หลังจากหยางเฉินเดินตามร่างสูงอกแบนราบของอู๋เยวี่ยที่กำลังขึ้นลิฟต์ไปชั้นบนสุดซึ่งเป็ออฟฟิศและห้องนั่งเล่น ในห้องของซีอีโอบริษัทแฟชั่นชั้นเลิศตกแต่งด้วยวัสดุทันสมัยคุณภาพชั้นเยี่ยม เปล่งแสงแวววาวและเต็มไปด้วยบอนไซ ทำให้ห้องดูสว่างสดใสกว้างใหญ่ไพศาล ด้วยการตกแต่งที่ละเอียดอ่อนในทุกๆ ตำแหน่ง แสดงให้เห็นตัวตนของซีอีโอที่นี่ได้ชัดเจน มันช่างน่านับถือยิ่งนัก
“เลขาอู๋เยวี่ย ท่านประธานเรียกหาผมทำไมกัน?” หยางเฉินถามเพิ่มเติมขณะเดินตามเธอ
ไม่มีเสียงตอบกลับมา อู๋เยวี่ยยังคงเดินไปข้างหน้าอย่างเงียบเชียบ มีแค่เสียงส้นรองเท้ากระทบพื้นเป็จังหวะเบาๆ
หยางเฉินทำตัวไม่ถูก เขาคิดว่าแม่สาวคนนี้ช่างเ็า จึงไม่ได้ถามซอกแซกอีก อย่างไรก็ตามหยางเฉินค่อนข้างเสียใจนิดๆ ที่เขาควรจะตรวจสอบประวัติซีอีโอของอวี้เหล่ยแห่งนี้ให้ดีก่อน และไม่ควรดูแต่ข้อมูลการรับสมัคร ถ้าเขารู้ก่อนหน้านี้ เขาไม่ตกอยู่ในสถานการณ์ดังกล่าว เมื่อพบกับประธานบริษัท เขาทำตัวไม่ถูกเลยจริงๆ
“ถึงแล้ว” ทางเข้าประตูสีขาวขุ่นแกะสลักอย่างงดงาม อู๋เยวี่ยจ้องเฉินหยางอย่างเ็าและกล่าวว่า “ซีอีโออยู่ในห้องนี้ คุณควรสำรวมคำพูดของคุณ มันจะดีมากหากมีความอ่อนน้อมอีกสักหน่อย"
คำพูดที่เข้มงวดและท่าทีขึงขังของอู๋เยวี่ย หยางเฉินไม่ได้โกรธเธอ แต่กลับรู้สึกสงสารผู้หญิงคนนี้แทน หากบุคลิกของเธอไม่เ็า ทำไมเธอต้องมองผู้ชายเหมือนสิ่งที่น่ารังเกียจมาก? ผมเป็ผู้ชายนะ เธอไม่ได้สังเกตหรือว่าพนักงานหญิงอื่นๆ ต่างก็ชอบผม?
หยางเฉินละความสนใจจากอู๋เยวี่ย ก่อนเปิดประตูอย่างเป็ธรรมชาติ ขณะที่สองขาก้าวเข้ามาในห้องทำงานของซีอีโอแห่งอวี้เหล่ย
่เวลาที่เขาเข้ามา หยางเฉินได้กลิ่นดอกมะลิที่คุ้นเคยอบอวลในอากาศ สายลมอุ่นๆ ที่สดชื่น ทำให้หยางเฉินนึกถึงภรรยาของเขา หลินรั่วซี แม้หญิงสาวคนนี้จะเ็าแต่ก็มีกลิ่นหอมละมุนแบบนี้?
