้อย่างไรกัน?!