ออฟฟิศของซีอีโอที่นี่กว้างใหญ่กว่าปกติถึง 100 ตารางเมตร รูปแบบครึ่งวงกลม ด้านวงกลมคือเนื้อที่ทั้งหมด มีหน้าต่างสูงจากพื้นจรดเพดานสะอาดั้แ่ต้นจนสุด ซึ่งจะเห็นทิวทัศน์การจราจรที่คึกคักของเมืองซึ่งมักเจอบ่อยๆ และผ้าม่านโปร่งแสงสีขาวโบกสะบัดจากลมที่เป่าจากเครื่องปรับอากาศ
บนพื้นเป็พรมขนสัตว์นุ่มสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน เต็มไปด้วยต้นบอนไซหลายกระถางวางไว้บนโต๊ะและมุมของห้องพัก ในขณะที่ประกายไฟของออฟฟิศช่วยขับเน้นความสวยงามของห้องมากขึ้นไปอีก
โคมระย้าคริสทัลบนเพดานยังเป็ของสะสมหายาก ชิ้นงานประณีตเมื่อแสงหักเหเข้ามาในห้องที่มีความมันวาวเป็ประกาย เป็ความงดงามดุจเวทมนตร์ในห้องขนาดย่อม
ครอบคลุมไปถึงชั้นวางหนังสือโลหะเคลือบเงิน บนชั้นเต็มไปด้วยหนังสือออกแบบห้องพัก ถัดมาจากชั้นวางจะเห็นโต๊ะไม้มะฮอกกานีขนาดใหญ่ โต๊ะทำงานและที่นั่ง ยกเว้น ‘ตัวของซีอีโอ’
หยางเฉินสงสัยว่าทำไมซีอีโอถึงเรียกเขามาพบ ในเมื่อเขามากลับไม่อยู่ที่นี่ แต่เท่าที่หยางเฉินมองไปรอบๆ เขาคิดว่าน่าจะอยู่อีกห้องทางด้านขวาของออฟฟิศ
เมื่อเดินมาเกือบจะถึงที่หมาย ประตูเปิดโดยมีร่างในชุดเครื่องแบบหรูหราเดินออกมาจากประตู
ทันใดนั้นบรรยากาศภายในห้องพลันต่ำลงอย่างน่าประหลาดเหมือนกับว่า ออกซิเจนในห้องพักเหมือนถูกสูบออก คนสองคนยืนจ้องกันและกันจนแทบลืมหายใจ
หากเราสังเกตผู้คนด้วยการจ้องตา จะพบว่าแต่ละคนมีอารมณ์ซับซ้อนในดวงตา ทั้งสองคนพบว่ามันยากที่จะพูดได้ชัดเจนเพราะว่ามัน… ช่างเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!!!
“นี่… คุณ… ผม… เอ่อ… ผม…”
หยางเฉินมักจะรู้สึกว่าเขาเป็คนจิตใจเข้มแข็ง แต่ตอนนี้เขารู้สึกว่ามันถูกจำกัดอยู่ในสถานการณ์พิเศษบางอย่าง สำหรับการพบเจอที่ไม่คาดฝันเช่นนี้ คำพูดหยางเฉินเหมือนจะหายไปจากลิ้น จิตใจของเขาตอนนี้คล้ายกำลังกินอาหารชิ้นโตๆ อยู่ มันทำให้เขาไม่รู้ว่าควรพูดเช่นไร
รองเท้าส้นสูงที่สวมใส่โดยผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหน้า กางเกงสีดำห่อรอบเรียวขาของเธอและที่สำคัญมันเปล่งประกายเสน่ห์อ่อนๆ เธอสวมชุดสูทรัดรูปแบบนักธุรกิจหญิง ซึ่งทำให้รูปลักษณ์ของเธอดูจะเป็ไปตามสัดส่วนของเรือนกายภายใต้เอวบาง สะโพกกลึงงามและความฉลาดของเธอทำให้ผู้ชายทุกคนตื่นเต้นจนเืกำเดาแทบพุ่ง
ผมยาวสลวยสีดำถูกรวบไว้เรียบร้อย ขับเน้นลำคอสีขาวดุจหิมะที่สง่างามเหมือนหงส์ให้ยิ่งส่องประกาย ถ้ามีเพียงแค่นี้ยังคงพอต้านทานได้ แต่สิ่งที่ทำให้เธอมีเสน่ห์จนไม่อาจต้านทานได้อย่างแท้จริงคือใบหน้าที่เหมือนเทพธิดาจุติลงมาจากสรวง์ มันเป็ภาพที่งดงามหาใดเปรียบ ทำให้ไม่มีอำนาจใดมาต้านทานมันได้!
“คุณ… อะไร!?”
หลินรั่วซีมองอันธพาลที่แสดงท่าทางเหมือนน้ำท่วมปาก ทั้งที่อารมณ์ก่อนหน้านี้เป็อารมณ์ที่ซับซ้อนเหมือนคนประสาท หายไปเหมือนควันในอากาศบางๆ กลายเป็อารมณ์ขี้เล่นและเ้าชู้ เธอกล่าวหยอก
“คำพูดของคุณไม่เห็นจะเหมือนท่าทางเลยนะ? มันมีอะไรผิดปกติจนคุณไม่สามารถพูดออกมาได้เชียวหรือไง?”
หยางเฉินอ้าปากค้างขณะที่ยังไม่หายจากอาการงุนงง เขาทำไม่ได้แม้แต่พูดจบประโยค จากนั้นเขาจึงกดน้ำเย็นจากตู้น้ำที่มุมห้องด้วยถ้วยกระดาษ และกรอกน้ำเข้าปากรวดเดียวเพื่อทำให้ตัวเองสงบลง หลังจากเช็ดปาก เขาหันไปรอบๆ และเผชิญกับท่าทางเด็ดขาดของหลินรั่วซีอีกครั้ง
ในขณะนั้น หลินรั่วซีนำทัศนคติแบบกัปตันที่คอยควบคุมเรือและควบคุมบริษัทอวี้เหล่ยอินเตอร์เนชันแนล เธอนั่งลงบนเก้าอี้หนังอย่างใจเย็น เธอแสดงออกท่าทางอ่อนโยนแต่เ็า เธอนั่งจ้องมองหยางเฉินด้วยใบหน้าสงบนิ่งเหมือนรูปปั้นเทพธิดา
“ว้าว ชีวิตจริงมันช่างเหมือนละคร ขณะที่ละครดันเหมือนชีวิตจริง”
หยางเฉินนิ่งเงียบมองผู้หญิงตรงหน้าสักพักหนึ่ง เขาได้แต่หัวเราะ
“เยี่ยม… เยี่ยมมาก... คุณหนูรั่วซี ภรรยาผม ทำไมไม่บอกกันก่อนล่ะว่าคุณเป็ซีอีโอของอวี้เหล่ย? มันจะช่วยผมได้มากเลยทั้งการหางานและทำงาน แค่ให้ผมได้งานเล็กๆ หรือทำความสะอาดในออฟฟิศ”
“นายหยางเฉิน คุณช่วยกรุณาสำรวมท่าทางของคุณขณะที่อยู่ในออฟฟิศของฉันด้วยค่ะ และอย่าลืมเชียวว่าตำแหน่งของฉันสูงกว่าคุณ”
สายตาเ็าที่เต็มไปด้วยประกายที่งดงามของหลินรั่วซีจับจ้องใบหน้าหยางเฉิน ชายตรงหน้าเธอคนนี้สนทนาปกติได้มาสักพักหนึ่งแล้ว ทำไมจู่ๆ น้ำเสียงเขากลับไปเป็เอ้อระเหยอีกล่ะ?
หยางเฉินทำเสียงหัวเราะ ‘ฮี่ๆๆ’ และกล่าวว่า “ในออฟฟิศ ตำแหน่งคุณอาจเหนือกว่าผม หมายความว่าถ้าออกจากสำนักงานผมสามารถเรียกคุณตามที่ผม้าได้ใช่ไหม?”
“ห้ามเด็ดขาด!” หลินรั่วซีคัดค้าน น่าแปลกใจเหมือนกันว่าทำไมชายคนนี้ อาจคิดคำเรียกขานที่น่าขยะแขยงและขนลุกออกมาได้
หลินรั่วซีขมวดคิ้วและกล่าวว่า
“คุณสามารถเรียกชื่อของฉันได้ ห้ามคุณเรียกฉันด้วยคำขยะแขยงอื่นๆ”
หยางเฉินไม่สนใจเธอ ขณะนี้อารมณ์ของเขาสงบลงไปเล็กน้อยเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ ฉะนั้นเขาจึงดึงเก้าอี้มานั่งอย่างไม่สุภาพต่อหน้าซีอีโอสาว หลินรั่วซีมองเขานั่งไขว่ห้าง
“ก็ได้ งั้นเรามาพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่ท่านประธานหลินเรียกผมมาพบดีไหม?” เขากล่าวพลางถอนหายใจ
ขณะที่หลินรั่วซีเพิ่งนึกได้ว่าเธอเป็คนเรียกหยางเฉินมาพบ เธอจึงเบนสายตาไปที่หยางเฉิน เธอหันจอคอมพิวเตอร์ 180 องศา แล้วชี้ไปที่ประวัติส่วนตัวหยางเฉินบนหน้าจอจากนั้นกล่าวว่า
“ประวัติของคุณบอกว่าคุณมีการศึกษาระดับปริญญาโท การจัดการการตลาดจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด คุณยังเป็นักศึกษาทุนอย่างเต็มรูปแบบ ทั้งยังเชี่ยวชาญทั้งภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศส”
หยางเฉินกลับมาดูประวัติตัวเอง เขาสามารถคาดคะเนคำถามที่หลินรั่วซีจะถาม แต่ทำได้เพียงพยักหน้า “ใช่ แล้วไงล่ะ?”
“คุณจบปริญญาโทจากฮาร์วาร์ด ทั้งยังเชี่ยวชาญภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศสได้ยังไง?”
หลินรั่วซีมองหยางเฉิน นึกถึงตอนที่เธอกับเขาเจอกันครั้งแรก
“ไม่ใช่ว่าคุณขายเนื้อแพะย่างแถวตลาดตะวันตก ด้วยการที่คุณมีวุฒิการศึกษาที่มีชื่อเสียงเหล่านี้อย่างนั้นเหรอ?”
ในขณะที่เขาเตรียมข้ออ้างที่ดูเหมือนท่องจำจากหนังสือไว้แล้ว หยางเฉินกล่าวว่า
“ตอนผมยังเด็ก ผมถูกลักพาตัวและขายให้กับประเทศสหรัฐอเมริกา จากนั้นผมก็ได้รับทุนสำหรับคนตั้งใจเรียน ตอนผมไปเรียนและได้เรียนรู้ภาษาฝรั่งเศส หลังจากที่พ่อแม่บุญธรรมของผมเสียไป ผมกลับมา ไม่ได้มีเป้าหมายอะไร เลยเร่ขายเนื้อแพะย่าง และใช้ชีวิตไปวันๆ คุณสามารถถามพ่อค้าเร่แถวตลาดตะวันตกได้ พวกเขาทุกคนรู้ว่าผมเพิ่งกลับมาได้แค่ครึ่งปีเอง”
การที่หลินรั่วซีพาบริษัทอวี้เหล่ยอินเตอร์เนชันแนลของเธอเติบโตจนถึงตอนนี้ มันเป็ธรรมดาที่เธอจะโง่พอที่จะเชื่อคำพูดหยางเฉินง่ายๆ หรือ? ใบหน้างดงามและสมองอันชาญฉลาดของเธอเผยให้เห็นการแสดงออกที่ค่อนข้างจะไม่พอใจ ขณะที่เธอส่งเสียงเย็น ‘ฮึ่ม’ และกล่าวต่อว่า “แล้วก็… เื่การทดสอบภาษาต่างประเทศล่ะ คุณเลือกเยอรมันกับอิตาลีและได้คะแนนเต็มทั้งหมด มันเกิดขึ้นได้อย่างไร”